เจเจ มาถึงแล้ว และนั่งหลับอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่ในห้องรอสัมภาษณ์

ด้วยคิวและตารางซ้อมแน่นเอี้ยด ทำให้ทุกวันนี้ นักแสดงหนุ่มน้อย เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม มีเวลานอนแค่วันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่กี่นาทีต่อมาเขาตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย เขย่าหัวสองสามที แล้วรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แทบไม่เหลือความอ่อนล้าให้เห็น

หากถอดภาพในวงการบันเทิงออก เจเจก็คือวัยรุ่นคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยพลัง ความกระตือรือร้น และเยาว์วัย ทำให้บทบาทที่เขาได้รับ ไม่ว่าจะเป็น ท็อป ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ เดอะซีรีส์ หรือ ไทเกอร์ I Hate You, I Love You ที่เราเห็นกันก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นบทบาทที่ใกล้เคียงกับภาพลักษณ์ หนุ่มน้อยหน้าตี๋อย่างเขาอย่างไม่มีข้อสังสัย

จนกระทั่ง เลือดข้นคนจาง ออกอากาศ ทั้งประเทศจึงได้เห็นเจเจในเวอร์ชั่นที่โตและซับซ้อนขึ้น เมื่อต้องมารับบท ‘พีท’ ตั่วซุงของตระกูลมหาเศรษฐีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ ผู้สูญเสียพ่อไปอย่างมีเงื่อนงำ และตัวเขาเองก็เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยบุคคลมากมายรอบตัว

‘พีท’ และ ‘เจเจ’ มีบางอย่างที่เป็นเงาสะท้อนของกันและกัน

สิ่งเหล่านั้นคืออะไร ให้บทสนทนากับหนุ่มน้อยคนนี้ ตอบข้อสงสัยให้กับคุณ

เจเจ กฤษณภูมิ, เลือดข้นคนจาง

คุณเป็นคนจีนหรือเปล่า

ผมเป็นคนจีนครับ ประมาณ 50% ฝั่งแม่ผม อากงเป็นคนจีนแท้ๆ เลย บ้านผมก็จะคล้ายๆ กับในเรื่อง เลือดข้นคนจาง คือมีการนัดกินข้าวกันบ่อย แต่ไม่ถึงขนาดบ้านตั้งติดกันอยู่ในซอยที่เป็นชื่อตระกูล (หัวเราะ)

ก่อนมาเล่น เลือดข้นคนจาง คุณเข้าใจคำว่ากงสีแค่ไหน     

ผมก็เข้าใจว่าแชร์เงินกันครับ (หัวเราะ) ผมคิดว่ามันคือธุรกิจของพ่อหรือแม่ในอดีตที่ตอนนี้มันยังมีอยู่ พอมันถูกส่งต่อมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานแล้ว มันกลายเป็นต้องแบ่งกันดูแล แบ่งผลประโยชน์กันระหว่างพี่น้อง จริงๆ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้เลยนะว่ามันคืออะไร จนพอมาถ่ายเรื่อง เลือดข้นคนจาง ผมก็เพิ่งรู้ว่าบ้านฝั่งแม่ตัวเองก็มีกงสีเหมือนกัน คือมีธุรกิจแล้วลูกๆ หลานๆ มาช่วยกันบริหาร

คุณเอาความเป็นจีนของตัวเองมาใส่ลงไปในคาแรกเตอร์นี้ยังไงบ้าง

น่าจะเป็นเรื่องลำดับศักดิ์ ในเรื่องพีทจะเป็นตั่วซุง คือเป็นลูกของลูกชายคนโต หลานชายคนแรกของตระกูล มีศักดิ์นับเป็นลูกชายคนสุดท้องของอากง ในชีวิตจริงผมไม่ได้เป็นตั่วซุงนะ แต่ด้วยนามสกุลของเรา เราจึงเหมือนแบกความรับผิดชอบอะไรบางอย่างอยู่ด้วย จะคิดถึงตัวเองไม่ได้ ผมจะโดนปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าจะพูดหรือทำอะไรต้องคิดให้ดีๆ ให้รอบคอบ

พอรู้ว่าต้องรับบทพีท คุณทำการบ้านอะไรเพิ่มเติมสำหรับบทบาทนี้บ้าง

โจทย์แรกเลยคือโตขึ้นครับ ด้วยความที่พีทในเรื่องเป็นคนเรียนจบแล้วไปเรียนต่อโทที่ฮ่องกง ทำให้พีทโตและมีความคิดค่อนข้างจะผู้ใหญ่ เพราะว่าพีทจะเป็นคนที่โดนปลูกฝัง ถูกเลี้ยงดู มาอย่างดี แม่ประคบประหงมมากๆ แต่ก็ไม่ได้โดนสปอยล์นะครับ แค่ได้รับการสอนที่ดี ทำให้ทุกอย่างหล่อหลอมตัวพีทให้เป็นคนดีและมีหัวคิด

ที่ผ่านมา ตัวผมได้รับบทบาทของคนในช่วงวัยรุ่นมาตลอด พอมารับบทพีท พี่ย้งก็เลยอยากให้มันแตกต่างและดูโตขึ้น เราก็เลยเวิร์กกับการโตขึ้น โดยมาตีความว่าการโตขึ้นมันเป็นอะไรได้บ้าง

ที่ปรับหลักๆ ก็น่าจะเป็นหลัง การเดิน อะไรพวกนี้เป็นหลัก เพราะปกติผมเป็นคนที่หลังค่อมเวลาเผลอ ผมก็ต้องดูแลบุคลิกภาพตัวเองมากขึ้น เวลาพูดก็ต้องพูดให้ช้าลง ให้ชัดขึ้น เพื่อให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย

เจเจ กฤษณภูมิ, เลือดข้นคนจาง เจเจ กฤษณภูมิ, เลือดข้นคนจาง

คนที่สำคัญที่สุดของตระกูลในรุ่นถัดไป มีธุรกิจพันล้านอยู่ในมือ เขาจะเป็นคนที่คิดยังไง

พีทเป็นเหมือนตัวแทนของชีวิตที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง จนมาวันหนึ่งมันเกิดเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เขาตระหนักได้ถึงสิ่งที่เขาคิดมาโดยตลอดว่ามันไม่ใช่แบบนั้น เหมือนยิ่งตัวเองเจอเรื่องราว เจอเบาะแส มากเท่าไหร่ ตัวเองยิ่งเรียนรู้ว่าความจริงคืออะไร

ผมว่าตัวพีทน่าสงสาร ตอนที่ตัวเองเล่นยังไม่สงสารเท่าตอนมาดู (ยิ้ม) ผมรู้สึกว่าคนคนนี้รับอะไรมาหนักมากเลยในชีวิต พ่อตาย รู้ว่าพ่อมีเมียน้อย แถมยังมีลูกชายอีกคน และยังจะมีความเคลือบแคลงสงสัยแม่ตัวเอง

ซีรีส์เรื่องนี้เหมือนเราดู Turning Point ของพีทที่เรียงต่อกันจนจบเรื่อง

พีทยังมี Turning Point อีกหรอเนี่ย

มีครับ ต้องรอดูครับ

ถ้าในชีวิตจริงคุณเจอเหตุการณ์แบบพีท

โอ้โห ผมคิดว่าผมคงจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้เท่าพีท เพราะมันเป็นเรื่องราวที่หนักและซับซ้อนมาก เรารักแม่ แต่ในขณะเดียวกันเราก็สงสัยแม่ด้วย เราเกลียดบ้านเล็ก แต่พอเราไปคุย เราได้ไปรู้จัก เรากลับรู้สึกว่าเราเข้าใจเหตุผลการกระทำต่างๆ ของบ้านเล็กมากกว่าแม่เรา

ตอนที่รู้ว่าต้องเล่นเป็นลูกชายของ เจี๊ยบ โสภิตนภา คุณสื่อสารกันยังไงบ้าง

ก่อนหน้าที่จะเริ่มเปิดกล้องผมเวิร์กช็อปกับพี่เจี๊ยบและพี่กบแค่รอบเดียว (ยิ้ม) เหมือนพี่ๆ เขามาฟิตติ้ง แล้วหลังจากนั้นก็มานั่งคุยกันในห้องประชุมว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกบ้านนี้เป็นยังไง ก็ได้ทำเวิร์กช็อปคร่าวๆ เป็นสถานการณ์ที่พี่กบ พี่เจี๊ยบ และผม กำลังจะไปงานเลี้ยงสักงานหนึ่งแล้วพีทขอไปเรียนต่อ แต่ว่าป๊าไม่ให้ไป เพราะป๊าอยากให้กลับมาช่วยดูแลโรงแรมแล้ว พี่ย้งโยนโจทย์มาประมาณนี้

แล้วเป็นยังไง

ผมเขินมาก ไปไม่เป็นเลยครับ คือผมเป็นผู้ชาย กับที่บ้านในชีวิตจริง ผมก็จะค่อนข้างเขินเวลากอดหรือแสดงความรักกับพ่อ ตอนที่เวิร์กช็อปแล้วผมต้องเข้าไปอ้อนพี่กบผมหูแดง หน้าร้อน เลยครับ (หัวเราะ)

เจเจ กฤษณภูมิ, เลือดข้นคนจาง

แล้วกับแม่ล่ะ ชีวิตจริงคุณสนิทกับแม่ไหม

ผมสนิทกับแม่ครับ ช่วงเด็กๆ ผมอยู่กับแม่มากกว่า เพราะพ่อต้องไปทำงานต่างจังหวัด ผมจะรู้ทุกความเคลื่อนไหวของแม่

พี่เจี๊ยบสอนอะไรบ้าง

ผมรู้สึกว่าพี่เจี๊ยบค่อนข้างให้เกียรติผมในฐานะเพื่อนร่วมงาน เขาจะชวนเล่น ชวนคุยปกติ แต่พอถึงการแสดงแรกๆ พี่เจี๊ยบเขาจะไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ เหมือนให้เกียรติผมให้แสดงมันออกมาด้วยตัวเอง

แรกๆ เวลาเข้าซีนกับพี่เจี๊ยบผมสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง (หัวเราะ) มีอยู่ซีนหนึ่ง มันเป็น Medium Shot ของผมกับพี่เจี๊ยบ เป็น Two Shot ตอนแสดงอยู่ ผมรู้สึกว่าตัวเองเล่นเยอะมาก ใส่พลังเข้าไปเยอะมาก ตอนเล่นเรารู้เลยว่าเรารู้สึกกับสถานการณ์นี้มากเลย มันน่าจะโอเค

แต่พอมาดูหน้ามอนิเตอร์ปุ๊บ อื้อหือ หายไปจากซีนเลย พี่เจี๊ยบกลบผมมิดเลย พี่เจี๊ยบเล่นดีมาก ทั้งทางกายภาพและอินเนอร์ พอจบจากเทคนั้นปุ๊บผมก็ไปนั่งดูหน้ามอนิเตอร์แล้วถามพี่เจี๊ยบเลยว่านี่มันคืออะไร พี่เจี๊ยบเล่นยังไหรอครับมันถึงดูรู้สึกขนาดนั้น เห็นถึงความแตกต่างทางการแสดงได้ชัดขนาดนั้น

ตอนนั้นพี่เจี๊ยบก็บอกผมว่า เราต้องขุนอินเนอร์ข้างในให้รู้สึกมากๆ ลึงลงไปอีกๆ เพราะบางทีถ้าเราแสดงอารมณ์ ท่าที ด้วยอินเนอร์ระดับแค่ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เวลาอยู่ในกล้องมันส่งพลังออกมาไม่พอ

ซึ่งมันก็ถูกอย่างที่พี่เจี๊ยบบอกจริงๆ ครับ ด้วยประสบการณ์ทางด้านงานแสดง ความโปร ความเก๋า มันเลยเป็นข้อเปรียบเทียบประมาณนี้แหละ (หัวเราะ) แต่ตอนหลังก็ดีขึ้นครับ พี่เจี๊ยบก็ช่วยคุย ช่วยสอน พี่เจี๊ยบเหมือนเป็นทั้งแม่ เพื่อน และครูในกอง และโคตรจะมีพลังของความเป็นวัยรุ่น พร้อมจะเล่นสนุกกับพวกผม

ถ้าให้นิยามความสนุกในกองถ่ายละคร เลือดข้นคนจาง ด้วยคำหนึ่งคำ

คำว่าครอบครัวครับ ความสนุกของกองถ่าย เลือดข้นคนจาง คือคนเยอะมาก แล้วมันไม่ใช่แค่พวกรุ่นเด็กๆ อย่างพวกผมนะ แต่เป็นเหมือนครอบครัวจริงๆ มีคนทุกวัยอยู่ในกองถ่าย เวลาพี่เจี๊ยบ พี่อุ๋ม พี่แท่ง มากอง พี่ๆ จะมาพร้อมขนมเสมอ กินขนมไปนั่งคุยกันสนุกสนาน มันเลยให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่กับพี่น้องในครอบครัวใหญ่

อย่าง ครูเล็ก ภัทราวดี ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมแสดงกับท่าน ครูเล็กไม่ถือตัวเลยครับ ท่านชอบเล่าเรื่องการทำงานในอดีต หรือแม้แต่ชีวิตวัยรุ่นของท่าน ผมรู้สึกเหมือนคุยกับญาติผู้ใหญ่ ที่พีกคือผมเพิ่งรู้ว่าครูเล็กเป็นเป็นศิลปินแห่งชาติตอนวันเลี้ยงปิดกล้อง ผมอึ้งไปเลย แต่อีกใจก็รู้สึกว่าดีแล้วที่เพิ่งรู้ ไม่งั้นผมจะต้องเกร็งมากแน่ๆ เวลาเข้าฉากกับท่าน

เจเจ กฤษณภูมิ, เลือดข้นคนจาง

พีทกับเจเจก็รุ่นราวคราวเดียวกัน ตัวตนของคุณกับพีทเหมือนหรือแตกต่างกันยังไงบ้าง

ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องความถูกต้องมั้งครับ พีทเป็นคนที่เวลาทำอะไรจะคิดถึงความถูกต้องก่อนเสมอ ว่าถ้าเราทำสิ่งนี้ไปแล้วมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า ซึ่งผมก็เป็นนะ เวลาผมจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง พอผมทำไปแล้ว บางครั้งมันเกิดผลของการกระทำที่ทำให้เราคิดว่า เราไม่น่าทำสิ่งนั้นลงไปเลยว่ะ แล้วมันก็จะส่งผลให้เหตุการณ์ต่อไปผมต้องเดินไปขอโทษต่อสิ่งที่ผมทำ

เป็นคนดีนะเนี่ย

(หัวเราะ) ก็แล้วแต่สถานการณ์ครับ

เคยถามพี่ย้งไหมว่าทำไมต้องเลือกคุณมารับบทนี้

นั่นสิครับ เขาไม่เคยบอกผมเลย (หัวเราะ) แต่จากที่ไปแอบเห็นบทสัมภาษณ์ของพี่ย้งนะ เลือดข้นคนจาง มันเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ 9×9 ของ GDH559 พี่ย้งต้องการพัฒนาพวกผมทั้งเก้าคนในเรื่องการแสดง เลยจับพวกผมมาชนกับพี่ๆ นักแสดงรุ่นใหญ่ เพื่อที่จะได้เรียนรู้งาน และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางด้านการแสดง

ผม เจมมี่เจมส์ และพี่ต่อ ที่จะได้รับบทที่มันแปลกออกไปหน่อย เพราะเรา 3 คนเคยมีประสบการณ์ด้านการแสดงมาอยู่แล้ว แต่ว่าน้องๆ อีก 6 คนจะได้รับบทที่มันใกล้เคียงกับตัวเอง แต่ทำไมผมได้บทพีท แทนที่จะได้บทอี้หรือเวกัสผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

พี่ย้งน่าจะเห็นความเป็นพีทในตัวผม

คุณมีส่วนช่วยออกแบบตัวละครพีทมากน้อยแค่ไหน

ตัวพีทมีคาแรกเตอร์ที่จับต้องไม่ได้แน่นอน ไม่ได้มีคาแรกเตอร์ที่โดดออกมาอย่างบทของพี่ต่อที่เป็นออทิสติกใน Side by Side หรือเจมมี่เจมส์ใน SOS skate ซึม ซ่าส์ ที่เล่นเป็นคนที่เป็นโรคซึมเศร้า พีทมีความเป็นมนุษย์ ซึ่งความเป็นมนุษย์โดยปกติทั่วไปคือความกลม ไม่มีขาวล้วน ดำล้วน ทุกคนล้วนเป็นสีเทา

ตอนแรกผมก็เครียดว่าจะเล่นยังไงให้มันแตกต่าง สุดท้ายก็เลิกคิดมากแล้วลุยไปเลยเต็มที่

พีทเป็นตัวละครที่แสดงอารมณ์ผ่านสายตาเยอะมาก คุณตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นหรือเปล่า

ตั้งใจครับ มันมีบางซีนที่พอเราเล่นแล้วรู้สึกว่าอินเนอร์มันยังไม่พอ เราก็กลัวอารมณ์มันจะดร็อป ยิ่งเวลาเข้าฉากกับนักแสดงรุ่นใหญ่ๆ ผมก็เลยยิ่งเค้นอารมณ์ จนบางทีอาจจะดูเหมือนเบิกตามากไปด้วย พอสั่งคัตทีไรปวดตาทุกที (หัวเราะ)

เจเจ กฤษณภูมิ, เลือดข้นคนจาง

นอกจากสายตา คุณมีการใช้ส่วนอื่นๆ ของร่างกายช่วยในการแสดงอารมณ์อีกหรือเปล่า

หลักๆ น่าจะเป็นการหายใจครับ คือการแสดงอารมณ์ทุกอย่างมันจะถูกกำหนดด้วยจังหวะหายใจ เวลาเราโกรธ สงสัย หรืออึดอัดกับสถานการณ์ตรงหน้า การหายใจจะไม่เหมือนกันเลย ถือเป็นทักษะทางการแสดงที่คงต้องฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ ครับ

แต่เอาจริงๆ เรื่องทางกายภาพอื่นๆ ที่ใช้ในการแสดงผมยังไม่เก่งเลยครับ เพราะผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับร่างกายยังไง วางมือ เหวี่ยงแขน หมุนตัวยังไง ไม่ให้รู้สึกว่าเราพยายามแสดงมากเกินไป

จากการแสดงเรื่องแรกมาจนถึงเรื่องนี้ คุณคิดว่าตัวเองพัฒนามาไกลแค่ไหน

ผมพัฒนาขึ้นเยอะมาก (ลากเสียงยาว) ผมเล่นหนังเรื่องแรกคือ เกรียน ฟิคชั่น เรื่องนี้ผมกลับไปดูล่าสุดแล้วผมคิดว่าการแสดงของตัวเองมันแปลกมากเลย แล้วตอนนั้นเวลาพูดผมยังติดสำเนียงเหนืออยู่เลยครับ (หัวเราะ) พูดภาษากลางนะ แต่มีความซึมเหนืออยู่ในสำเนียงแรงมาก และเล่นค่อนข้างแข็ง

พอมา ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ ก็ดีขึ้นครับ เพราะช่วงเวลาจาก เกรียน ฟิคชั่น มาจนถึง ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ ผมผ่านงานมาเยอะพอสมควรแล้ว ทั้งเล่นซิตคอม เล่นเอ็มวี เล่นหนังสั้น เล่นซีรีส์ เล่นละคร ทุกอย่างมันถูกสะสมและพัฒนาจนมาเป็นผมตอนเล่น ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์

นี่เป็นปีที่ 6 ที่ผมทำงาน ก่อนหน้านี้ผมทะเยอทะยาน แล้วก็พยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ จนได้รับโอกาสตอนเล่น ไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์ มันเลยทำให้เราเจอทีมงานและนักแสดงอีกรูปแบบหนึ่ง ที่วิธีการทำงานของเขาเป็นมืออาชีพ ประกอบกับผมเองก็โต จริงจังกับเส้นทางนี้มากขึ้น

พอหมดสัญญากับที่เก่า ผมมีโอกาสได้มาเซ็นสัญญากับนาดาวบางกอก พอมาอยู่ที่นี่เราก็ได้เล่นเรื่อง I HATE YOU I LOVE YOU  ได้เล่นกับปันปัน พี่โอบ และพี่ฝน ซึ่งทุกคนเก่งมาก มีประสบการณ์อยู่แล้ว จากนั้นก็ได้เล่นหนังเรื่อง 20 ใหม่ ยูเทิร์นวัย หัวใจรีเทิร์น เจอ พี่ใหม่ ดาวิกา กับ พี่ก้อง สหรัถ ผมรู้สึกโชคดีที่ได้รับโอกาสและได้ทำงานกับคนเก่งๆ อยู่ตลอดเวลา มันก็เลยทำให้ผมเรียนรู้และพัฒนาเร็ว

เจเจ กฤษณภูมิ, เลือดข้นคนจาง เจเจ กฤษณภูมิ, เลือดข้นคนจาง

คุณรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าอยากทำงานในวงการบันเทิง

ผมขอใช้คำว่าโชคช่วยละกันนะครับ โชคชะตามันพาเราไปแต่ละจุด แล้วพอเราทำมันไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกสนุกกับมัน ตอนแรกคิดว่าเราจะทำมันเป็นงานอดิเรก แต่พอจบงานนี้ก็มีงานนั่นโน่นต่อไปเรื่อยๆ จนมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกวันนี้เรารู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว

คุณเป็นเด็กเชียงใหม่แบบไหน

ค่อนข้างแสบ เพื่อนผมจะเป็นพวกเด็กแสบที่ทั้งชั้นไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่ง แต่ไม่ได้เกเรนะครับ เป็นแก๊งนักกีฬา แม้ว่าผมจะไม่ใช่นักกีฬาก็ตาม (หัวเราะ)

ในวัย 22 ปี คุณมีโอกาสได้ทำหลากหลายบทบาทในวงการ ยังมีอะไรที่อยากทำอีกไหมแต่ยังไม่ได้ทำอีกไหม

ตอนนี้ผมอยากทำเพลงมากเลยครับ ผมชอบเพลงฮิปฮอป ที่มาที่ไปมันเริ่มจากตอนอายุประมาณ 14 ปี ผมมีโทรศัพท์เครื่องแรก ตอนนั้นผมคิดว่าเราต้องใช้ของที่ถูกลิขสิทธิ์เท่านั้น ก็เลยเข้าไปโหลดเพลงถูกลิขสิทธิ์มาอัลบั้มหนึ่งของ Kid Ink มา เป็นศิลปินฮิปฮอปอเมริกัน ถือป็นอัลบั้มแรกที่เราจ่ายเงินซื้อ เพื่อความคุ้มเราเลยฟังแต่อัลบั้มนั้นแหละวนไปเรื่อยๆ จนเพลงมันซึมเข้าไปในหัว และกลายเป็นชอบฮิปฮอปไปเลย (หัวเราะ) หลังจากนั้นพอผมเริ่มทำงานหาเงินเองได้ผมก็โหลดพวกอัลบั้มฮิปฮอปอเมริกันแหลกเลยครับ

งั้นลองแรปให้ฟังหน่อย

ผมเขินอะครับ อย่าเลย

เจเจ กฤษณภูมิ, เลือดข้นคนจาง

เคยคิดจะทำงานเบื้องหลังไหม

ผมไม่อยากทำงานเบื้องหลังเลยครับ (หัวเราะ) ตอนแรกที่เข้าวงการมา ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความเหนื่อยของพี่ๆ เบื้องหลัง จนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้ผมเรียนอยู่ที่วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มศว. สาขาภาพยนตร์ ปี 3 ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจ ความยากของทีมงานเบื้องหลัง

ช่วงที่เรียนมันก็มีวิชาที่ผมต้องไปออกกองทำเบื้องหลังกับเพื่อน โอ้โห เหนื่อยมาก หน้าที่ผมในกองก็จะไม่ใช่หน้าที่ตายตัว ต้องวิ่งไปวิ่งมา พยายามช่วยทุกส่วนเท่าที่ทำได้ ผมก็เลยตัดสินใจเลยครับว่าขออยู่เบื้องหน้า แต่เป็นคนเบื้องหน้าที่เข้าใจและพร้อมจะทำงานไปกับทีมงานเบื้องหลังดีกว่า เพราะพอผมรู้ระบบการถ่ายทำมากขึ้น มันทำให้เวลาเราแสดงอยู่หน้ากล้องเราสามารถจัดการตัวเองเพื่อช่วยให้งานของคนอื่นๆ มันง่ายขึ้นได้ ไม่เป็นภาระของทีมเบื้องหลัง

ปีหน้าขึ้นปี 4 แล้ว คิดไว้หรือยังว่าจะทำโปรเจกต์จบเรื่องอะไร

ด้วยความที่ผมเป็นนักแสดง เวลาเราเข้าไปในคณะแรกๆ เราก็จะได้รับความคาดหวังจากคณะอาจารย์ ทีนี้การทำโปรเจกต์จบของคณะผม ทุกคนจะต้องเขียนบทส่ง แล้วถ้าของใครผ่านก็จะมีสิทธิ์เลือกเพื่อนเข้ามาเป็นทีมในการทำหนังเรื่องนั้น ตั้งแต่ผู้กำกับไปจนถึงตัวแสดง อาจารย์ก็จะพูดกรอกหูผมตลอดว่า เจเจ ยังไงเธอต้องเขียนบทให้ผ่านนะ กดดันมาก (หัวเราะ)

อาจารย์ฝากความหวังไว้ขนาดนี้ แสดงว่าคุณเขียนบทเก่งใช้ได้

ก็พอได้ครับ อย่างใน เลือดข้นคนจาง เองก็จะมี 4 ซีนที่ผมกับพี่ต่อช่วยกันเขียนบทเอง พวกฉากที่พีทกับอี้ต้องปะทะคำพูดกัน ก็จะมีซีนที่ร้านตัดผม ซีนตรงหน้าห้องน้ำ และอีก 2 ซีนขอเก็บไว้ก่อนนะครับ อยากให้ลองไปทายกันเอง พีกแน่นอน (ยิ้ม)

สาเหตุที่พี่ย้งให้เราเขียนบทเอง คือพอเราถ่ายทำมาเรื่อยๆ ซีนหลังๆ พี่ย้งเขารู้สึกว่าทำไมอินเนอร์ตัวละครมันคล้ายๆ กันไปหมดเลย เพราะพี่ย้งเขาเขียนบทเอง เขาเลยให้ผมกับพี่ต่อที่เริ่มเข้าใจตัวละครดีแล้วลองสวมบทเป็นตัวละคร แล้วคิดว่าพีทกับต่อจะพูดอะไรในสถานการณ์เหล่านั้น โดยพี่ย้งเขาจะให้จุดเริ่มต้นและตอนจบที่เขาอยากให้สถานการณ์มันเป็น

เจเจ กฤษณภูมิ, เลือดข้นคนจาง

ภาพ มณีนุช บุญเรือง

Writer

Avatar

มิ่งขวัญ รัตนคช

อดีต Urban Designer ผู้รักการเดินทางสำรวจโลกกว้าง สนใจงานออกแบบเชิงพฤติกรรมมนุษย์ และยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ เชื่อว่าทุกการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากน้ำหยดเล็กที่ไหลมารวมกัน

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล