ตอนนั้นเป็นเวลาตี 2 เราตื่นเพราะแรงเหวี่ยงของรถทัวร์ที่วิ่งบนถนนที่มีทางโค้งมากกว่าปกติ ช่วงท้ายๆ ของเส้นกรุงเทพฯ-แม่ฮ่องสอนก็เป็นแบบนี้ จากที่ถามมา รถจะถึงจุดที่เราต้องลงในอีกประมาณ 1 ชั่วโมง จะนอนต่อก็กลัวเลยป้าย ตั้งสติ ใส่รองเท้า เก็บของใส่กระเป๋า… กระเป๋าอยู่ไหนก่อน ยังไม่ทันถึงไหนเลยกระเป๋าจะหายไม่ได้เด้อ หลังจากคลานที่พื้นเพื่อหา สักพักก็เจอกระเป๋าที่กลิ้งไปอยู่ใต้เบาะที่นั่งอีกฝั่ง เราปิดไฟฉาย พร้อมกับหันไปขอโทษป้าที่มองมาแบบโกรธๆ
ถ้าเปรียบเทียบความเสียใจกับความเสียดาย คุณจมอยู่กับความรู้สึกไหนนานกว่ากัน เราเป็นมนุษย์ที่ฝังใจกับความเสียดายมากกว่า การเดินทางครั้งนี้ก็เช่นกัน ตอบอย่างชุ่ยๆ เลยว่า แค่กลัวเสียดายที่ไม่ได้ไป
ตี 3.15 นาที เรายืนเคว้งอยู่ที่ป้ายรถเมล์คนเดียว ในอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ บนหลังสะพายเป้แบ็กแพ็กที่ใหญ่เกือบเท่าตัว ข้างหน้าสะพายกระเป๋าที่เพิ่งหาเจอเมื่อกี้ มืดๆ แบบนี้ไม่รู้จะกลัวผีหรือคนดี แต่ยืนตรงนี้ไม่เวิร์กแน่ๆ สักพักเราก็พาตัวเองมาอยู่หน้าเซเว่นที่ดูจะปลอดภัยกว่าเมื่อกี้ พ่อค้าแม่ค้าเริ่มมาตั้งแผงขายของแล้ว
“แทนถึงแล้วนะคะ แต่เดินมารอหน้าเซเว่น”
เราส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มที่มีคนแปลกหน้าอีก 20 กว่าชีวิตที่จะมาร่วมเดินทางครั้งนี้
รถกระบะที่ข้างหลังเต็มไปด้วยของที่จะเอาขึ้นไปให้เด็กๆ บนดอยจอดตรงริมฟุตบาทเพื่อมารับพวกเรา จุดประสงค์ของการมาเชียงใหม่ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆ ครั้งนี้เราตั้งใจไปเป็นครูอาสา ปลายทางอยู่ที่ศูนย์การเรียนชุมชนไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านแม่ฮองกลาง ตำบลนาเกียน อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ นั่งรถกระบะมาได้ชั่วโมงกว่าก็ถึงสวนสน พี่นิ้วนาง ผอ. ค่ายบอกว่าเราจะรอคนอื่นๆ ที่นี่ก่อน พี่นิ้วนางเป็นคนคัดเลือกทุกคนจากใบสมัครที่กรอกไปในเพจเฟซบุ๊ก Niewnang On The Mountain l ครูอาสาบนดอยสูง
มารู้ทีหลังว่าพี่เขาไม่เลือกให้คนที่รู้จักกันมาก่อนมาด้วยกัน เพราะอยากให้ทุกคนเปิดใจทำความรู้จักคนใหม่ๆ หลังจากถ่ายรูปรวมพอเป็นพิธี เราขึ้นกระบะอีกครั้ง มุ่งหน้าไปอำเภออมก๋อยเพื่อแวะตลาดซื้อเสบียงสำหรับคนแปลกหน้าทั้ง 26 ชีวิตที่จะต้องใช้ชีวิตด้วยกันอีก 4 วัน
จากตรงนี้ต้องนั่งกระบะโฟวิลขึ้นเขาไปอีก 4 – 5 ชั่วโมง จากถนนธรรมดา สู่ถนนที่สร้างเป็น 2 เส้นขนานกัน แต่ละเส้นกว้างกว่าล้อรถไม่มาก เว้นช่วงใต้ท้องรถไว้ ถ้าคนขับเผลอจามนิดหนึ่ง ล้อรถคงได้ตกลงไปในร่องนั้น แต่นั่นยังไม่ใช่ที่สุด หลังจากนั้นทางเปลี่ยนเป็นถนนดินลูกรังที่ความกว้างกว่ารถนิดเดียว คราวนี้ไม่ใช่แค่ตกร่อง แต่คงได้ตกเขาแทน
กว่าจะถึงปลายทางฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เพราะรถเสียระหว่างทาง ทำให้เสียเวลาซ่อมอยู่นาน แต่เด็กๆ ก็ยังวิ่งมาตอนรับอย่างตื่นเต้น หลังจากช่วยกันขนของและกางเต็นท์ เราก็กินข้าวที่เตรียมไว้โดยครูประจำที่นั่น ไข่เจียวเย็นเจี๊ยบบอกระยะเวลาการมาสายของพวกเรารวมถึงอากาศบนนั้น
เราเปลี่ยนซิมโทรศัพท์เป็นเครือข่ายเดียวที่มีสัญญาณ เพื่อโทรบอกแม่ว่าถึงแล้วปลอดภัยดี พร้อมกับบอกว่าจะไม่มีอินเทอร์เน็ต แม่รับรู้และวางไป 10 นาทีต่อมา เราเดินออกมาจากโรงอาหาร เงยหน้ามองฟ้า จำได้ว่าคืนนั้นดาวเยอะมากๆ ท้องฟ้าสวยจนโทรหาแม่อีกครั้งเพื่อเล่าภาพท้องฟ้าที่เรามองอยู่ ดาวเยอะจนแทบไม่มีตรงไหนเป็นสีดำ สลับกับกรุงเทพฯ ที่ดาวน้อยจนฟ้าทั้งหมดเป็นสีดำ
การมาเป็นครูอาสาคือสิ่งที่ทำให้เราอยากมาที่นี่ ตั้งแต่เรียนอนุบาลยันมหาวิทยาลัย เราเป็นเด็กกลางห้องมาตลอด ไม่ได้มีวิชาที่ถนัดจนติวให้ใครได้ เรียกได้ว่าเป็นนักเรียน เป็นฝ่ายรับความรู้มาตลอด ครั้งนี้อยากลองเป็นผู้ให้บ้าง แต่พอโดนเรียกว่า ‘ครู’ เข้าจริงๆ บนค่ายนี้ ก็ถึงกับเขินจนทำตัวไม่ถูก รีบแก้เขินด้วยการเรียกตัวเองว่า ‘พี่’ กลับไป
เรามีหน้าที่สอนศิลปะเด็ก ป.1 – 3 นอกจากอายุที่ห่างกันเกิน 1 รอบนักษัตร อุปสรรคอีกอย่างของการสอนคือเด็กๆ ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นหลัก น่าจะพูดกันแต่ภาษาชาวเขาหรือภาษากะเหรี่ยง การสื่อสารเป็นไปอย่างงงๆ ถามคำตอบคำ เช่น “กินข้าวรึยังคะ” “กินข้าวแล้วค่ะ”
หรือถ้าถามอะไรที่ยากๆ หน่อย คำตอบที่ได้กลับมาจะเป็นเสียงหัวเราะแก้เขินของเด็กๆ มากกว่า จนชักไม่แน่ใจว่าที่บรรยากาศห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ไม่รู้เพราะเด็กๆ สนุกกับการวาดรูป หรือหัวเราะแก้เขินกันแน่ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่ไร้เดียงสาขนาดนั้น นึกย้อนกลับไปทีไรก็ชื่นใจทุกที เพราะอย่างนั้นการโดนเรียกว่าครู กับการได้พูดคุยกับเด็กๆ ชาวดอยก็คงเป็นเรื่องที่เราเสียดายที่สุดถ้าไม่ได้มา
จริงๆ แล้วความตั้งใจในการสอนครั้งนี้ของเราคืออยากให้น้องๆ ได้รู้ว่าศิลปะอยู่รอบตัวเราเสมอ ไม่ใช่วาดรูป แต่เรามีเวลาแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ทำให้เราคิดว่าอาจจะยากเกินไป ถ้าสอนไปแล้วเด็กไม่เข้าใจ เผลอๆ จะทำให้ไม่ชอบวิชานี้กันเปล่าๆ จนสุดท้ายเราก็ตัดสินใจให้วาดท่าทางของคนตามที่เราทำ อย่างน้อยก็ให้เด็กๆ รู้สัดส่วนคนแล้วกัน แม้จะเสียดายที่ไม่สามารถสอนตามที่วางแผนไว้ แต่ถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องทำตามประโยคที่ว่า “อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว ดีเสมอ”
เพราะสุดท้ายแล้ว ณ ตอนนั้นเราก็ทำเต็มที่ และก็มั่นใจว่าคาบเรียนนั้นทุกคนสนุกไปกับกิจกรรมของเราแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนท้ายคาบยังมีเด็กบางคนวาดรูปมาให้เรา ทำเอาใจชื้นไปหมด น่ารักจริงๆ
ปกติแล้วโรงเรียนนี้มีคุณครูประจำแค่ 2 คน สำหรับนักเรียนเกือบ 70 คน ซึ่งครูสองคนก็จะแบ่งหน้าที่การสอนเป็นอนุบาลถึง ป. 3 และอีกคนสอน ป. 4 ถึง ม. 3 โดยที่ทั้งสองคนต้องสอนทุกวิชา การเป็นครูที่นี่ต้องแข็งแกร่งทั้งร่างการและจิตใจ เพราะนอกจากการสอนแล้ว ครูยังมีหน้าที่ดูแลเด็กในเรื่องสุขภาพและอาหาร
วันดีคืนดีก็เห็นครูลงรูปในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่ากำลังตัดผมและหมักผมให้เด็กๆ พร้อมกับข้อความว่า “มากำจัดเหากัน” เรียกได้ว่าครูเป็นทุกอย่างให้นักเรียนแล้วจริงๆ แม้กระทั่งการดูละคร มีเด็กบางคนนอนค้างกับครูที่โรงเรียนเพื่อรอดูละครด้วยกัน เพราะแต่ละบ้านไม่มีไฟฟ้า ไม่ต้องพูดถึงโทรทัศน์ ขนาดเนื้อสัตว์สำหรับทำอาหารยังเก็บไว้ในกระติกเก็บความเย็นธรรมดาแทนที่จะเป็นตู้เย็น
สมัยเราเรียนหนังสือ บางคาบที่เราไม่ได้เรียนเพราะครูทุกคนไปประชุม ทำเอาเฮกันทั้งห้อง ที่โรงเรียนนี้ก็มีแบบนั้นเช่นกัน แต่การประชุมของครูนั้นเท่ากับว่าครูต้องลงไปประชุมในเมือง ไปทีก็ไปเป็นสัปดาห์ ระหว่างรอครู เด็กๆ ก็ช่วยพ่อแม่ทำงาน เด็กโตจะทำไร่หรือเข้าป่าหาฟืนหาอาหาร ส่วนเด็กเล็กก็จะอยู่บ้านช่วยหุงข้าว ทำให้บางครั้งไม่มีการเรียนการสอนไปเลยเป็นเดือน
กิจกรรมหลักอีกอย่างของค่าย คือการพาเด็กๆ ไปทำมัดย้อมที่น้ำตก หลังจากเดินไปได้ไม่ถึง 1 ชม. เราก็สรุปว่านี่เป็นการ Trekking ที่โหดที่สุดเท่าที่เคยเดินมา (ก็แหงสิเคยเดินแต่เชียงดาว) ทางแคบจนต้องอาศัยทักษะการทรงตัวอย่างสูง ไม่งั้นได้กลิ้งตกเขาแน่ๆ แน่นอนว่ามันยากมากสำหรับมนุษย์ที่เดินชนขาโต๊ะที่บ้านทุกวันอย่างเรา จนเด็กๆ ต้องมาจูงมือ บางคนเห็นเงียบๆ ในห้องเรียน พอมาเดินแบบนี้กลับดูคล่องแคล่วกว่าเด็กคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคนนำทางก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คุณครูอีกนั่นแหละ ครูเดินราวกับว่าใบไม้แต่ละใบมีลูกศรเขียนไว้ว่าให้ไปทางไหน
ถึงสุดท้ายจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปทำมัดย้อมไกลและลำบากขนาดนั้น แต่เราก็ไม่เคยเสียดายที่ไปเลย ทุกวันนี้การเดินครั้งนั้นยังเป็นเรื่องที่เราเล่าให้คนอื่นฟังด้วยความสนุกและตื่นเต้นอยู่เสมอ เป็นอีกเรื่องที่ถ้าไม่ได้ทำคงเสียดายแย่ ถึงแม้ขากลับจะต้องลุยน้ำเชี่ยวชนิดที่ว่าสูงถึงเอว มองย้อนกลับไป เอ้อ ก็น่ากลัวอยู่เด้อ
กองไฟเป็นกิจกรรมที่เราชอบมากมาแต่ไหนแต่ไร เพราะรู้สึกว่าบทสนทนามันอบอุ่นกว่าปกติ การคุยเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตให้กับคนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่วันกลับลื่นไหลได้ดีกว่าที่คิด เขียนแบบลึกซึ้งไปงั้น จริงๆ ก็เพราะมีดาวลอย (เหล้าหมักของชาวดอย) ให้จิบแก้หนาวกันทั้งวง
ถึงแม้ต้องตื่นเช้าทุกวัน แต่ทุกคืนในค่ายเราก็พยายามอยู่ให้ดึกที่สุด เพราะตรงนั้นมันดีจริงๆ นั่นแหละ มีช่วงหนึ่งที่เราแอบแวบออกจากรอบกองไฟไปนั่งคุยกับเด็กๆ คราวนี้ไม่ได้มีแต่เสียงหัวเราะกลับมาแล้ว อาจเป็นเพราะเป็นเด็กโตหน่อย เลยได้รู้ว่าเด็กที่นี่ส่วนใหญ่เรียนถึงแค่ ม.3 เด็กผู้ชายบางคนจะไปเรียนต่อในหมู่บ้านอื่นที่ใหญ่กว่า แต่ก็เรียนถึง ม.6 เท่านั้น ส่วนเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่จะอยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำงาน ถึงแม้จะรู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้คงเครียดน้อยกว่าอยู่ในกรุงเทพฯ แน่ๆ แต่บางครั้งเราก็เสียดายกับเรื่องที่ยังไม่เกิด อย่างความสามารถของเด็กๆ ที่นี่ หนึ่งในเด็กที่เราสอนเป็นคนที่ชอบวาดรูปมากๆ วาดออกมาได้ดีแถมยังถนัดมือซ้ายอีก เพราะจากที่เจอคนถนัดมือซ้ายมา ทุกคนจะเก่งด้านศิลปะทั้งนั้น เหมือนเป็นพรสวรรค์ เสียดายที่เด็กๆ อาจไม่ได้รู้ถึงศักยภาพหรือใช้ความสามารถที่ตัวเองมี เราได้แต่บอกน้องคนนั้นไปว่าอย่าหยุดวาดรูปนะ วาดไปเรื่อยๆ นะ ถ้าหยุดไปพี่คงเสียดาย
โรงเรียนนี้ถูกล้อมไปด้วยภูเขา คงเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่มีวิวที่สวยที่สุดในประเทศไทย ทุกเช้าเด็กๆจะมาเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อเคารพธงชาติ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ดำน้ำ ดูปะการัง (อันนี้หยอก) ถึงแม้จะมีครูแค่ 2 คน แต่จากการเฝ้ามองเด็กตลอด 4 วัน ก็รู้ได้เลยว่าครูทั้งสองท่านอบรมสั่งสอนเด็กๆ เรื่องความมีวินัย น้ำใจ ความเป็นระเบียบ เป็นอย่างดี เพราะถึงแม้จะเป็นวันเสาร์อาทิตย์ที่พวกเราต้องทำการสอน เด็กๆ ก็มาโรงเรียนกันแต่เช้าตรู่ เพื่อทำกิจกรรมหน้าเสาธงตามปกติ รวมไปถึงการตั้งใจเรียนเป็นอย่างดี
สิ่งที่ครูอาสาอดใจไม่เข้าร่วมไม่ได้นั่นคือการเต้นออกกำลังกาย เด็กบางคนเต้นอย่างเอาเป็นเอาตาย บางคนยืนเฉยๆ ตลอดการเต้น การเต้นนี้ยาวเกือบ 20 นาทีโดยไม่มีการพัก ทำเอาเรายอมแพ้และออกจากแถวไปตั้งแต่เพลงแรกๆ แต่พี่บางคนที่อายุมากกว่าเราหลายปียังเต้นได้อย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด จนเราสัญญากับตัวเองว่าถ้าอายุเท่าพี่เขา จะต้องแข็งแรงแบบนั้นให้ได้ หลังจากกลับมา ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงที่เคยเต้นกับทุกคนบนยอดเขานั้น เราจะเผลอยิ้มทุกที
สำหรับเรา การไม่มีไฟฟ้าหรือการต้องก่อเตาถ่านทุกครั้งที่ทำกับข้าวดูเป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย แต่สำหรับคนที่นั่น เรื่องพวกนี้คงเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตตามแบบของตัวเอง มีความสุขในสิ่งที่มี การมาค่ายครั้งนี้ทำให้เราได้เจอสังคมใหม่ๆ ได้พูดคุยกับคนใหม่ๆ ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ และที่เขาบอกกันว่าให้ออกไปสัมผัสโลก มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แหละ เพราะขั้นกว่าของการไม่เสียดาย คือการดีใจที่ได้ทำ
Write on The Cloud
Travelogue
ถ้าคุณมีประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ ๆ จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญแบ่งปันเรื่องราวความรู้ของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ และชื่อ Facebook มาที่อีเมล [email protected] ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะส่งสมุดลิมิเต็ดอิดิชัน จาก ZEQUENZ แบรนด์สมุดสัญชาติไทย ทำมือ 100 % เปิดได้ 360 องศา ให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ