หากนับจากละครเรื่องแรกในชีวิต เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ เป็นนักแสดงมาแล้วครึ่งชีวิต

20 ปีนับว่ายาวนานไม่น้อยกับการที่ใครคนหนึ่งยืนหยัดทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยเฉพาะในวงการที่นอกจากรูปลักษณ์ภายนอก ยังเรียกร้องบางสิ่งภายใน ไม่ว่าจะเป็นการวางตัวท่ามกลางแสงสีที่มากระทบหรือการจัดการกับชีวิตยามมีผู้คนห้อมล้อม แต่พระเอกผู้นี้ก็จัดการได้อย่างอยู่หมัดอยู่มือ

ในวัย 40 เขายังคงยืนหยัดอยู่ในวงการบันเทิงได้อย่างมั่นคงแข็งแรง และเมื่อได้คุยกับเขาในบ่ายวันหนึ่ง จึงพบว่าไฟในชีวิตไม่ได้มีอยู่แค่ในเฉพาะคนหนุ่มสาวหรอก

ทุกวันนี้เขายังคงตื่นเช้าไปถ่ายละคร และกลับมาแสดงภาพยนตร์ในรอบ 9 ปี ในฐานะพระเอกเรื่อง The Pool นรก 6 เมตร นอกจากบทบาทนักแสดงในจอ นอกจอเขายังเป็นสามี เป็นพ่อ เป็นผู้จัดละคร และเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง

คำ 3 คำที่เขาพูดถึงบ่อยครั้งระหว่างสนทนาคือ ชีวิต งาน และการสร้างสมดุล คล้ายว่า 3 คำนี้มีความสำคัญกับเขาในวันนี้-วัยนี้

อย่างที่บอก, 20 ปีนับว่ายาวนานไม่น้อยกับการที่ใครคนหนึ่งยืนหยัดทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมจึงสนใจสิ่งที่เขาเรียนรู้จากการยืนหยัดในวงการนี้ และท่ามกลางดวงดาวที่สว่างไสวขึ้นมาแล้วดับไป อะไรกัน ทำให้ดาวดวงนี้ยังส่องสว่างอยู่

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

อะไรทำให้คุณยอมกลับมาเล่นภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี

ผมสนใจตอนที่ผู้กำกับ (พิง ลำพระเพลิง) เล่าไอเดีย ปฏิกิริยาของผมก็เหมือนๆ กับปฏิกิริยาของคนที่ได้ดูหนังตัวอย่าง นี่มันเรื่องอะไรกันวะ เหตุผลคืออะไรวะ แล้วจระเข้มาจากไหน เหตุการณ์นี้มันเป็นไปได้ยังไง มันใช่เหรอ มันจริงเหรอ คนที่ดูตัวอย่างก็จะรู้สึกแบบนี้ ซึ่งคำถามเหล่านี้ก็เกิดในหัวผม พี่พิงบอกว่า หนังเรื่องนี้เคนต้องติดอยู่ในสระว่ายน้ำกับแฟน 6 วันออกไม่ได้ ตรงนี้ทำให้ผมตื่นเต้น แล้วมันเป็นตัวจุดประกายให้ผมรู้สึกว่า โอเค เรื่องนี้ผมเล่น

ในหนังมีประเด็นอะไรที่คุณรู้สึกสนใจเป็นพิเศษไหม

เมื่อคนเราเจออุปสรรค เจอปัญหาเข้ามาในชีวิตแล้ว เราเลือกที่จะจัดการมันยังไง เราจะจมอยู่กับอดีตมั้ย แล้วคิดว่า เราก็เป็นคนแบบนี้ เราก็ทำได้แค่นี้แหละ เราเปลี่ยนไม่ได้หรอก ซึ่งถ้าคิดแบบนั้น คุณก็จะอยู่อย่างนั้นแหละ คุณก็จะติดอยู่ในสระว่ายน้ำนั้นแหละไปจนตาย ผมว่าหนังมันกำลังจะบอกว่าคุณค่าของชีวิตคนคนหนึ่ง ไม่มีใครตัดสินแทนคุณได้ ไม่ว่าคนรอบข้างจะบอกว่ายังไงก็ตาม ตัวคุณต่างหากที่เป็นคนตัดสินมัน

ถ้าเปรียบเทียบ สมมติต่อให้ผมบอกว่า งานผมดีมากเลย มีแต่คนชอบ มีคนเป็นแฟนคลับมากมาย ไปไหนคนก็กรี๊ด แต่ถ้าลึกๆ แล้วตัวผมไม่มีความสุข ผมก็ไม่รู้สึกว่ามันมีคุณค่า คุณค่ามันก็ไม่เกิด แต่ในขณะเดียวกัน คนบอกว่า สิ่งที่ผมทำไม่เห็นดีเลย เคนก็งั้นๆ แหละ เฉยๆ ว่ะ แต่ผมอยู่ในจุดที่ผมเห็นคุณค่าของตัวเอง ผมรู้ว่าคุณค่าในชีวิตผมคืออะไร ผมก็มีความสุขได้ เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครมาตัดสินความเป็นตัวตนของเรา นอกจากตัวเราเอง

ปกติคุณเป็นคนที่ครุ่นคิดถึงชีวิตมากน้อยแค่ไหน

มีบ้าง เราก็เคยพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับชีวิต เราเคยอ่านหนังสือธรรมะ แต่ถึงตอนนี้ผมก็ไม่ได้ไปหาคำตอบอะไรมากแล้ว

เราแค่รู้ว่าทุกคนเกิดมาต่างมีหน้าที่ หน้าที่ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การให้คุณค่าของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราต้องไม่เอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับใคร สิ่งที่เรามองว่ามันมีค่า บางคนอาจจะมองว่ามันไร้สาระ หรือสิ่งที่เราบอกว่าคนนี้ทำสิ่งนี้ทำไม ไม่เห็นดีเลย แต่เผอิญว่ามันมีคุณค่าสำหรับเขา ก็ต้องปล่อยเขา

ทุกคนมีความฝัน แต่ว่าบางทีถ้าฝันของเราไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่หรือเหมือนกับกระแสในสังคม สังคมอาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย ฝันของมึงไร้สาระ แต่ในโลกทุกวันนี้ผมกลับยิ่งรู้สึกว่าไม่มีฝันของใครไร้สาระเลย โลกมาถึงยุคดิจิทัล เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าคุณจะเป็นอะไรก็ได้ สมมติคุณชอบเล่นเกม คุณก็เป็นนักกีฬา eSports ก็ได้ หรืออยู่ในยูทูบคุณพูดถึงเกม มีคนดูคุณหลายสิบล้านก็ได้

ประเด็นอยู่ที่คุณต้องไม่โกหกตัวเอง เราต้องมองเข้าไปในหัวใจตัวเองว่าจริงๆ เราต้องการอะไร เราอยากเป็นคนแบบไหน อะไรคือความสุขของชีวิตเรา แล้วเราต้องไม่หลอกตัวเองด้วยการพยายามไปเป็นอย่างอื่น ไปตามคนอื่น หรือไปตามกระแส

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

คนอย่างคุณมีความฝันที่ไร้สาระบ้างไหม

ผมเป็นคนมีความฝันเยอะมากตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ตอนนั้นผมอยากเป็นนักผจญภัย ผมชอบสมมติว่าตัวเองไปตั้งแคมป์ สมมติว่าเราอยู่ในป่า เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เราชอบ ซึ่งถามว่าแล้วสิ่งที่ผมฝันมันคืองานอะไรวะ

สมมติถ้าเราถามเด็กว่า ลูกอยากเป็นอะไร โอเค อยากเป็นหมอ อยากเป็นตำรวจ อยากเป็นทหาร อยากเป็นครู อยากเป็นนักธุรกิจ ตอนนั้นเราก็ถามตัวเองว่า แล้วเราอยากเป็นอะไรวะ ตอบไม่ได้ (หัวเราะ) แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นว่าสมมติเด็กคนนี้ชอบเดินทาง เขาก็เป็นบล็อกเกอร์ได้ มันก็มีคนที่ยอมรับเขาด้วย สมมติคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรสักอย่าง ก็เอามาบอกเล่าต่อได้ คือเดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าถ้าคุณชอบอะไร คุณก็ทำเป็นงานได้ คำถามอยู่ที่ว่าคุณเป็นตัวจริงหรือเปล่า ถ้าคุณเป็นตัวจริง และไม่ได้หลอกตัวเอง คุณก็อยู่ได้ ผมเชื่อว่าอย่างนั้นนะ

ทุกวันนี้ยังมีความฝันอยู่หรือเปล่า

ทุกวันนี้ถ้าเป็นเรื่องงานผมต้องเลือกงาน โอเค ผมเป็นนักแสดง ผมรักอาชีพนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะรักทุกบทบาท ไม่ได้หมายความว่าผมอยากจะเล่นทุกบทบาท มันต้องเป็นบทบาทที่ผมอยากจะเล่น ผมถึงเล่น ผมไม่ได้มองว่า อ๋อ ผมต้องเล่นหนังเรื่องนี้เพราะว่าดูแล้วมันจะต้องประสบความสำเร็จ หนังเรื่องนี้คงจะได้ร้อยล้าน แซงสถิติเก่าที่ผมเคยทำมา มันไม่ใช่แบบนั้น แต่ผมจะทำเพราะว่าผมอยากจะทำ

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

แล้วกับงานที่เลือก คุณรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของงานนั้นไหม เวลาใครวิจารณ์เจ็บปวดหรือเปล่า

ก็มีบ้าง แต่เดี๋ยวนี้น้อยลง เราก็ยอมรับ เราต้องยอมรับ เพราะว่าความคิดคนไม่เหมือนกัน คนเรามองทุกอย่างคนละมุมคนละด้านอยู่แล้ว อีกอย่างเราทำให้ทุกคนพอใจไม่ได้ ด้วยความที่โลกเดี๋ยวนี้มันเป็นโลกแห่งความคิดเห็นอยู่แล้ว สมมติสมัยก่อนเวลาเราเล่นละคร เราอาจจะรู้ประมาณหนึ่งว่ามันเป็นอย่างไร แต่เราไม่มีสิทธิ์จะรู้ความคิดเห็นขนาดนี้ เดี๋ยวนี้โลกดิจิทัลทุกคนมีตัวตน อาจจะมี 10 ความเห็นบอกดี แต่มีไม่กี่ความเห็นบอกไม่ดี ทีนี้มันอยู่ที่ตัวเราแล้ว ถ้าเรามัวแต่ไปจมอยู่กับความคิดเห็นที่บอกว่าไม่ดีหรือเปล่า

เราเปลี่ยนความคิดทุกคนไม่ได้ มันก็เป็นแบบนี้แหละ มันคืองาน เมื่อวันหนึ่งงานมันเสร็จแล้วงานมันไม่ใช่ของเราแล้ว มันเป็นของคนดูแล้ว

คุณเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วงานไม่ใช่ของเรา

จริงๆ มันก็ไม่ใช่งานเราตั้งแต่แรก ถ้ามองจริงๆ เราเป็นส่วนหนึ่งของงานด้วยซ้ำ ถ้าถามผม ผมคิดว่ามันเป็นงานของผู้กำกับมากกว่าของนักแสดงอีก เพราะว่าเขาเป็นคนคิด ภาพรวมทั้งหมดเกิดขึ้นจากเขา เกิดขึ้นจากทิศทางการกำกับของผู้กำกับ คนวางพล็อต คนเขียนบท อะไรต่างๆ มันมีอีกหลายบุคลากรมากที่ทำให้ออกมาเป็นงานชิ้นนี้ แต่พองานออกไปแล้ว คนที่จะได้รับเครดิตมากหรือถูกด่ามากหน่อยก็มักจะเป็นตัวแสดงนำ คนจะพูดถึงเขามากกว่า แต่จริงๆ แล้ว สุดท้ายผมว่าคนคนนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของงานที่ถูกคิดมาแล้วว่าต้องเป็นยังไง จริงๆ เราเล็กกว่างาน งานมันใหญ่กว่าเราเยอะ

ดูคุณไม่มีอัตตาในความเป็นพระเอกเลย

ตอนเด็กๆ เราก็คิดอีกแบบหนึ่งครับ เรารู้สึกว่า ไม่ได้ เราต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

เห็นว่าคุณไม่ได้เข้าวงการบันเทิงมาด้วยความหลงใหลตั้งแต่แรก แต่เข้ามาเพราะอยากได้เงิน ตอนนี้เหตุผลในการอยู่วงการนี้หนักแน่นขึ้นหรือยัง คงไม่ใช่แค่เรื่องเงินแล้วหรือเปล่า

เรื่องเงินก็ยังใช่ครับ (หัวเราะ) คือผมก็ไม่ได้รวยจนอยู่เฉยๆ ได้นะครับ ผมก็ต้องทำงาน แต่อย่างที่บอก พอเรามาถึงวันนี้เราต้องเลือกงาน

เงินมันเป็นส่วนหนึ่งของทุกๆ คนแหละ แต่สุดท้ายแล้วสำหรับผมความสุขมันสำคัญกว่า ถ้าเราไปทำงานแต่เราไม่มีใจ มันทรมานนะ เดี๋ยวนี้ละครเรื่องหนึ่งใช้เวลาถ่าย 8 เดือน ถ้าต้องเล่นละครเรื่องนี้แล้วไม่มีความสุขนี่เหมือนตกนรก 8 เดือนนะ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ได้ชอบมันจริงๆ ไม่ได้อยากทำงานจริงๆ นี่ลำบากแล้ว

ความสุขของการทำงานในวงการบันเทิงคือตอนไหน

ตอนทำงาน ผมเป็นคนชอบทำงาน ถ้าผมได้ทำงาน ได้อยู่ในกองถ่าย ได้แสดง ได้ใช้ความสามารถของผม ผมจะมีความสุข ตรงนั้นมันสนุก จริงๆ แล้วผมไม่ได้เป็นคนชอบมาคุยกับคน หรือให้สัมภาษณ์ แต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำ หลีกเลี่ยงไม่ได้ โตขึ้นเราก็เรียนรู้มันไป

ในฐานะพระเอก พออายุขึ้นต้นด้วยเลข 4 คุณรู้สึกอะไรไหม

(หัวเราะ) ไม่เลยนะ ผมเป็นคนไม่ได้อะไรกับอายุ คนก็จะบอกว่าช่วงเวลา 40 มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต ผมก็คิดว่าอาจจะใช่ในมุมที่ว่าเราโตขึ้น เราเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ขึ้น เรารู้จักยอมรับคนอื่นมากขึ้น ให้อภัยคนอื่นได้มากขึ้น ยอมรับความคิดเห็นคนอื่นมากขึ้น ความเป็นตัวตนเราก็มี แต่เราก็ไม่มีทิฐิ เราลดมันลงได้

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

20 ปีที่อยู่ในวงการรู้สึกว่านานไหม

พอผ่านมามันก็เหมือนแป๊บเดียวเอง แต่ช่วงไหนที่แย่ๆ มันก็จะนานหน่อย มีช่วงที่ไม่ไหว อยากเลิกแล้วเว้ย อยากเลิกเป็นนักแสดง พระเอกไม่เป็นแล้วเว้ย เบื่อ

ช่วงที่อยากเลิกได้ปรึกษาใครไหม

ก็บอกภรรยา (หน่อย-บุษกร วงศ์พัวพันธ์) เขาก็บอกว่า “เฮ้ย ไร้สาระน่ะ (หัวเราะ) อะไร เลิกได้ไง ไม่ใช่ทุกคนนะที่จะมาอยู่ตรงนี้ได้ง่ายๆ”

อย่างที่ว่า ไม่ใช่ทุกคนนะที่จะมาอยู่ตรงนี้ได้ง่ายๆ แล้วตอนนั้นอะไรที่ทำให้อยากเลิก

มันเป็นช่วงที่ผมเพิ่งมีลูกใหม่ๆ ตอนนั้นผมเหนื่อย เพราะผมทำทุกอย่างหมด หน้าที่พ่อผมก็อยากทำเต็มร้อย เราไม่เคยจ้างคนเลี้ยงลูก เราเลี้ยงลูกกันเอง กลางคืนผมก็อยู่กับคุณหน่อยทั้งคืน แล้วลูกผมคนแรกไม่นอนเลย นอนไปชั่วโมงนึงก็ตื่นมากินนม ตื่นทั้งคืน แล้วทุกครั้งที่ตื่นผมก็อยู่กับคุณหน่อย นอนทีละครึ่งชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่ง พอ 6 โมงเช้าผมก็ต้องไปถ่ายละคร กลับมา 4 ทุ่มก็มาเลี้ยงลูกกับคุณหน่อยอีก มันก็เลยรู้สึกว่าไม่อยากทำ ผมก็พยายามบอกทุกคนว่า ผมอยากหยุดงานปีหนึ่งได้มั้ย (หัวเราะ)

ซึ่งภรรยาไม่ยอม

เขาบอก “ติสท์แตกแล้ว ติสท์แตกแล้ว” (หัวเราะ) สุดท้ายก็ทำไป ได้หยุดงานแค่ 2 เดือนแรกช่วงที่ใกล้ๆ คลอด

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

เทียบกับช่วงเข้าวงการแรกๆ คุณมองวงการบันเทิงเปลี่ยนไปไหม

ทุกวันนี้ผมว่ามันก็ดี มันก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ คนเองก็มองเห็นคุณค่าของมันเยอะขึ้น ตอนที่ผมเพิ่งมาเล่นใหม่ๆ อายุ 20 กว่าๆ ยังมีผู้ใหญ่บางคนมองว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกินอยู่เลย เขาบอกว่า โอ๊ย อาชีพนี้อยู่ได้ไม่นานหรอก พ่อของเพื่อนบอกว่า “เป็นพระเอกแล้วอีก 5 ปีทำยังไง” ซึ่งตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 25 เองนะ คือยุคนั้นมันก็ยังไม่ได้เป็นแบบตอนนี้ ระยะเวลาการเป็นพระเอกนางเอกก็มีอายุของมันประมาณหนึ่งด้วย เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว คนอยากมาอยู่ตรงนี้

สมัยก่อนคนที่รวยจะไม่อยากมาทำอะไรพวกนี้ มันเหมือนคนละระดับกัน แต่เดี๋ยวนี้คนรวยบางคนก็อยากให้ลูกเป็นดารา เพราะโลกมันเปลี่ยน มันกลายเป็นการต่อยอดแล้ว รวยแล้วก็อยากมีชื่อเสียง เพราะถ้ามีชื่อเสียงแล้วมันพาตัวเราไปได้อีกหลายสเต็ปเลย

กลายเป็นว่าบางทีค่าของการมีชื่อเสียงมันมีคุณค่าพอๆ กับเงินเลยนะ เพราะว่าการที่เรามีชื่อเสียงมันไปต่อยอดอะไรได้ เดินไปไหนคนเห็นหน้าคุณ จะไปทำอะไรก็ง่าย สะดวก คุณเป็นที่รู้จักแล้ว ซึ่งการเป็นที่ยอมรับของคนบางทีเงินมันซื้อไม่ได้ เพราะฉะนั้น การมีชื่อเสียงก็มี Value ของมัน

แล้วการมีชื่อเสียงมีราคาที่ต้องจ่ายไหม

ก็มี ก็ต้องแลกหลายอย่าง คนที่เข้ามาตรงนี้ก็ต้องแลกกับความเหน็ดเหนื่อย คนจะมาอยู่ตรงนี้ต้องมีวินัย ต้องออกกำลัง ไม่ใช่ไปปาร์ตี้ เละเทะ สุดท้ายทุกคนก็ต้องดูแลตัวเอง ถึงจะอยู่ตรงนี้ได้ งานก็ต้องไปตรงเวลา ท่องบทต้องจำให้ได้ สภาพไปทำงานก็ต้องพร้อมทุกวัน คือคุณไปสภาพเละคนอื่นเขาก็ทำงานไม่ได้

นักแสดงมันเป็นอาชีพที่ภายนอกไม่พร้อมก็ไม่ได้ ต่อให้ภายในเราพร้อมก็ตาม ถ้าเราเป็นช่างภาพ เราพร้อมอยู่ข้างใน ทรงผมกูจะเละเทะก็ได้ แต่อาชีพเรา เราต้องดูดีด้วย ก็เป็นอีกอย่างที่เหนื่อยกว่าคนทั่วไป ที่เราต้องทำตัวให้ดูดี พร้อมที่จะไปทำงานตลอดเวลา

ทุกวันเราโตขึ้น เราแก่ลงเรื่อยๆ แต่เรายังต้องดูดีอยู่ ซึ่งมันก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง (หัวเราะ)

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

ช่วงที่มีชื่อเสียงมากๆ คุณรับมือมันยังไง

ผมว่ามันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คนอยากเป็นนักแสดงต้องเรียนรู้หลายอย่าง เรียนรู้เรื่องการแสดง อันนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่อย่างหนึ่งที่มันไม่มีอยู่ในโรงเรียนก็คือว่า พอเราเป็นคนที่มีชื่อเสียงแล้วยังไงวะ สิ่งนี้ไม่มีใครสอน อันนี้ทุกคนต้องไปเผชิญกันเอาเองว่าคุณจะตัดสินใจสิ่งต่างๆ อย่างไร คุณจะรับมือกับชื่อเสียงของคุณยังไง ตรงนี้สำคัญ

แล้วการที่คุณต้องแบกรับภาพการเป็นพระเอกตลอดเวลามันหนักไหม

สุดท้ายแล้วผมต้องเป็นตัวของตัวเอง เราถึงจะไม่เหนื่อย หมายความว่าวันที่เราต้องไปทำงานหรือทำอะไร เราต้องรู้ เราต้องแยกหลายๆ อย่างให้ขาด แต่ถ้าวันที่เราเสร็จจากงานแล้ว เราก็ต้องเป็นตัวของตัวเอง เราก็ต้องเป็นเรา คนก็ต้องรับได้ที่เราเป็นแบบนี้

เวลาเด็กๆ น้องที่มาเจอกัน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง คนที่เขาเคยเห็นเราในจอ เขาก็จะมีภาพของเขาอย่างหนึ่ง ด้วยความที่เป็นผู้หญิงด้วยมั้ง พอเขามาเจอตัวจริงส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า “พี่เป็นแบบนี้เหรอ” ใช่ พี่เป็นแบบนี้ (หัวเราะ)

คุณเป็นยังไง

ผมหัวเราะเสียงดัง ผมคุย ผมไม่ได้เก๊กขรึม ผมไม่ได้นิ่งเหมือนในละคร ก็แล้วแต่บทบาทว่า เขาชอบเราจากบทบาทไหน เขาก็จะคิดว่าเราต้องเป็นแบบนั้นแน่เลย ซึ่งนั่นมันก็เป็นแค่บทบาท

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

หลายคนเรียกวงการบันเทิงว่าวงการมายา คุณอยู่มา 20 ปีแล้ว มันมายาจริงไหม

ผมว่าทุกวงการมันก็มีมายาของมัน แต่ด้วยความที่ว่าอาชีพเรามันคือมายาโดยอาชีพ เราเข้าฉากเราก็ต้องทำเป็นมีความรัก หัวเราะ สนุกสนานอะไรไป แต่ผมไม่ได้มองว่า คนในวงการบันเทิงเขาจะต้องเป็นคนที่เสแสร้งเก่งกว่าคนอื่นในชีวิตจริง หรือว่าเป็นคนที่ใส่หน้ากากเข้าหาคนเก่งกว่าคนอื่น ผมไม่เชื่ออย่างนั้นนะ

คนที่จะเป็นคนเสแสร้ง ต่อให้ไม่ได้เป็นนักแสดง เขาก็เป็นคนแบบนั้นแหละ เขาอยู่วงการไหนเขาก็เป็นคนแบบนั้น คนไม่จริงใจ คนใส่หน้ากากเข้าหา คนชอบพูดสอพลอ ชอบประจบ ขี้เอาใจ เราก็เจอได้ที่วงการอื่น มีทุกที่ ไม่ต้องตรงนี้

คุณคิดว่านักแสดงมีวันหมดอายุไหม

ผมว่าไม่มีนะ จริงๆ แล้วอยู่ที่ตัวเราด้วย ทุกวันนี้นักแสดงรุ่นใหญ่กว่าผมก็ยังเล่นกันอยู่ มีหลายท่านเลย อย่างเช่น อาตุ๊ก-ดวงตา ตุงคะมณี คือยิ่งผมโตขึ้น เวลาผมเห็นนักแสดงที่ผ่านประสบการณ์ ผมกลับมีความรู้สึกชื่นชมเขานะว่า เขาพร้อมที่จะมาทำงานจริงๆ เรารู้สึกว่า ผู้ใหญ่ที่เขามาทำงาน เขาให้เกียรติงานจังเลยนะ ขนาดเขาอยู่ตรงนี้มา 40 ปีแล้วหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ บางคนอาจจะมากกว่านั้น มาถึงเขาพร้อม บทเขาก็จำได้ทั้งที่เขาก็แก่แล้ว เขามีวินัย เขาไม่บ่น เขารู้ว่าอาชีพนักแสดงมันมาคู่กับการรอคอย การรอคอยมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับทุกคน แต่สุดท้ายแล้วอาชีพผมมันเป็นอย่างนั้น บางทีเราพร้อมอยากจะเล่น แต่อย่างอื่นไม่พร้อม คุณก็นั่งรอไปสิ ผมหมายถึงว่าตัวเราเป็นใหญ่ไม่ได้ มันเป็นงาน มันเป็นเรื่องของคนอีก 50 คน มันไม่ใช่เรื่องของเราคนเดียว

ผมอยู่ในวัยที่ผมเริ่มโตขึ้น แล้วผมก็จะสังเกตน้องๆ เด็กๆ บางคน ที่เข้ามาทำงานใหม่ๆ แล้วก็รู้สึกว่าครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ เราก็คงเคยเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ได้อะไร แต่เราก็คิดว่า ดูคนที่เขาอยู่ตรงนี้มานานแล้วสิ เขาเป็นแบบนี้

ปกติได้บอกเตือนอะไรกับนักแสดงรุ่นใหม่ๆ บ้างหรือเปล่า

ไม่ๆๆ คือผมเองไม่ได้รู้สึกว่าเราอาวุโสขนาดนั้น เราเองเราก็ผ่านมาระดับหนึ่ง แต่ก็มีคนที่เขาผ่านอะไรมามากกว่าเรา เขาอาจจะมีคำตอบที่ดีกว่าเรา

คือไม่ใช่ว่าเรางกภูมิ แต่เรารู้สึกว่าบางทีการจะให้คำแนะนำ คนที่ได้รับเขาต้องอยากฟังก่อน ไม่ใช่อยู่ๆ ผมรู้สึกว่า แหม เราอยู่ตรงนี้มานาน เจอใครก็เที่ยวพูดไป มันก็ไม่ใช่ ถ้าเกิดมีคนเข้ามาถามจริงๆ เราก็คงคุยกับเขา แต่ไม่มีใครมาถามเราก็ไม่รู้จะไปพูดอะไร เราก็แค่อยู่เฉยๆ แค่ดูเขา แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วเราไม่ต้องไปทำอะไรหรอก ระบบมันจะกลั่นกรองทุกอย่างไปเอง

แล้วในชีวิตมีคำแนะนำไหนของนักแสดงรุ่นใหญ่ที่คุณยังจำได้บ้างไหม

ก็มีคำแนะนำจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในวันที่ผมเข้ามาใหม่ๆ อาจจะไม่ได้ซึ้งมากนะ เขาบอกว่า “วันนี้คุณเป็นอย่างนี้ ให้คุณดูแลตัวเองให้ดี ออกกำลังกาย พร้อมที่จะไปทำงาน ไม่ไปสาย ทำการบ้าน รู้บทของคุณ แล้วเดี๋ยวอีกหน่อยคุณขับเฟอร์รารี่แล้วคุณค่อยมาไหว้ผมแล้วกัน” คือเขาหมายความว่า วันหน้าค่อยมาขอบคุณ วันนี้ที่เขาพูดเรายังไม่รู้หรอก

คือวันนั้นเราฟังเขาพูดแล้วก็คิดว่า อะไรวะ ขับเฟอร์รารี่อะไรวะ มันยังไกลตัว ซึ่งพอเราผ่านไป เราก็ อ๋อ เข้าใจแล้ว คือไอ้เรื่องเฟอร์รารี่ไม่ใช่ประเด็น แต่ทุกอาชีพผมว่าถ้าเราใส่ใจกับมัน เราทุ่มเทให้กับมัน ผลตอบรับมันออกมาแน่ๆ อยู่แล้ว

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

ถ้าคุณบอกว่านักแสดงไม่มีวันหมดอายุ แล้วพระเอกมีวันหมดอายุไหม

อาจจะมีมั้งครับ (หัวเราะ) น่าจะมีนะ

ผมก็พยายามคิด อาจจะคิดเข้าข้างตัวเอง ผมนึกถึงนักแสดงฝรั่งหลายๆ คนที่เขาอายุ 50 แล้ว แต่เขาก็ยังแสดงเป็นตัวเอกได้อยู่ มันอาจจะไม่ได้เรียกว่าบทพระเอก แต่เขาเป็นตัวหลัก หนังเรื่องนั้นเป็นเรื่องของเขา เขาเป็นตัวนำ ผมก็แอบหวังนะว่าวันหนึ่งจะเป็นแบบนั้น ซึ่งตอนนี้โลกก็เปลี่ยนไปเยอะแล้ว วันหนึ่งมันก็อาจจะเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่าในบ้านเรา

ตอนนี้ผม 40 ผมก็บอกไม่ได้ว่า ถ้าผมอายุมากกว่านี้ ผมยังจะเป็นพระเอกอยู่หรือเปล่า แต่ถ้าถามผม เวลาเราดูหนังฝรั่ง ผมก็จะสงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมนักแสดงนำอายุ 50 เราก็ยังดูเขาจนจบเรื่องได้ คำตอบคือเพราะมันมีเรื่องให้เขา มันต้องมาจากระบบความคิดแต่แรก เราต้องมีเรื่องสำหรับคนที่วัยเท่านี้หรือเปล่า มีเรื่องสำหรับคนที่มีครอบครัว มีเรื่องสำหรับคนที่กำลังจะรีไทร์ แต่ตอนนี้มันแคบอยู่ อนาคตมันอาจจะถ่างออกมาอีกหน่อย ก็เป็นความหวังว่าวันหนึ่งมันน่าจะเป็นอย่างนั้นได้

คือถ้ายังมีบทให้เล่น คุณก็ยังเห็นภาพตัวเองเป็นพระเอกไปจนแก่

ก็เล่นได้ คือถ้าบอกให้ผมเป็นพระเอกใสๆ อายุ 30 มันเป็นไปไม่ได้แล้วไง ถูกไหม แต่ตอนนั้นผมอาจจะเล่นเป็นพ่อก็ได้ โดยที่พ่อเป็นตัวหลักของเรื่อง ผมอาจจะมีลูกก็ได้ บทเป็นเรื่องของคนที่มีครอบครัว เป็นชีวิตของคนที่อายุเท่านี้แล้วมีลูก ผมไม่ได้รังเกียจบทนั้น คนเป็นพ่อไม่มีอะไรน่ารังเกียจ เพราะวันนี้ผมก็เป็นพ่อ พ่อก็เป็นตัวหลักของเรื่องได้ ถ้าถามผม ผมคิดว่า Conflict ในชีวิตของคนวัยนี้เยอะกว่าคนที่เป็นวัยรุ่นด้วยซ้ำ และมิติของความสัมพันธ์มันเยอะกว่าคนที่เพิ่งรักกันใหม่ๆ

เคน ธีรเดช, The Pool นรก 6 เมตร

Writer

Avatar

จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์

อดีตบรรณาธิการบทสัมภาษณ์ The Cloud และเจ้าของนามปากกา jirabell เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่มชื่อ เราไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่คนเดียว, ความทรงจำอยู่ที่ไหน ความคิดถึงอยู่ที่นั่น, Lonely Land ดินแดนเดียวดาย, The Fairy Tale of Underfox และ รักเขาเท่าทะเล

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล