เราเชื่อว่า แดน-วรเวช ดานุวงศ์ เป็นรักแรกของใครหลายๆ คน

เมื่อ 17 ปีที่แล้ว คนไทยทำความรู้จักแดนในฐานะนักร้องหนุ่มน้อยแห่ง D2B วงบอยแบนด์ในตำนาน ที่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีบอยแบนด์วงไหนไปถึงจุดที่ D2B เคยทำได้ ในยุคนั้นความดังของ D2B ไม่ได้มีแค่ในหมู่แฟนคลับเท่านั้น แต่ดังกระจายไปยังคนเกือบทุกกลุ่มทั้งประเทศ อัลบั้มเพลงขายได้นับล้านตลับ ส่งผลให้มีเพลงฮิตขึ้นชาร์ตวิทยุยาวนานนับปี

กว่า 10 ปีที่ผ่านมา แดนพิสูจน์ตัวเองด้วยการต่อยอดฝีมือในวงการบันเทิง จากนักร้องสู่การเป็นนักแต่งเพลง ก่อนจะก้าวไปเป็นนักแสดง ผู้กำกับ และโปรดิวเซอร์

บทบาทใหม่ล่าสุดที่เขากำลังทำความรู้จักอยู่ตอนนี้ คือการเป็นนักแสดงละครเวทีเรื่องแรกในชีวิต ในละครเวทีเรื่อง บุปผาราตรี เกือบจะมิวสิคัล

“เราเป็นคนที่วิ่งเข้าหาโชคชะตาเสมอครับ” แดนในวัย 34 ปี ผ่านร้อนหนาวในวงการบันเทิงมาอย่างโชกโชน เขาปีนหน้าผาแห่งความสำเร็จนี้มาแล้วกว่าครึ่งชีวิต อะไรกันที่ทำให้เขายังคงปีนหน้าผาสูงใหญ่นี้ต่อไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

ชายหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังอายุน้อยคนนี้ ยังมีความฝันอะไรอีกไหมที่ยังไม่ได้ลงมือทำ


ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นคุณเล่นละครเวทีมาก่อนเลย

ก่อนหน้านี้ก็มีคนชวนไปเล่นละครเวทีอยู่เป็นระยะ ซึ่งตอนนั้นรู้สึกว่าเรายังไม่พร้อม เพราะเราไม่คุ้นเคยกับศาสตร์ด้านนี้เลย ไกลตัวมาก รวมถึงเรื่องคิว เวลาการซ้อมด้วย แถมยังมีคนเตือนเยอะว่าละครเวทีมันยากนะ เราเลยมีความกลัวอยู่นิดหน่อย (ยิ้ม) ก็เลยบอกปัดมาตลอด

แต่ ณ วันนี้ มันเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าเราก็ทำมาหลายอย่างแล้ว ทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แต่ว่างานด้านนี้เรายังไม่เคย เลยคิดว่าถ้าเรื่องไหนชวนมาก่อนและไม่ได้ยากเกินไป เราจะรับเลย เพราะอยากลองดูสักครั้ง

แล้วทำไมตัดสินใจรับเล่นละครเวทีเรื่องนี้

นักแสดงร่วม ยิ่งพอรู้ว่าคนที่จะมารับบท ‘บุปผา’ คือ หนูนา (หนึ่งธิดา โสภณ) เราเองไม่เคยร่วมงานกับน้องแบบจริงๆ จังๆ แต่ก็เคยเห็นฝีมือทางการแสดงของน้อง ซึ่งเขาก็มีความเก๋าด้านละครเวที นั่นหมายถึงว่าน้องเขาน่าจะพยุงเราไปได้ (หัวเราะ) ก็ขอเกาะหนูนาไปแล้วกัน พี่ขอไปด้วย

และด้วยตัวบทที่มันไม่ได้มีแค่ดราม่าอย่างเดียว แต่มีคอมเมดี้ผสมอยู่เยอะ แล้วอีกเหตุผลที่ทำให้เราสนใจ คือมันจั่วหัวเรื่องมาว่าเป็นละครเวทีเกือบจะมิวสิคัล

อะไรคือละครเวทีเกือบจะมิวสิคัล

มันเป็นความกวนครับ (หัวเราะ) เราเองยังโดนหลอกเลย เพราะพอทีมงานบอกว่ามันเป็นเกือบจะมิวสิคัล เราก็คิดว่าจะมีร้องเพลงนิดเดียว อธิบายให้ฟังง่ายๆ ว่าละครเวทีก็เหมือนพวกหนังภาพยนตร์การ์ตูนวอลท์ดิสนีย์ที่ตัวละครพูดบทออกมาเป็นเมโลดี้ ซึ่งเมโลดี้หนึ่งมันมีหลายเนื้อ เช่นหนึ่งเมโลดี้ร้องตอนต้นก็จะพูดเรื่องหนึ่ง พอตอนจบก็เปลี่ยนเนื้อ แล้วพูดอีกเรื่องหนึ่ง

มันเหมือนเอาบทสนทนามาใส่ทำนอง ซึ่งจำยากกว่าเพลงปกติที่เนื้อเพลงจะวนเข้าท่อนฮุก ดังนั้น จำเนื้อเพลงในมิวสิคัลก็ไม่ต่างจากจำบทละครเลย


คุณร้องเพลงมาทั้งชีวิต เมื่อต้องมาร้องบทละครเจอปัญหาอะไรบ้างไหม

คงเป็นเรื่องการออกเสียง เพราะจะเล่นเสียงมากก็ไม่ได้ ไม่งั้นมันจะฟังยาก มันต้องเป็นการร้องเพลงที่ทำให้เหมือนการพูดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องปรับพอสมควรเลยครับ จะเข้าเพลงตอนจังหวะไหน บางเพลงมันไม่ On beat เลย คือเราร้องไป พูดไป ดนตรีต้องเล่นตาม ทำให้กะจังหวะยาก

แทบทุกซีนในละครเวทีเรื่องนี้ต้องมีเรา เพราะเรารับบทเป็นตัวละคร 2 คาแรกเตอร์ ทำให้ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกจากฉาก เปลี่ยนชุดเป็นอีกตัวละครหนึ่ง พอเป็นตัวนี้เสร็จ เล่าย้อนอดีตเป็นอีกตัว เปลี่ยนชุดว่ายากแล้ว ทำสมาธิและอารมณ์ให้สมูธในแต่ละซีนยิ่งยากกว่า

อีกอย่างคือเรื่องความจำ (หัวเราะ) ใช้ความจำเยอะมาก เพราะมันเล่นต่อเนื่องจากต้นไปจนจบเรื่อง ไม่มีคัต  ไม่มีเทก แบบการถ่ายหนังหรือละคร ออกจากเวทีด้านไหน เปลี่ยนชุดตรงไหน วิ่งเข้าฉากไปยืนตรงบล็อกกิ้ง บางทีเล่นๆ ไปก็แอบนับอยู่ในใจ นี่ถึงซีนไหนแล้ววะเนี่ย

คุณเล่นคอนเสิร์ตมาเยอะ สามารถเอาเทคนิคมาปรับใช้กับละครเวทีได้ไหม

องค์ประกอบของคอนเสิร์ตมันไม่เยอะครับ หมายความว่าบนเวทีคอนเสิร์ตที่เราไปยืนอยู่มันค่อนข้างอิสระพอสมควร เราจะเต้นผิด ลืมท่าเต้นแล้วหยุด ปล่อยให้แดนเซอร์เต้นไป หยุดร้องในบางท่อน วิ่งผิดทาง ก็สามารถอิมโพรไวซ์เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่อไปได้

แต่ละครเวทีมันไม่ได้ เราผิดคิวไปนิดเดียวคนอื่นๆ บนเวทีหรือแม้แต่ทีมงานหลังเวทีก็จะได้ผลกระทบนั้นไปด้วย

ละครเวทีบุปผาราตรี เกือบจะมิวสิคัล Trailer

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นมาจาก ความรักของเขาและเธอ… พบกับเรื่องราวความสนุกปนสยองที่ออสการ์อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ ในละครเวที "บุปผาราตรี เกือบจะมิวสิคัล"หนูนา หนึ่งธิดา เป็นบุปผาแดน วรเวช เป็นแฟนบุปผาเตรียมมาขนหัวลุก พร้อมขนหัวเราะกลับบ้านไปพร้อมกัน20 ตุลาคม – 11 พฤศจิกายน 2561ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน ชั้น7รายละเอียดเพิ่มเติมและซื้อบัตรได้ที่ > https://bit.ly/2AZDyTy#บุปผาราตรีเกือบจะมิวสิคัล

Posted by KBank Siam Pic-Ganesha on Friday, September 28, 2018

ร่วมงานกับหนูนาครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง

หนูนาเป็นเด็กแอ็กทีฟ ตั้งใจ และเก่งมากครับ เรื่องการทำงานกับหนูนาเลยค่อนข้างง่าย น้องเขาเป็นนักแสดงที่คล้ายกับเรา คือไม่ได้คิดมาจากบ้านว่าจะเล่นแบบนี้ แบบนั้น เราไปซ้าย เขาก็ไปซ้าย เราไปขวา น้องเขาก็ไปขวา จะเน้นดูจังหวะและความรู้สึกกันระหว่างแสดงมากกว่า ก็เลยทำให้รู้สึกเหมือนคุยกับเพื่อน

คุณต้องรับบทเป็นตัวละครถึง 2 คาแรกเตอร์ มีวิธีตีความตัวละครยังไงบ้าง

คาแรกเตอร์แรกอายุเท่าๆ กับเรา ส่วนอีกคาแรกเตอร์อายุน้อยกว่า ซึ่งการตีความตัวละครที่ 2 หลักๆ เป็นเรื่องของความคิดที่เป็นเส้นตรงมากขึ้น ด้วยความที่เป็นเด็ก การตัดสินใจ การกระทำต่างๆ มันจะไม่ซับซ้อน ทำให้ไม่ได้คิดถึงผลกระทบหน้าหลังที่จะเกิดขึ้นตามมา

ซึ่งความไม่คิดหน้าคิดหลังนี่แหละเป็นต้นเหตุของเรื่องราวใน ‘บุปผาราตรี เกือบจะมิวสิคัล’

ตั้งแต่เข้าวงการมา ตัวตนของคุณเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน

ก็คงมีส่วนเหมือนตัวละครที่ผมรับบทนั่นแหละครับ (ยิ้ม) ตอนเด็กๆ เราคิดอะไรไม่ซับซ้อน แต่พอโตขึ้นองค์ประกอบต่างๆ ของชีวิตเยอะขึ้น รายละเอียดมากขึ้น ความคิดย่อมซับซ้อนขึ้นเป็นธรรมดา ความมุทะลุดุดันสมัยยังวัยรุ่นก็น้อยลง

มันเหมือนกับเราเคยผ่านมันมาแล้ว เราเคยเห็นแล้วว่าถ้าทำแบบนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น หรือบางสถานการณ์เราไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้มั้ง ประสบการณ์สอนเราให้เรียนรู้มากขึ้น

เข้าวงการมาเกือบ 20 ปี อะไรที่ทำให้ทุกวันนี้คุณยังสนุกกับการทดลองทำอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ

น่าจะเป็นเพราะเราชอบพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา คือพัฒนามันไม่ใช่แค่เรื่องของความสามารถนะ บางทีความสามารถของบางคนก็มีขีดจำกัดของมันอยู่ แต่การพัฒนามุมมองความคิดที่มีต่องานหลากหลายรูปแบบในวงการบันเทิงทำให้ตัวเองไม่ล้าหลัง 

คุณต้องยอมรับความเก่งของคนอื่นอยู่เสมอ อย่ามองว่าเรามาถึงจุดนี้คือเราเก่งแล้ว เราก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าพี่คนนั้นเก่งว่ะ น้องคนนั้นเจ๋ง เพื่อให้เรารู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอว่าต้องเดินต่อไป ถ้าเรายอมรับและพัฒนาเรื่องพวกนี้ได้ มันจะทำให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อให้เราเก่งขึ้นและเติบโตขึ้นไปพร้อมๆ กับคนเจ๋งๆ คนอื่น

ถ้าทุกคนคิดจะพัฒนาตัวเองโดยที่ไม่ได้เคลือบแฝงว่าอยากจะแก่งแย่งชิงดีหรือทำร้ายกัน วงการบันเทิงบ้านเราก็จะเจริญเติบโต จริงๆ เราสามารถเอาหลักการนี้ไปใช้ได้กับทุกอย่างในชีวิตเลยนะ

หลากหลายบทบาทในชีวิตของคุณทุกวันนี้ มันเป็นสิ่งที่คุณคิดมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่าว่าสักวันจะต้องได้ทำ

ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าน่าจะได้เป็นนักร้องแหละ ไม่น่าพลาดเป้าหมายแรก (ยิ้ม) แล้วหลังจากนั้นก็คิดเป็นสเต็ปว่าเราน่าจะแต่งเพลงได้ เราน่าจะมีเพลงสักเพลงที่เขายอมให้เป็นเครดิตของเรา เขาน่าจะยอมให้เรากำกับเอ็มวีสักตัวหนึ่ง เราน่าจะทำหนังได้ว่ะ พอทำหนังได้เราก็น่าจะทำละครได้นะ ผมก็ค่อยๆ ทำจนมั่นใจไปทีละสเต็ปของชีวิต

แต่ทีนี้พอถึงจุดหนึ่งที่มันเป็นจุดที่ได้ทำ เราก็ไม่อยากให้คนมองว่าไอ้นี่แค่พอทำได้ เรารักสิ่งที่เราทำ มันไม่ใช่แค่การทดลองแล้ว เราก็ต้องมาหาทางว่าจะทำยังไงให้เราได้เป็นคนในสายงานนั้นจริงๆ แบบเต็มตัว ไม่ใช่แค่มือสมัครเล่น แต่ต้องให้ทุกคนยอมรับในฝีมือให้ได้

เหมือนคุณจะไม่ได้หยุดพักเลยนะเนี่ย

คือเรามองว่าเป็นอาชีพ พอเรามองว่ามันเป็นอาชีพปุ๊บ เราจะเริ่มคิดแล้วว่าจะอยู่กับอาชีพนี้ไปนานแค่ไหน นี่คืองานของเรา ออฟฟิศของเรา ก็ต้องทำงานไม่ให้โดนไล่ออก (ยิ้ม) ผลงานมันจะเป็นตัววัดมาตรฐานและความตั้งใจของเราเอง

คุณเป็นคนที่ดำดิ่งไปกับการทำงานแค่ไหน

ถ้างานเพลงเราจะค่อนข้างสบายๆ แต่ถ้าเป็นงานกำกับอะไรพวกนี้ปัญหามันเยอะ ทั้งเรื่องบท เวลาทำงานไม่เพียงพอ งบประมาณที่ต้องจัดสรร ปัญหาเรื่องคนอีก ยิ่งทำงานกับคนเยอะเรื่องจุกจิกก็จะตามมาเยอะเช่นกัน เพราะความตั้งใจในการทำงานของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน แล้วเราจะเป็นคนที่อยู่กับคนไม่ตั้งใจไม่ได้

ถ้าเราสามารถเอาคนที่ไม่ตั้งใจออกไปจากสารบบการทำงานได้มันก็ดีไป แต่บางครั้งเราทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีดีลกับเขา ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็จะเดินหนี ไม่ปะทะ ปล่อยเขาไป ถ้าเขาไม่ตั้งใจแบบนี้ต่อไปเรือยๆ เดี๋ยวชีวิตเขาก็พังไปเอง

ชีวิตตอนนี้เป็นวัย 30 กลางๆ แบบที่คุณเคยคิดไว้หรือยัง

เราคิดไว้ว่าวัยนี้จะต้องเป็นช่วงที่หน้าที่การงานชัดเจน ซึ่งตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น ในที่สุดเราก็สามารถทำงานทุกอย่างได้โดยไม่ต้องวิ่งขายงานแล้ว มีงานเข้ามาเสนอให้เราทำ นั่นหมายถึงผลงานที่ผ่านมาของเรามันแตะมาตรฐานบางอย่างที่คนยอมรับ

แต่เราดันลืมคิดไว้ว่าในวันที่งานกำลังไปได้ดี ร่างกายของเราก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาเช่นกัน (หัวเราะ) มันเหนื่อยกว่าที่คิด บางครั้งผมเบลอไปเลยเพราะมีหลายอย่างอยู่ในหัว ทำให้คิดไม่ทัน ซึ่งเวลาเป็นแบบนั้น ถ้าไม่รีบดึงตัวเองกลับมาให้เร็วที่สุด งานจะล้มตามๆ กันเหมือนโดมิโนเลย

ที่ผ่านมา เราเลยพยายามจะเริ่มจัดตารางชีวิตตัวเอง เราจะบ้าพลังแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว รู้ตัวเลย (ยิ้ม)

คุณคิดว่างานในวงการบันเทิงมันมีวันหมดอายุไหม

ถ้ามองในภาพรวมมันไม่มีวันหมดอายุอยู่แล้วครับ เราก็เห็นตัวอย่างมากมายในวงการ นักแสดง นักร้อง เขาก็ยังมีการทำงานด้านนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ จนเขาสิ้นลมหายไปใจ หรือแม้กระทั่งคนทำงานเบื้องหลังก็ตาม ผู้กำกับรุ่นเก๋าของไทยบางท่านอายุ 70 กว่า ก็ยังสนุกกับการทำงานอยู่เลย ในความคิดของเรา อายุการทำงานของคนในวงการนี้ จริงๆ แล้วค่อนข้างยาว ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเขาเองว่าจะไปต่อถึงจุดไหน

ส่วนตัวเราเองคงไม่หยุดทำงานในวงการนี้หรอก แต่คงทำให้น้อยลง ต่อไปอาจจะรับแค่ปีละ 1 ศาสตร์ คือเพลง หนัง กำกับ ก็อย่างละแค่ 1 ชิ้น มันคงไม่เป็นการทำงาน 7 วันทั้งปีแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว เราอยากมีชีวิตมากกว่านั้น ตอนนี้เหมือนชีวิตของเราหายไป

คำว่ามีชีวิตของคุณคือยังไง

คือการตื่นเช้ามามีเวลานั่งดูหมาวิ่งวนไปวนมา มีเวลาเช็กหนังเข้าใหม่สัปดาห์นี้ มีเวลาไปดูหนังในโรงแบบคนอื่นๆ มีเวลาได้ดูซีรีส์ที่อยากดูแค่วันละตอนก็ยังดี การใช้ชีวิตสามัญธรรมดาแบบนี้แหละที่มันหายไป

ดูคุณจะเป็นคนที่ครุ่นคิดกับชีวิต

เราเป็นคนชิลล์มากเลยนะ (หัวเราะ) หลายๆ คนชอบบอกว่าเราเป็นคนซีเรียสกับชีวิต ทั้งที่จริงเราเป็นคนสบายๆ เวลาอยู่บ้านนี่เราโคตรไร้สาระเลย ล่องลอยมาก

เวลาทำงานเราจริงจังแต่ก็มีความยืดหยุ่นสูง เราไม่ใช่คนประเภทที่จะวีนแตกใส่ลูกทีมเลย ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทุกคนในทีมจะทำได้ก็พอ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างที่บอกว่าผมชอบทำงานกับคนตั้งใจ คือถ้าคุณพยายามเต็มที่แล้วแต่มันไม่ได้ แบบนั้นผมโอเค เราพยายามหล่อเลี้ยงบรรยากาศการทำงานให้มันดีอยู่เสมอ ในกองถ่าย ในห้องอัด เรามีแต่เสียงหัวเราะ เมื่อทุกคนมีความสุข ทุกคนจะอยากมาทำงานด้วยใจ

เพราะเคยทำงานเบื้องหน้ามาด้วยหรือเปล่า เลยทำให้เรารู้วิธีดีลกับการทำงานเบื้องหลัง

นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่หลักๆ มันน่าจะเป็นเพราะผมเป็นคนที่ค่อนข้างใส่ใจความรู้สึกคนอื่นมากกว่า มันเหมือนเป็นอัตโนมัติของเราอยู่แล้ว

คุณยังมีบทบาทหรือความฝันอะไรอีกไหมที่ยังไม่ได้ลองทำ

เราอยากมีโอกาสร่วมทำงานโปรดักชันที่ต่างประเทศ ในงานด้านไหนก็ได้ ฟิล์ม ซีรีส์ หรืองานเพลงก็ได้ มันเป็นประสบการณ์ที่ผมเองก็อยากรู้ว่าเขาทำงานกันยังไง คิดงานกันยังไง แม้กระทั่งระยะเวลาการทำงาน เราอยากรู้ว่าเขามีเวลามากน้อยแค่ไหนในการทำผลงานขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง

หลายคนมองวงการบันเทิงไทยว่าทำไมเราไม่เทียบเท่าฮอลลีวูด ไม่เทียบเท่าเกาหลีใต้หรือไต้หวันสักที แต่ถ้ามองลึกมาจนถึงเบื้องหลัง ณ วันนี้ ระยะเวลาหรืองบประมาณที่ใช้ในการผลิตผลงานสักชิ้นของไทยมันก็ยังไม่ไปถึงจุดเดียวกับวงการบันเทิงประเทศอื่นๆ ด้วยค่าตัวผู้กำกับ นักแสดง และทีมงาน มันก็ไม่เพียงพอ ทำให้เขาต้องรับงานมากกว่า 1 ชิ้นในแต่ละช่วงเวลา

ซึ่งแน่นอนปัญหาที่ตามมาคือความไม่ 100% เพราะต้องแบ่งเวลาไปให้กับอีกงานหนึ่งด้วย ต่างจากประเทศที่อุตสาหกรรมด้านนี้เติบโตมากๆ เขามีงบประมาณ มีเวลาเพียงพอ นักแสดงไม่ต้องไปวิ่งรับอีเวนต์คู่ สามารถโฟกัสที่งานงานเดียวได้อย่างเต็มที่

ทำให้เราอยากลองเอาตัวเองไปอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ที่ประเทศอื่นดู ถ้าเราอยู่ในจุดนั้น เราจะทำงานได้โอเคไหม จริงๆ บุคลากรของไทยเก่งๆ ทั้งนั้น เพียงแต่เราไม่มีเงินทุน ไม่มีเวลาที่จะผลิตได้ถึงขนาดนั้น อย่างการที่ Netflix เข้ามาที่ไทย มันค่อนข้างสร้างความตื่นตัวและแรงกระเพื่อมที่ใหญ่ทีเดียวให้กับวงการบันเทิงบ้านเรา

แต่คุณก็เคยไปใช้ชีวิตที่อังกฤษอยู่พักใหญ่ ตอนนั้นไปทำอะไร

ผ่านมาเกือบ 5 ปีแล้ว ตอนนั้นเราแค่อยากไปพักเลย มันเป็นช่วงทบทวนชีวิตของตัวเองว่าเราจะทำอะไรกันแน่ ที่ตรงนี้เป็นที่ของเราจริงๆ หรือเปล่า หรือมันเป็นแค่ความฝันของเด็กคนหนึ่งที่เดินเข้ามาเสาะแสวงหา ตื่นเต้นกับมัน แล้วก็ถึงเวลาที่โชว์จะต้องจบลงแล้ว ตอนนั้นผมอายุ 29 ปี เป็นเหมือนช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตให้ต้องคิดทบทวนว่าสิ่งที่เราทำมาตลอด เรารักมันจริงๆ ไหม เราจะเดินต่อไปกับมันหรือเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น

แล้วตอนนั้นตกตะกอนได้ว่า

ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเราคิดถึงเรื่องอะไรบ้าง เราเพลิดเพลินกับอะไร อะไรที่มันพุ่งเข้ามาสะกิดหู สะกิดตา สะกิดใจ ให้เราอยากจะนั่งอยู่ตรงนั้น และดื่มด่ำไปกับมัน ซึ่งสิ่งที่ตอบเราได้มากที่สุดก็คือเสียงเพลง เพราะเราใช้ชีวิตตอนเรียนที่ลอนดอนด้วยการนั่งฟังคนเล่นดนตรี ร้องเพลงเปิดหมวก ตลอดเวลา ผมก็ซื้อ KFC McDonald’s ไปนั่งกินและฟังเขาเล่นดนตรีแบบนั้นทุกวันๆ

พอเราได้เอาตัวเองออกไปจากสิ่งที่ทำระยะหนึ่ง เราก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่เป็นตัวตน เราคงแค่เหนื่อยและอยากพัก

ชีวิตหลังจากนั้นเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง

กลับมาพร้อมพลัง (ยิ้ม) เราก็กลับมาทำงานหลายอย่างเหมือนเดิม แต่พอโตขึ้นเราก็ยอมรับและแยกแยะได้ว่างานบางงานมันก็เป็นงานที่ทำเพื่อเลี้ยงชีพ ในขณะที่งานซึ่งมอบความสุข มอบแพสชันให้ บางครั้งมันไม่สามารถเลี้ยงเราได้

สำหรับคนที่ยังสับสนนะครับ เรามีทริกในการสำรวจความคิดตัวเองง่ายๆ ที่ใช้กับตัวเองมาแล้วคือ งานที่ต่อให้เราเหนื่อยกับมันแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่ตื่นเช้าขึ้นมาเราไม่ได้อยากจะกดปิดนาฬิกาปลุก ทิ้งตัวนอนต่อ แล้วคิดในใจว่า แม่งเอ๊ย กูต้องไปทำงานนี้อีกแล้วหรอวะ (หัวเราะ)

งานที่ต่อให้เหนื่อยแทบตาย แต่คุณก็มีพลังที่จะสู้ต่อเสมอ งานที่ต่อให้ทำจนถึงตี 2 ตี 3 รู้น่าว่ามันดึกแล้ว แต่มันก็ยังมีเวลาให้ลุยอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะเช้า สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครให้คำตอบได้ นอกจากใจของคุณเอง

คุณเป็นคนที่ทำงานด้วยพลังและความตั้งใจ สิ่งเหล่านี้มีวันหมดไปหรือเปล่า

เอาจริงๆ ว่าพลังในการทำงานหรือใช้ชีวิตมันเป็นสิ่งที่มีวันหมดนะ (หัวเราะ) ช่วงที่ผ่านมา 2 – 3 ปี เชื่อไหมว่าเราแทบไม่ฟังเพลงเลย ขึ้นรถก็ขับเงียบๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เหมือนคนเบื่ออาหาร


แล้วคุณเอาตัวเองกลับมาจากอาการเบื่อนั้นยังไง

เรากลับมาฟังเพลงอีกครั้ง ตอนที่เริ่มตระหนักได้ว่าเสียงเพลงเป็นเหมือนหลุมหลบภัย กันให้เราออกจากโลกรอบข้างที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เป็นอีกแหล่งพลังงานที่ช่วยเติมเชื้อไฟ ในวันที่ต้องลากตัวเองไปทำงานเลี้ยงชีพ เพลงมันช่วยชีวิตเราได้ว่ะ (หัวเราะ)

แม้จะรักสิ่งที่ตัวเองทำแค่ไหน แต่มันก็มีอุปสรรคอยู่ในรายละเอียดนะ อย่างเราเป็นคนที่เข้ากับคนยาก แถมยังยิ้มยาก แต่งานของเราต้องเจอคนเยอะแยะ และเราก็ไม่อยากให้คนคิดว่าเราหยิ่ง เราเลยต้องพยายามทำตัวเองให้เป็นมนุษย์ปกติ เสียงเพลงก็ช่วยจูนอารมณ์พวกนี้ให้เรา พอได้ใส่หูฟังเข้าสู่โลกของตัวเอง เมื่อถอดหูฟังก็พร้อมก้าวเข้าไปในโลกที่แชร์กับคนอื่นๆ

เพลงมันมีอิทธิพลกับเรามากเลย

ปกติคุณเป็นคนที่มีพฤติกรรมการฟังเพลงยังไง

เราเป็นคนที่ฟังเพลงซ้ำไปซ้ำมา (หัวเราะ) เป็นมาตั้งแต่เด็กๆ เลย ผมฟังย้ำจนกว่าจะเบื่อเพลงนั้นไป โดยที่ระยะเวลาการฟังนี่นานมากๆ บางเพลงฟังวนอยู่หลายเดือน

เวลาเราฟังเพลงไหนย้ำๆ เราจะมีความรู้สึกดีร่วมกับเพลงนั้น แล้วถ้าเราหยุดฟังเพลงนั้นไปสัก 1 – 2 ปี เมื่อเพลงนั้นมันถูกเล่นขึ้นมาอีกครั้ง ภาพโมเมนต์ช่วงที่เราฟังย้ำจะปรากฏขึ้นมาในหัวเราทันที เพลงเป็นเหมือนเครื่องบันทึกความทรงจำของเราได้เลย นี่คือเสน่ห์และความเจ๋งของดนตรี

คุณเป็นคนแบบไหน ระหว่างคนที่รอให้โชคชะตาพัดพากับไขว่คว้าหาเส้นทางของตัวเอง

เราเป็นคนที่วิ่งเข้าหาโชคชะตาเสมอครับ แต่เมื่อถึงจุดเส้นชัยเราจะชิลล์กับความสำเร็จนั้นนะ เราจะยังไม่วิ่งต่อ แต่จะปล่อยให้ตัวเองได้ดื่มด่ำไปกับความสวยงามของความสำเร็จตรงหน้า

เหมือนเราเป็นนักปีนเขา ในระหว่างปีนเราก็เหนื่อยนะ แต่ทุกครั้งที่เราหยุดพักเหนื่อย เรามีเวลานั่งรับลมมองดูเส้นทางโคตรยากที่ปีนผ่านมา แล้วในแต่ละขั้นก่อนจะไปถึงยอดเขาของความสำเร็จ วิวที่เห็นมันไม่เหมือนกันเลย

และเมื่อถึงจุดสูงสุดที่เราปักธงลงไป เราจะตั้งแคมป์เสพบรรยากาศอยู่บนนั้นนานมาก (ยิ้ม)

ละครเวที ‘บุปผาราตรี เกือบจะมิวสิคัล’ บุปผากลับมาคราวนี้ เฮี้ยนเหมือนเดิม… เพิ่มเติมคือเล่นสดบนเวที!หนูนา หนึ่งธิดา เป็นบุปผา แดน วรเวช เป็นแฟนบุปผา เตรียมมาขนหัวลุกพร้อมขนหัวเราะกลับบ้านไปพร้อมกัน 20 ตุลาคม – 11 พฤศจิกายน 2561 ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน ชั้น 7 เปิดขายบัตรวันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาข

Writer

Avatar

มิ่งขวัญ รัตนคช

อดีต Urban Designer ผู้รักการเดินทางสำรวจโลกกว้าง สนใจงานออกแบบเชิงพฤติกรรมมนุษย์ และยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ เชื่อว่าทุกการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากน้ำหยดเล็กที่ไหลมารวมกัน

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล