เข้าวงการช้า ไม่ใช่ชื่อที่เป็นแม่เหล็กขายได้ ข่าวในหน้าข่าวบันเทิงแสนน้อยนิด ชีวิตของเขาแทบไม่มีใครสน แต่ครั้งหนึ่ง เป็นเอก รัตนเรือง เคยบอกว่า ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม คือนักแสดงที่เขาคารวะมากที่สุด

คารวะในความหมายของการยอมรับทั้งฝีไม้ลายมือ ความเอาจริงเอาจัง และความเคารพต่องานที่ทำ-ต่อคนดู

หากใครติดตามผลงานของนักแสดงชายผู้นี้มาอย่างต่อเนื่องย่อมเข้าใจถ้อยคำสรรเสริญนั้นได้ไม่ยาก ผลงานของเขาแม้ไม่มาก แต่ล้วนยืนยันว่าเขาคือนักแสดงคุณภาพ หาใช่เข้ามาอาศัยในวงการอย่างฉาบฉวย

“ผมรู้สึกมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าการทำหนังมันยาก เพราะฉะนั้น พอคนมารวมใจกันทำ แล้วมีนาทีหนึ่งที่เราไม่ตั้งใจ เราจะเสียดายไปตลอด” ปีเตอร์ว่าอย่างนั้น

หากย้อนมองผลงานที่ผ่านมา-ซึ่งอาจจะไม่ได้มากมายอะไรเมื่อเทียบกับนักแสดงหลายๆ คน จะพบว่าเขารับงานค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงในภาพยนตร์อย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค 2-6, นางไม้, ฝนตกขึ้นฟ้า ไปจนกระทั่ง Club Friday The Series

ล่าสุดเมื่อเห็นเขามีผลงานอีกครั้งกับบท ‘ผู้คุม’ ในภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของค่าย GDH อย่าง HOMESTAY ผมจึงนัดพบเขาเพื่อพูดคุยถึงชีวิตที่คล้ายอุทิศให้การแสดงของเขา

และบทสนทนาในบ่ายวันเสาร์ก็ยิ่งตอกย้ำถ้อยคำในย่อหน้าแรก

ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, HOMESTAY

คุณรับแสดงทั้งเรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทั้ง นางไม้ ทั้ง HOMESTAY ทั้งซีรีส์ ปกติคุณเป็นคนเลือกงานไหม

เลือกครับ เลือกมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่เล่นหนังเรื่องแรกๆ มันไม่เกี่ยวว่าเราอายุมากขึ้นหรืออะไร เพราะว่าผมเริ่มงานแสดงตอนอายุเยอะแล้ว เริ่มแสดงละครตอนอายุ 25 ซึ่งไม่ใช่วัยของคนที่จะเริ่มต้นแสดง สมัยก่อนเด็กๆ ก็แสดงตั้งแต่อายุ 17 – 18

แล้วคุณเลือกงานอย่างไร

พองานติดต่อมาเราไม่ได้ใช้อะไรเลย ใช้ความรู้สึกอย่างเดียว เหมือนใช้สัญชาตญาณ อ่านบทดู ไม่เกี่ยวว่าบทน้อยหรือมาก ไม่เกี่ยวว่าเป็นบทที่สำคัญหรือไม่สำคัญ แต่พออ่านแล้วเราเห็นและเข้าใจมันหรือเปล่า สนุกหรือเปล่า ผมต้องอ่านก่อน จะน้อยจะมากก็ต้องเอามาอ่านก่อน ถ้าไม่อ่านก็ไม่คิด ไม่คิดคือไม่ตัดสินใจ

แต่การปฏิเสธงานก็เหมือนปฏิเสธเงินหรือเปล่า

เราจะรู้ได้ยังไง เพราะมันเหมือนสัญญาอนาคตว่าทำสิ่งนี้ให้เขาหน่อย แล้วถ้าผมไม่ได้อ่าน ผมจะรู้ได้ยังไงว่าผมจะทำได้ เหมือนเราไปสัญญากับเขาว่าเราทำได้ อ้าว ถ้าเกิดมาแล้วทำไม่ได้ล่ะ หรือรับมาแล้วแต่เราไม่เห็นจะเข้าใจตัวละครนี้เลย หรือไม่เห็นจะเข้าใจเรื่องราวนี้เลย ซึ่งผมก็เคยทำนะ พอไปทำมันก็จะแปลกๆ มันจะไม่สบายใจ แล้วสุดท้ายถ้าเราไม่เข้าใจ คนดูเราก็ไม่เข้าใจหรอก

ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, HOMESTAY

เห็นว่าตอนแสดงเรื่อง นางไม้ คุณถึงกับต้องไปอยู่บ้านของตัวละครล่วงหน้าหลายวันเพื่อเตรียมตัว ทำไมต้องทำขนาดนั้น

มันเริ่มต้นจากการที่เราศึกษา สนใจ เรื่องการแสดง เราก็ดูนักแสดงท่านอื่นๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศว่าเขามีวิธีเตรียมตัวยังไง แล้วมาคิดว่าอันไหนมันน่าจะใช้ได้บ้าง ก็ทดลองไปเรื่อยๆ

ที่ผมต้องไปอยู่บ้านนั้น เพราะว่าเราอาจจะยังหาคำตอบของตัวละครนั้นไม่ครบมั้งครับ อย่างเช่นตอน นางไม้ ถ้าเกิดผมเข้าไปแสดงวันนั้นวันแรก แล้วในบทคือนี่เป็นบ้านที่ผมอยู่กับนางเอกมาสักพักแล้ว แต่ผมไม่รู้เลยว่าห้องน้ำอยู่ไหน ซิงก์อยู่ตรงไหน ผมไม่ชินกับมัน ผมก็จะเดินในฉากแบบไม่ชินกับมัน ที่ไปอยู่ก็เหมือนเป็นการสร้างความสบายใจให้กับตัวเองเวลาไปแสดงด้วย เราจะได้รู้จักมันจริงๆ

เวลาเราทำการบ้านตัวละคร ถ้าเราไม่รู้จักมันจริงๆ เราจะตื่นเต้น แล้วเราจะกลัว เหมือนเวลาเราไปทำข้อสอบ ถ้าเราอ่านหนังสือไปไม่พอ เราจะรู้สึกไม่มั่นใจ ผมว่ามันคล้ายๆ กัน เพราะวันแสดงก็เหมือนวันทำข้อสอบ คือมีโอกาสครั้งเดียว 10 นาทีนั้นก็ 10 นาทีเดียว 5 นาทีนั้นก็ 5 นาทีเดียว มันเหมือนเราสร้างความสบายใจให้ตัวเองมากกว่า เราต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเรารู้จักตัวละครพอหรือยัง อย่างไปอยู่ในบ้านถ้าเราไม่รู้จักบ้านเราก็ไม่มั่นใจ หรือถ้านางเอกถามเราอย่างนี้ แล้วเราก็แค่อ่านตามไดอะล็อก ตอบไปง่ายๆ แต่เราไม่รู้ว่าตอบไปทำไม หรือว่าเราไม่รู้ว่าตัวละครตัวนี้ตอบไปเพื่ออะไร เพราะอะไร มันก็จะแค่ตอบไปอย่างนั้น

แต่คนดูก็ไม่รู้หรือเปล่าว่าคุณรู้จักตัวละครละเอียดแค่ไหน

แต่เวลาเราแสดงเราไม่ได้คิดถึงคนดู เราคิดแค่ว่าเราซื่อสัตย์กับตัวเองหรือเปล่า เราคิดถึงตัวเองว่าเราตอบมันได้จริงหรือเปล่า เวลาผมเริ่มรับงานผมจะเปิดบท แล้วก็เริ่มถามตัวเองว่าเรารู้มันจริงเหรอ เพราะไม่อย่างนั้นพอเราไปแสดงคนอื่นอาจจะไม่รู้ก็ได้ แต่เรารู้ เรารู้ว่าเราไม่ได้จริงกับมัน เราไม่เข้าใจมัน

ผมว่าสิ่งนี้มันทำร้ายตัวเองมากที่สุด มากกว่าคนดูอีก ถ้าถึงเวลาที่ผมไม่รู้จริงๆ แล้วผมไปทำอะไรบางอย่าง ไปซ่อนหรือหลอกเขา หมายความว่าเราก็รู้แก่ใจ เพราะฉะนั้น การทำการบ้านทุกอย่างมันเพื่อเรา แล้วก็เพื่อหนัง คือผมรู้สึกมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าการทำหนังมันยาก เพราะฉะนั้น พอคนมารวมใจกันทำ แล้วมีนาทีหนึ่งที่เราไม่ตั้งใจ เราจะเสียดายไปตลอด

คือคุณจะรู้สึกผิด

อาจจะไม่ถึงกับรู้สึกผิด แต่รู้สึกว่าเราไม่จริงจัง ไม่จริงใจ กับสิ่งที่เราทำ

แล้วที่ผ่านมาคุณทำความเข้าใจตัวละครด้วยวิธีไหนบ้าง

มันมีหลายรูปแบบตามแต่ตัวละครต่างๆ กัน อย่างเช่นการไปอยู่ในบ้านตัวละครก็ใช่อย่างหนึ่ง หรืออีกตัวอย่างตอนถ่าย นางไม้ ผมรู้สึกไม่ค่อยเชื่อมโยงกับตัวนางเอก เลยใช้วิธีไปถ่ายรูปเขาวันที่ฟิตติ้ง เพราะผมรู้สึกว่า ผมแสดงเป็นแฟนเขา แล้วตัวละครนั้นเป็นช่างภาพ ผมก็ต้องเคยถ่ายรูปเขามาเป็นพันพันรูป แต่ผมไม่เคยถ่ายเขาเลย เห็นเขาฟิตติ้งกันผมก็เลยหยิบกล้องมาถ่ายเขา ให้รู้สึกว่าผมเคยมองเขาผ่านกล้องหลายๆ ครั้ง เพื่อพยายามเชื่อมโยงความรู้สึกกับเขา แต่วิธีมันก็ไม่ตายตัวในแต่ละเรื่อง

ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, HOMESTAY ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, HOMESTAY

รู้สึกไหมว่าทำงานเกินค่าตัว

จริงๆ ต้องคิดตรงข้ามนะ การทำงานแบบนี้มันเป็นการเห็นแก่ตัว เพราะว่าเรากำลังทำให้ตัวเราเองสบายใจ มากกว่าที่จะทำให้คนอื่นสบายใจ โอเค ความเป็นห่วงของผมอย่างหนึ่งคือผมจะทำให้ผู้กำกับพอใจได้หรือเปล่าในสิ่งที่เขาต้องการ นั่นคือส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งคือ จริงๆ เราเห็นแก่ตัวแหละ เพราะว่าผลลัพธ์คือเราเองจะไม่สบายใจถ้าเราเตรียมมันไม่ดี มันคือการเห็นแก่ตัวแหละ

ที่ว่าจะรับงานไหนอ่านบทแล้วต้องเห็นภาพหรือเข้าใจมัน แล้วอย่างบทผู้คุมในเรื่อง HOMESTAY คุณอ่านแล้วเห็นอะไร

เรื่องนี้จะต่างจากเรื่องอื่นนิดหนึ่งตรงที่อ่านแล้วก็ยังไม่เห็น เพราะว่าตัวละครผู้คุมเป็นตัวละครใหม่สำหรับผม เป็นคาแรกเตอร์ที่เราไม่คุ้นเคย แต่ด้วยความที่ผู้กำกับ (คุณโอ๋-ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ) ให้บทมาอ่าน พออ่านแล้วบทมันดี ดีในที่นี้คือบทมันเหมือนบทหนังที่เราชอบ ผมรู้สึกว่ามันกระทบใจเรา อ่านจบแล้วผมรู้สึกอะไรกับมัน เราก็เลยคิดว่าแค่อ่านบทยังรู้สึกขนาดนี้ ถ้ามันเป็นหนังแล้วมันน่าจะส่งผลดีสำหรับคนที่เข้าไปดูหนัง เขาคงจะได้รู้สึกอะไรกลับบ้านไป ผมก็เลยรับ

ที่ว่ากระทบใจ มันกระทบใจในแง่มุมไหน

ผมว่ามันทำให้ผมรู้สึกว่าผมใช้ชีวิตแบบไม่ค่อยมีค่า เหมือนเวลาที่เราใช้ไปหลายอย่างมันมีค่าน้อยจังเลยในเวลาที่เหลืออยู่ของเรา

ชีวิตที่ผ่านมาคุณเองก็มีผลงานการแสดงที่เป็นที่ยอมรับ ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตไม่มีค่า

ชีวิตของผมมันไม่ค่อยมีสาระน่ะ ออกจะเรื่อยเปื่อยเลยแหละ มีสิ่งที่อยากทำ แต่ด้วยความเรื่อยเปื่อยของตัวเองก็เลยใช้เวลาได้ไม่ค่อยมีค่า เรารู้สึกอย่างนั้น อีกอย่างก็คือ เหมือนเราไปเสียเวลาจมอยู่กับความคิดบางอย่างที่ไม่มีประโยชน์อะไรมากเกินไป บางอย่างมันเป็นเรื่องนิดเดียวสำหรับคนอื่น แต่เราไม่เคยให้อภัยตัวเองเลย ซึ่งมันก็ไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับเราในการเก็บสิ่งนี้ไว้ในใจ เรารู้สึกว่าหลังจากนี้เราอาจจะเริ่มให้อภัยตัวเองบางอย่างได้ง่ายขึ้น ไม่ได้เก็บอะไรมาไว้ในตัวเหมือนแต่ก่อนมั้ง

ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, HOMESTAY ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, HOMESTAY

ฟังดูเหมือนมีเรื่องอยากแก้ไข แล้วปกติคุณพึงพอใจในชีวิตตัวเองไหม

ไม่นะ บอกแล้ว ผมมีความเรื่อยเปื่อยสูง มันก็เลยกลายเป็นความขัดแย้งในตัวเองว่า ไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้พยายามทำอะไรมาก คือผมไม่ได้พอใจหรอก แต่ถ้าจะให้เป็นมนุษย์มุ่งมั่นเลยก็ไม่เป็นอีก

 

ก่อนหน้านี้ปกติได้คิดถึงชีวิตในแง่มุมต่างๆ บ้างไหม

พอเริ่มอายุเยอะก็จะคิดมากขึ้น ก็คิดถึงความตาย คิดถึงความหมายในชีวิต หลังๆ ก็เกือบจะตลอดเวลา มันเหมือนกับที่ใครๆ เขาคิดๆ กันแหละครับว่า ถ้าหลับไปแล้วไม่ตื่นเลย หรือว่าเดินไปแล้วหัวใจวายล้มลงไป ชีวิตเราจะหมดความหมายแค่นี้เลยเหรอวะ ก็หวนไปคิดอีกว่า โห ที่ผ่านมามันเสียเวลามากเลยว่ะ เพราะจริงๆ มันก็แทบจะทำอะไรไม่ทันอยู่แล้ว ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่ค่อนข้างจะคิดวนไปวนมาว่า ไอ้ที่เหลือมันจะมีความหมายยังไงต่อไป แต่ว่านั่นแหละ มันก็เข้าวงจรว่า ไม่รู้จะทำยังไงว่ะ จริงๆ ผมไม่ได้ทะเยอทะยานขนาดนั้นนะ มันก็เลยล้อๆ กันไปมา มันจะมีความเจ็บปวดซ่อนอยู่ในนั้น

แต่ก่อนตอนเด็กๆ จะคิดว่าทำไมต้องตื่นขึ้นมา สบตากับคนในกระจกแล้วก็คิดว่ามันต้องมีความหมายอะไรซ่อนอยู่สิวะในการที่เรามีชีวิตอยู่ ตั้งแต่เด็กเลยนะ พอเริ่มสัก 11 – 12 ผมก็เริ่มคิดว่ามันต้องมีอะไรสิวะ แต่เราแค่ไม่รู้มันคืออะไร แต่เราก็รู้นะว่าพอมันคิดแบบนี้มากๆ มันจะเพี้ยน (หัวเราะ) เพราะผมก็เคยอ่านเจอหรือมีเพื่อนบอกว่า มันเป็นสิ่งที่มันไม่ต้องรู้หรอก เราเกิดขึ้นมาทำไมไม่ต้องรู้หรอก

ตอนเด็กๆ ผมเหมือนเป็นคนคุยกับตัวเองเยอะ เวลามองแล้วก็แบบ เหมือนเราอยู่ในร่างนี้ แล้วเราก็ไปโรงเรียน ไปโน่นไปนี่ มันต้องมีอะไรสิวะ เหมือนว่ามันต้องมีอะไรซ่อนอยู่ มันเป็นอยู่ในวังวนนี้ไปเพื่ออะไร ทำไมมันต้องเป็นเรา อาจเป็นเพราะช่วงเด็กอ่านหนังสือเยอะด้วยมั้ง อ่านไปก็ตั้งคำถามไป ทุกวันนี้ก็ยังเป็น ขับรถอยู่ก็คิดขึ้นมาว่า เออ ทำไมต้องเป็นเราที่มาอยู่ในร่างนี้ มันน่าจะมีความหมายอะไรสักอย่าง แต่มันไม่มีคำตอบไง

พออายุมากขึ้น คุณผ่อนคลายกับคำถามที่หาคำตอบไม่ได้มากขึ้นไหม

มันเหมือนพอเอาเข้าจริงๆ พอจะจบจริงๆ ผมคิดว่าตัวเราน่ะไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก ไม่ได้มีค่าอะไรหรอก เมื่อเทียบกับจักรวาลแล้วเราเล็กมาก สิ่งที่อยู่ในสมองเรามากกว่าที่ไปบอกให้เราคิดว่าเราดีพอหรือยัง ทำนู่นทำนี่หรือยัง แต่จริงๆ เราเป็นจุดที่เล็กมากนะ อันนี้อาจจะเป็นคำปลอบใจหนึ่งที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตอยู่ได้ คือไม่ต้องไปคิดอะไรมากมายขนาดนั้น เราไม่ได้มีความหมายขนาดนั้น เราเป็นแค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติเท่านั้นแหละ คิดแบบนี้อาจจะช่วยให้เราสบายใจขึ้นนะ คือมึงไม่ใช่ใคร มึงธรรมดา

ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, HOMESTAY

เวลาครุ่นคิดถึงความตาย กลัวความตายไหม

กลัวสิ (หัวเราะ) กลัวถึงคิด ก็พยายามคิดว่าทำยังไงให้ไม่กลัว ไอ้เรื่องที่มองว่าชีวิตธรรมดาก็ส่วนหนึ่ง พอเรากลัวมากๆ เราก็จะประสาทเหมือนกันนะ อันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ อันนั้นก็ยังไม่ได้ทำ แล้วถ้าเกิดเป็นมะเร็งไปจะทำยังไงวะ แล้วพอเริ่มเป็นจะไปเดือดร้อนใครเปล่าวะ นี่แหละครับ ผมกลัวจะไปเดือดร้อนคนอื่น เพราะเราก็ไม่ได้รวยขนาดนั้น ฟุ้งซ่านพอสมควรเลยแหละ

 

อยากรู้ว่าเวลาคิดถึงความหมายของชีวิต คุณคิดถึงงานแสดงที่เคยทำบ้างไหม

ผมว่างานแสดงที่ทำไปแล้วมันให้ความสุขกับเราตอนที่ทำมากกว่า ตอนที่มันผ่านไปแล้วมันก็ผ่านไป เราก็ไม่ได้ไปภูมิใจอะไรขนาดนั้น เพราะว่ามันทำหน้าที่ของมันตอนนั้นแล้ว คือมันให้ความสุขใจกับเราตอนที่เราทำ มันทำหน้าที่ของมันสมบูรณ์ไปแล้ว หลังจากนั้นเราก็มองมันเป็นอดีตส่วนหนึ่งของเรา บางอย่างก็ลืม บางอย่างก็จำ บางอย่างก็จำแล้วพยายามลืม หมายความว่าในแต่ละงานมันก็ฝากอะไรไว้ในตัวเรา ตรงนั้นดี ไม่ดี เรายังจำได้อยู่แหละ แต่ว่ามันก็ผ่านไปแล้ว มันได้ให้ความสุขกับเราแล้วไง เราก็ได้มาแล้วนี่

แล้วการแสดงเป็นผู้คุมใน HOMESTAY มันทิ้งอะไรไว้ในตัวคุณบ้าง

ผมว่าทิ้งสิ่งที่เราคุยไปแล้วแหละ คือเราใช้เวลาคุ้มค่าแล้วหรือยัง แล้วเราก็ควรจะให้อภัยตัวเองบ้าง ไม่ต้องไปคิดว่าวันนี้ลืมบทตรงนี้ว่ะ แล้วก็จำไปอีก 10 ปี เพราะว่าในท้ายที่สุดแล้วมันอยู่ในตัวเรามันก็ไม่ได้ทำให้เราสบายใจ

 

คุณเคยร่วมงานทั้งภาพยนตร์ที่แมสมากๆ และภาพยนตร์ที่มีความป็นศิลปะมากๆ เอาเข้าจริงคุณให้ค่ากับทุกงานเท่ากันมั้ย

ผมเห็นคุณค่าในทุกงาน เพราะว่าคนเรากว่าจะทำหนังได้สักเรื่อง ถ้าไม่ช่วยกันพยายาม ไม่มีทางสำเร็จเลย แค่จะเขียนบทขึ้นมาสักหน้ากระดาษหนึ่งมันยังยากเลย

สำหรับผมการจะทำหนังออกมาได้มันยากมากเลยนะ มันเหนื่อย มันต้องคุยกับคนเยอะ มีปัจจัยเยอะ เพราะฉะนั้น ถ้าทำออกมาได้แล้วมันมีคุณค่าทั้งนั้นแหละ แต่ว่าในแง่ไหนเท่านั้นเอง มันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีใครชอบ แต่มันคงมีคุณค่ากับคนที่ทำแล้วแหละ

ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, HOMESTAYแล้วในมุมมองของคุณ ภาพยนตร์ที่ดีเป็นอย่างไร

หนังที่ดีมันค่อนข้างง่ายนะ ถ้ามันส่งผลกับจิตใจเรา ไม่ว่าในด้านใดก็ตาม ทำให้เรานึกถึงวันนั้นของอดีต หรือว่านึกถึงสิ่งที่เราจะทำต่อไปในอนาคต หรือว่ากระเทือนต่อใจเราในปัจจุบัน ผมว่าแค่นี้แหละพอแล้ว

ลองดูในชีวิตประจำวันเรา กว่าเราจะรู้สึกซาบซึ้งไปกับอะไรในปัจจุบันที่เราชินชามาตลอดมันไม่ง่ายนะ แต่หนังทำให้เรารู้สึกสิ่งนั้นได้ ซึ่งผมว่ามันกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเราต่อไปแน่นอน อย่างเช่นทำให้เรานึกถึงแม่ สำหรับผมแค่นั้นพอแล้ว หรือหัวเราะได้นิดหนึ่ง ร้องไห้นิดหนึ่ง เมื่อนึกถึงคนคนนั้น นึกถึงเพื่อนในอดีต หรือนึกถึงวัยเด็กของเรา เพียงพอแล้ว

ในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง คุณดูมีข่าวในสื่อบันเทิงน้อยมาก มันเกิดจากความตั้งใจหรือบังเอิญ

เหมือนนักข่าวไม่ค่อยได้สนใจผม เพราะว่าไม่ได้อยู่ในส่วนที่ทำอะไรต่อไปได้

มันเกิดจากผมขายของไม่เก่ง หมายความว่า สมมติเวลาไปโปรโมตอะไรมันเป็นความยากสำหรับผม ผมเป็นคนไม่สนุกน่ะ ชีวิตผมไม่สนุก ผมเป็นคนที่ไม่สามารถเล่าเรื่องตลกอะไรให้ใครฟัง หรือเล่าเรื่องอะไรให้ดูน่าสนุก เพราะฉะนั้น เวลาไปโปรโมตผมก็จะค่อนข้างอึดอัด เพราะมันเหมือนต้องแสดงนิดหนึ่ง

ผมเลยค่อนข้างอายๆ เวลาไปโปรโมต รู้สึกไม่ดีที่ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเขา หรือว่าเป็นตัวละครที่ทำให้หนังมีคนสนใจ เพราะว่าผมไม่ได้อยู่ในหมวดที่เรียกข่าวได้ สมมติผมไปอยู่ในงานโปรโมตหนังสักงานหนึ่ง ผมก็ไม่ได้จะดึงให้ใครมามีเรื่องราวโน่นนั่นนี่ได้ ผมไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับเขาน่ะ แล้วผมก็ไม่คอยเก่งเรื่องการทำให้มันดูมีเรื่องมีราว ตื่นเต้นหรือสนุก ก็เลยส่งผลรวมๆ มั้ง

ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, HOMESTAY

สิ่งนี้ทำให้คุณเสียโอกาสมั้ย บางคนถึงกับบอกว่ามีข่าวเสียยังดีกว่าไม่มีข่าว อย่างน้อยคนจะได้ไม่ลืม

ไม่นะ ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ตั้งแต่แรกเลย ผมอยู่ในโหมดที่ไม่ใช่คนดังน่ะ ไม่ใช่คนที่ถ้าเอาไปเป็นพระเอกแล้วจะต้องขายได้แน่เลย ผมอยู่ในหมวดนี้ตั้งแต่แรกๆ ก็เลยไม่ค่อยคิดถึงว่ามันจะเสียโอกาสหรืออะไร ไม่คิดถึงเลย

คุณทุ่มเทชีวิตให้การแสดง แล้วรู้สึกไหมว่าชื่อเสียงที่ได้รับกลับมามันไม่ตอบแทนเรามากเท่าที่ควรกับสิ่งที่เราลงแรงไป

ไม่เคยคิดเปรียบเทียบอย่างนั้นเลย เพราะว่าแค่โอกาสที่จะได้ทำงานมันก็ยากแล้ว หมายความว่าผมพอใจแล้วแหละที่ได้ทำงาน จริงๆ เป้าหมายส่วนตัวผมมันก็เหมือนทำงานออฟฟิศแหละ ในใจลึกๆ จริงๆ คือมันอยากทำงานทุกวัน คนอื่นผมไม่รู้ แต่ผมเหมือนพนักงานออฟฟิศเลย ผมอยากออกไปแสดงทุกวัน ใจมันอยากออกกอง อยากไปเล่นหนังทุกวัน แต่ด้วยเวลาผ่านไปมันจะยอมรับเองว่า เออ มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้หรอก พอถึงช่วงเวลาที่เราแสดงเราจะมีความสุขมาก เพราะว่ามันคือสิ่งที่เรารอมาตลอด

ที่ผ่านมาเห็นคุณเคยได้รับรางวัลจากการแสดง รางวัลเหล่านั้นมีความหมายกับคุณบ้างไหม

มันมีความหมายต่อจิตใจนะ การให้รางวัลก็คือเขาเห็นสิ่งที่เราทำ แล้วเขารู้สึกชอบในสิ่งที่เราทำ มันมีความหมายต่อเรา แต่ว่าไม่มีความหมายต่องานชิ้นใหม่ที่จะทำต่อไป เราดีใจ เราภูมิใจ กับสิ่งที่เขามองเห็น แต่ว่ามันไม่มีความหมายกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป เพราะรางวัลไม่ใช่อุปกรณ์พิเศษที่ติดตัวเราไป แล้วพอเรื่องใหม่เราจะมีความพิเศษเว้ย

รางวัลมันถูกทิ้งไปตอนนั้นเลย ไม่ใช่ถูกทิ้งแบบไม่มีค่านะ มีค่าต่อจิตใจ แต่ว่ามันไม่ได้ช่วยให้เราเก่งขึ้น เพราะฉะนั้น หมายความว่าเรื่องใหม่ก็เริ่มต้นใหม่ หมายความว่าเรื่องใหม่ก็ลุ้นใหม่ว่าเราจะเข้าใจมันไหม เราจะทำมันได้ดีมั้ย

ถ้าอย่างนั้นรางวัลที่แท้จริงที่ในชีวิตนักแสดงคืออะไร

(นิ่งคิด) ผมว่าเล่นหนังเล่นละครมันก็เหมือนทำงานออฟฟิศแหละครับ หมายความว่าในแต่ละวันในแต่ละครั้งที่เราออกไปทำมันให้ความเข้าใจในชีวิตมากขึ้น ผมว่าอันนี้คือคำตอบ เมื่อก่อนผมก็เคยทำงานออฟฟิศ พอเราทำตรงนี้ผิดก็โดนนายด่า ทำอะไรเสียหายก็โดนเขาว่า แล้วเราก็เติบโตขึ้นจากสิ่งเหล่านั้น หมายความว่าเราเข้าใจอะไรมากขึ้น ทำใจได้มากขึ้น

ผมว่าพอเราไปแสดงหนังแต่ละวันก็เจอเหมือนกัน มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เจอความหมายที่ซ่อนอยู่ในหนัง เจอคนที่เราได้ร่วมงาน เจอผู้กำกับที่คุยกับเรา สอนเรา เจอนักแสดงร่วม เจอน้องที่ส่งพลังให้เรา ทุกอย่างมันทำให้เรามีพรุ่งนี้ที่อาจจะคิดอะไรได้มากขึ้น ซึ่งนั่นคือรางวัล

ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, HOMESTAY

Writer

Avatar

จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์

อดีตบรรณาธิการบทสัมภาษณ์ The Cloud และเจ้าของนามปากกา jirabell เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่มชื่อ เราไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่คนเดียว, ความทรงจำอยู่ที่ไหน ความคิดถึงอยู่ที่นั่น, Lonely Land ดินแดนเดียวดาย, The Fairy Tale of Underfox และ รักเขาเท่าทะเล

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล