เรานั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นิ่งๆ อยู่นานพอสมควร เพราะอยากเปิดเรื่องด้วยข้อความที่สวยงามพอจะอวดใครๆ ได้ว่า นี่คืองานเขียนครั้งแรกของเรา แต่สารภาพตามตรงว่า เราคิดประโยคเท่ๆ ไม่ออกจริงๆ เพราะเราไม่ใช่คนที่เล่าเรื่องเก่งนัก เราถนัดออกเดินทางจริงซะมากกว่า นี่เลยถือว่าเป็นความท้าทายที่สุดในชีวิตของเราเลยก็ว่าได้

หลายคนคงพอคุ้นหน้าคุ้นตาเราอยู่บ้างหากเดินสวนกันตามท้องถนน แต่อาจไม่มีโอกาสรู้จักตัวตนของเราจริงๆ เราไม่ได้บอกว่า ชีวิตเราน่าติดตามแบบรายการเรียลิตี้อะไรนั่นหรอกนะ เราก็มีชีวิตธรรมดาๆ เหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ แต่อาจจะแปลกหน่อยที่ชื่อเล่นไม่ค่อยซ้ำกับใคร บวกกับเราประกอบอาชีพที่เอื้อให้คนรู้จักมากหน่อย อาชีพที่ใครๆ ให้คำจำกัดความว่า ‘ดารา’ นั่นแหละ ที่เหลือก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนอื่นเลย มีรัก มีอกหัก สุข เศร้า เสียใจ ลืมจ่ายค่าไฟจนการไฟฟ้ามายกมิเตอร์ บางเดือนเงินไม่พอจ่ายค่าผ่อนบ้าน หมุนเงินไม่ทันจนต้องกู้นอกระบบบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ได้แค่แต่งตัวหล่อๆ แสดงบทบาทในทีวีไปมา แล้วสุดท้ายก็แฮปปี้กันไปอย่างเรื่องราวในละคร เราเองก็ยังต้องเรียนรู้มันไปอีกยาว น่าเบื่อบ้าง สนุกบ้าง แต่ก็นี่แหละ…ชีวิต

ถ้านับอายุการทำงานในวงการบันเทิงของเราก็ปาเข้าไป 9 ปีพอดิบพอดี เราเข้าวงการด้วยการประกวดร้องเพลงเวทีหนึ่งตั้งแต่ปี 2007 ด้วยวัยตอนนั้นแค่ 19 ปี หลังจากนั้นก็เริ่มต้นทำงานอย่างจริงจังหลังจากเดินลงจากเวที สมัยนั้นยังไม่มียูทูบให้ได้ดูกันเหมือนสมัยนี้ด้วยซ้ำ จะออกมิวสิกวิดีโอแต่ละเพลงก็ต้องรอดูจากรายการเพลงหลังเที่ยงวันหรือไม่ก็หลังเที่ยงคืน ถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานพอสมควร เป็นช่วงเวลาเกือบทศวรรษที่ให้อะไรเรามากมายเลย

หลายคนมองวงการบันเทิงเป็นสิ่งสวยงาม น่าเข้ามาลิ้มลองการเป็นคนในแสงไฟ เป็นที่รู้จัก เหมือนเป็นจุดหมายปลายทางความฝันของเด็กยุคใหม่อันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ จนบางครั้งการเข้าวงการบันเทิงกลายเป็นจุดสูงสุดของชีวิตในมุมมองของคนทั่วไปที่มองคนที่ทำงานอยู่ตรงจุดนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่สำหรับเราเอง เรากำลังเดินทางมาถึงจุดที่เรียกว่า ‘จุดอิ่มตัว’ กับการทำงานตรงนี้ เราต้องใช้ความหนักแน่นและระยะเวลาพอสมควรกว่าจะผ่านจุดที่คำวิจารณ์ไม่สามารถทำอะไรเราได้ หลายคนมองการตัดสินใจของเราเป็นจุดสิ้นสุดในชีวิต

แต่ในทางกลับกัน เรากลับมองว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตที่แท้จริง ที่ทุกอย่างต่อจากนี้ไปจะเป็นเรื่องใหม่ที่น่าตื่นเต้นและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เต็งหนึ่ง

เราเชื่อว่าความฝันในชีวิตของคนเราไม่ได้หยุดอยู่แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เรามีความฝันหลายอย่างได้ เวลาที่เราหลับ แต่ละคืนเรายังฝันไม่เหมือนกันเลย ในความเป็นจริงก็เหมือนกัน เราแค่ต้องค้นหาให้เจอว่า ความฝันไหนที่ชัดเจนมากพอให้เราลงมือทำให้เป็นความจริง

ความคิดที่จะเริ่มต้นวิ่งตามความฝันของเราเริ่มเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หลังจากที่เราทำงานอย่างหนัก จนเมื่อมองย้อนกลับไป ช่วงวัยรุ่นของเราแทบจะหมดไปกับการไปทำงาน เราแทบไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากนัก เราไม่ได้ใช้คำว่า นักท่องเที่ยว ในการออกเดินทางผจญภัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้เรามีโอกาสได้เดินทางไปหลายจังหวัด แต่เรากลับไม่ได้มีโอกาสซึมซับบรรยากาศเหล่านั้นเลย

เราเริ่มมองย้อนดูตัวเองว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ เรากำลังหลงอยู่ในชื่อเสียงหรือคำชื่นชมที่คนทั่วไปที่กำลังมอบให้เราอยู่รึเปล่า แล้วถ้าวันนึงเราไม่ได้มีชื่อเสียงแบบนี้ล่ะ เรายังจะยืนอยู่ได้แบบเดิมอีกมั้ย เราไม่อยากกลายเป็นสินค้าหนึ่งชิ้นที่ถูกขายทอดตลาดโดยที่มีคนมาเขียนกำกับไปซะหมดว่า สินค้าชิ้นนี้เป็นยังไง นิสัยใจคอเป็นแบบไหน โดยที่เราไม่สามารถพูดอะไรได้เลยด้วยซ้ำ เราอยู่กับคำพูดของคนอื่นที่พูดถึงเราแบบไม่รู้จักกันจริงมามากพอแล้ว

เราอยากเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและตอบใครๆ ได้เองว่า เราทำอะไรได้บ้าง ก่อนจะตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นนี้ เมื่อคิดได้อย่างนั้น เราก็เริ่มต้นกระบวนการอย่างแรก ด้วยการคุยกับครอบครัวอย่างจริงจังว่าต่อจากนี้ไปเราจะขอเดินตามความคิดของตัวเอง ลองค้นหาอะไรใหม่ๆ ให้กับชีวิต และหาสิ่งที่คิดว่าตัวเองอยากทำจริงๆ ในชีวิตสักที ความโชคดีที่สุดของเราก็คือ เรามีครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น ทุกคนพร้อมจะรับฟังและพร้อมจะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ถึงแม้จะรู้ว่าเส้นทางที่เลือกเดินคงจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ก็เชื่อใจและให้การสนับสนุนความคิดของเรามาโดยตลอด

เต็งหนึ่ง

‘เราอยากเรียนทำขนม’ อยู่ๆ คำนี้ก็ชัดเจนขึ้นมาในหัวของเรา เราเริ่มต้นตามความฝันนี้ด้วยการสมัครเรียนทำขนมปังแบบวันเดียวจบ และซื้อเตาอบเล็กๆ ขนาดเท่าโทรทัศน์ 14 นิ้วมาทดลองทำที่บ้าน สิ่งที่ได้จากการเรียนในวันนั้นตอกย้ำว่าเรามีความสุขแค่ไหนเวลาที่อยู่ในห้องครัว ได้ทดลองสูตรใหม่ๆ ได้เห็นแป้งอเนกประสงค์จากที่เป็นผงๆ กลายมาเป็นขนมปังก้อนหอมๆ หลังจากเอาออกจากเตาอบใหม่ๆ เรากลายเป็นคนมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้ามากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับเราการทำขนม ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังสนุกสนานกับการค้นคว้าผลงานชิ้นโบว์แดงให้กับโลก ขณะที่เทวัตถุดิบต่างๆ ลงในโถผสม และช่วงเวลานั้นเองที่เราตัดสินใจว่า เราจะลองเดินตามเส้นทางสายนี้อย่างจริงจัง

จากคอร์สเรียนทำขนมปังระยะสั้น เรากลายเป็นนักเรียนเชฟอย่างเต็มตัวด้วยการลงสมัครเรียนหลักสูตรขนมอบสไตล์ฝรั่งเศสที่ Le Cordon Bleu ช่วงแรกเราเรียนแค่สัปดาห์ละ 1 วัน ใช้เวลา 6 เดือนถึงจะจบเทอม เราเริ่มรู้สึกว่าการเรียนแบบนี้ทำให้เราไม่สามารถโฟกัสกับการทำขนมได้มากพอ เพราะเวลาที่หยุดไปในแต่ละสัปดาห์ มีเรื่องอื่นๆ มาทำให้การทำขนมถูกรบกวนจนบางครั้งพอกลับมาทำในสัปดาห์ต่อไปต้องใช้เวลาในการทบทวนเยอะ กว่าจะกลับมาคล่องแคล่วเหมือนเดิมก็เสียเวลาพอสมควร

ในช่วงเทอมที่ 2 และ 3 เราตัดสินใจหยุดรับงานแสดงเกือบทั้งหมดเพื่อจริงจังกับการเรียนอย่างเต็มที่ คราวนี้เราใช้เวลาเรียน 4 วันต่อสัปดาห์ และช่วงวันหยุดก็ฝึกงานควบคู่ไปด้วย เราใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการเรียนทั้งหมดจนจบออกมาในช่วงเดือนตุลาคมปี 2559

หลังจากเรียนจบเป็นเชฟเลือดใหม่ไฟแรง เราเริ่มมองหาเส้นทางการทำงานอย่างจริงจังในหลายๆ ที่ และเริ่มวิ่งตามความฝันอื่นๆ ที่อยากทำในชีวิตแต่ยังไม่มีโอกาส หนึ่งในนั้นคือการไปเรียนภาษาอังกฤษและฝึกงานในต่างประเทศ เรามองหาประเทศและสถาบันที่จะไปเรียนต่ออยู่พักเล็กๆ ก่อนจะตัดสินใจเคลียร์ทุกอย่างในชีวิต รวมถึงงานต่างๆ ที่รับไว้ก่อนหน้าที่จะเดินทาง

เมื่อทุกอย่างลงตัวเราก็เก็บกระเป๋าเริ่มเดินทางในชีวิตครั้งใหญ่อีกครั้งในเดือนมกราคมปี 2560 จุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คือ ‘นิวยอร์ก’

เต็งหนึ่ง

Save

Writer & Photographer

Avatar

คณิศ ปิยะปภากรกูล

นักร้อง-นักแสดง ที่ผันตัวเองมาเป็น Youtuber เริ่มออกเดินทางตามความฝันการเป็นเชฟทำขนมมือใหม่