คุณเคยคิดถึงตอนจะตายบ้างไหม

ไม่ได้ตั้งใจมาแช่งหรือชวนคุยเรื่องไม่มงคล ผมเพียงแต่คิดถึงเรื่องนี้หลังจากได้ฟัง นที เอกวิจิตร หรือ อุ๋ย Buddha Bless พูดในหัวข้อ ‘Last Talk : ทอล์คครั้งสุดท้ายของผู้ใกล้ชิดความตาย’ ที่งาน Happy Deathday นักร้องหนุ่มบอกว่า แม้ความตายจะเป็นสิ่งที่คนไทยไม่ค่อยอยากพูดถึง แต่นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น นี่เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนัก นี่เป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญหน้า

นี่เป็นสัจธรรม

“ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องอัปมงคล เป็นเรื่องมงคลด้วยซ้ำ ที่จะคุยเรื่องแบบนี้ให้เข้าใจกัน” เขาพูดเช่นนี้บนเวที และบอกกับผมอย่างนี้ในบทสนทนา

แม้ช่วงหลังๆ เขาจะปรากฏตามสื่อบ่อยครั้งจนหลายคนคุ้นหน้า แต่แทบทั้งหมดล้วนเป็นประเด็นดราม่าที่มาจากการแสดงความคิดเห็นตรงไปตรงมาของเขา หาได้เป็นบทสัมภาษณ์ที่ชวนเขาคุยในฐานะศิลปิน หรือเรื่องบทเพลงที่เขาทำ

ล่าสุด อุ๋ย Buddha Bless ยังเพิ่งปล่อยซิงเกิลใหม่ชื่อ อายุขัย ซึ่งเนื้อหาพูดเรื่องความไม่จีรังของสรรพสิ่งโดยเอาเรื่องความสัมพันธ์มาห่อหุ้ม หลังจากออกอัลบั้มร่วมกับเพื่อนในนามวงบุดด้า เบลส มาแล้ว 3 อัลบั้ม นี่คือเพลงที่เขาทำในนามศิลปินเดี่ยว ซึ่งเป็นโอกาสอันดีในการเล่าเรื่องที่อยากเล่า เรื่องเดียวกับที่เขาพูดบนเวทีวันนั้น

เมื่อได้พบกันอีกครั้ง ผมจึงอยากชวนเขาคุยถึงเรื่องผลงานบ้างนอกจากประเด็นดราม่าที่สื่ออื่นนำเสนอไปครบถ้วนแล้ว และที่สำคัญ ผมตั้งใจชวนเขาคุยเรื่องที่คนทั่วไปไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึงมันเท่าไหร่

เราคุยกันเรื่องความตาย

อุ๋ย Buddha Bless

ช่วงหลังเห็นคุณอยู่ในสื่อเยอะ โดยเฉพาะในประเด็นดราม่าหลายๆ เรื่อง เป็นความตั้งใจหรือเปล่า

ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้เลย มันจับพลัดจับผลูขึ้นมาเอง แล้วทุกวันนี้เวลาออกไปงาน อย่างล่าสุดผมไปงานแถลงข่าวเปิดรายการใหม่ของพี่ส้ม (ณัชพร สายบัว) นักข่าวรุมสัมภาษณ์ ผมก็ไม่ได้พูดถึงเพลงเลย และผมก็ไม่ได้ขอเขาด้วยว่าช่วยพูดถึงเพลงใหม่ผมหน่อย เขาสัมภาษณ์แต่เรื่องครูอ้อย ผมก็พูดแต่เรื่องครูอ้อย เสร็จแล้วก็แยกย้าย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะหาว่าผมมาสร้างประเด็นอย่างอื่นเพื่อโปรโมตตัวเอง มันไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องมาทำแบบนั้น ถ้าผมนิสัยอย่างนั้นผมทำมานานแล้วล่ะ

คุณดูเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัวเดือดร้อนจากการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อเท่าไหร่

ไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ อาจจะเริ่มจากไม่ค่อยคิดก่อน หรือเวลาคิด ผมจะมองด้านประโยชน์เสียมากกว่า จริงๆ มันต้องมองสองด้านแหละ แต่บางเรื่องเราคิดว่าพูดไปมันเกิดประโยชน์นะ มันก็น่าจะพูด แล้วผมก็ไม่ค่อยได้นึกถึงโทษที่ตามมาเท่าไหร่ อาจเพราะผมคงยังไม่ได้ถึงกับอดอยากมั้ง ถ้าถึงกับอดอยาก ไม่มีงานการจะทำแล้ว พูดไปแล้วเขาไม่จ้างทำงาน ผมอาจจะคิดอีกแบบ แต่มันยังไม่เคยถึงขนาดนั้นไง แล้วถ้าจินตนาการว่าถึงขนาดนั้นขึ้นมา ผมก็คิดว่าผมยังเลือกจะพูดอยู่นะ ผมรู้สึกว่าผมจะละอายตัวเองว่า นี่มึงห่วงปากท้องถึงขนาดมึงไม่กล้าทำเพื่อความถูกต้องเลยเหรอวะ

มันอาจจะอยู่ยากหน่อยแหละ แต่สำหรับผม ผมว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรทำ ผมรู้สึกว่าอาชีพผม สิ่งที่มีค่าที่สุดคือความที่มันเป็นกระบอกเสียงได้ พูดไปแล้วมีคนฟังจำนวนมาก ในเมื่ออันนี้เป็นของมีค่าในชีวิตเรา ที่เราได้มันมาแล้ว ผมก็อยากใช้มันให้เกิดประโยชน์

ในฐานะศิลปิน การที่คนไปสนใจเรื่องอื่นมากกว่าผลงานเพลงที่คุณทำ มันรู้สึกแย่มั้ย

ไม่แย่ ผมเข้าใจ ผมกลับมองว่าก็ผมโปรโมตไม่ดีเอง ผมไม่ได้บอกเขาเองว่าผมออกเพลงใหม่ แล้วเขาไม่ได้ถามถึงผลงานผมเพราะว่าข่าวผลงานผมมันขายไม่ได้ ถ้าสัมภาษณ์เรื่องครูอ้อยที่เป็นประเด็นอยู่ขายได้มากกว่า ผมก็เข้าใจอาชีพเขา ถ้าผมบอกว่า พี่ ผมมีซิงเกิลใหม่ออกมาแล้ว ผมขอโปรโมตด้วยได้มั้ย ถ้าเขาคิดดูแล้วว่ามันขายข่าวไม่ได้ เขาก็ตัดตรงนั้นทิ้งอยู่ดี แล้วผมจะไปทำให้เขาอึดอัดทำไม เขาอยากรู้เรื่องไหนก็บอกแค่เรื่องนั้น ผมไม่ไปยัดเยียดขายของผมกับเขา พูดง่ายๆ ผมเป็นพ่อค้าที่ห่วย ผมขายของไม่เก่ง แต่ผมภูมิใจกับสิ่งที่ผมทำนะ ผมภูมิใจกับเพลงผมมาก ผมไม่ได้อายที่จะโปรโมตเพลงตัวเอง แต่ผมก็รู้ธรรมชาติอาชีพของแต่ละคนว่าเขาต้องการอะไร

การเป็นพ่อค้าที่ห่วยจะทำให้คุณอยู่ยากหรือเปล่าในวงการเพลงทุกวันนี้

ก็อยู่ยากอยู่แล้วครับ ผมไม่ได้ทำงานศิลปะที่คนไม่ต้องซื้อก็ได้ ผมก็ยังใช้เงินลงทุน ทำมิวสิกวิดีโอไปเป็นแสน ผมก็ยังต้องการเงินกลับมาจากยอดวิวยูทูบหรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าผมขายไม่ได้ อยู่ไม่ได้ รายได้กลับมาไม่พอกับรายจ่าย ผมก็แค่ต้องเลิกอาชีพนี้ หรือไม่ก็ต้องไปทำอาชีพอื่นแล้วก็เอาเงินมาซัพพอร์ตงานเพลงที่ผมรัก

ผมก็ไม่ได้เป็นศิลปินที่ดีเสียทีเดียวนะ ไม่รู้ว่าแต่ละคนวัดยังไง แต่สำหรับผม ผมว่าศิลปินที่ดีคือคนที่ทำงานศิลปะที่ยกระดับจิตใจคนเสพมากขึ้น แต่สุดท้ายถ้าทำแบบนั้นแล้วคนเขาไม่ได้ฟัง คนเขาไม่รู้ว่าผลงานของคุณจะยกระดับจิตใจมนุษย์ขึ้นมาให้ดีได้ ไม่ได้ไปถึงหูถึงตาเขา แล้วยังไงล่ะ เท่ากับคุณไม่ได้มีปัญญาในการนำเสนอที่ถูกต้อง

อุ๋ย Buddha Bless

อย่างเพลง อายุขัย ก็เป็นหนึ่งในความพยายามเอาเรื่องสัจธรรมมาห่อหุ้มให้เข้าถึงง่าย

ใช่ ความจริงผมมีเพลงที่แต่งก่อนหน้านี้ 2 – 3 ปีที่ยังไม่ออก เพลงพวกนั้นแพ็กเกจจิ้งที่ห้อหุ้มมันไม่ป๊อปเท่า การที่เรามาทำเพลงในฐานะศิลปินเดี่ยวมันเหมือนผมเป็นศิลปินใหม่ ผมเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ผมก็อยากเริ่มจากเพลงที่คนเข้าถึงง่ายหน่อย ซึ่งเพลงนี้คิดว่าง่ายแล้ว แต่เจอบางคอมเมนต์บอกว่า ‘มันก็เพราะในแบบของพี่นะครับ แต่พี่ไม่คิดจะทำเพลงตลาดบ้างเหรอครับ’ ผมก็ เฮ้ย นี่ยังไม่ตลาดอีกเหรอ นี่คือตลาดที่สุดที่ผมจะทำได้แล้วนะ ตลาดกว่านี้ทำไม่ได้แล้วล่ะ (หัวเราะ) ฟังอย่างนี้แล้วท้อเลย

แต่พูดเล่นนะ ไม่ถึงกับท้อหรอก คือผมทำเองผมก็รู้แหละว่ามันไม่ใช่เพลงฮิต เหมือนตอนที่ทำบุดด้า เบลส เพลง เรื่องธรรมดา ที่ผมแต่ง ตอนนั้นผมบอกเพื่อนเลยว่าลงทุนทำเอ็มวีเสียเงินเป็นแสน บอกเลยนะว่าเหมือนเอาเงินไปโยนทิ้งน้ำ อย่าหวังตัวเงินที่จะกลับมา ค่าทำเอ็มวียังไม่ได้เลย มันไม่ใช่เพลงฮิต และไม่ใช่เพลงที่ทำให้เรามีงานจ้าง ผมก็ถามเพื่อนว่ายังอยากทำกันอยู่มั้ย ส่วนตัวผม ผมก็บอกเพื่อนว่ากูอยากทำนะ ถึงจะเหมือนเอาเงินไปโยนทิ้งน้ำแต่ก็ทำเถอะ เพราะว่ามันเป็นเพลงที่ผมภูมิใจ ผมเชื่อแบบนั้น เพื่อนก็ดี เขาก็โอเค แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไปเล่นคอนเสิร์ตยังไม่ค่อยได้ร้องกันเลย เพราะคนไปรอดูบุดด้า เบลส ก็รอดูโป๊งชึ่ง รอสนุก

ทำเพลงที่เชื่อว่าดีแต่กลายเป็นไม่ฮิต คนร้องตามไม่ได้ มันไม่รู้สึกหวั่นไหวอยากกลับไปทำเพลงที่เน้นบันเทิงบ้างหรือ

ไม่นะ ผมก็มองโลกตามความเป็นจริงว่ามันเป็นความผิดเราเอง เราเสิร์ฟเขาได้ไม่ดีพอ เรายังทำได้ไม่ถูกใจเขามากพอ เป็นถูกใจเราเสียมากกว่า เพลงไม่ฮิตนี่ผมไม่โทษคนฟังเลย ผมโทษตัวเองนี่แหละ ผมพยายามทำยาหวานรับประทานง่ายอยู่ คือกินแล้วต้องมีประโยชน์แล้วก็รสชาติดีด้วย แต่ผมอาจจะทำแล้วรสชาติมันไม่ดี ไม่ถูกปากคนอื่น เพราะว่าเราผสมได้ไม่ดีพอ เราก็ต้องไปทำใหม่

แล้วเวลาทำเพลงคุณรู้ได้ยังไงว่าเพลงที่คุณทำมีประโยชน์

ก็จากฟีดแบ็กคนฟัง บางคนบอกว่า จากที่เขาเศร้าอยู่ เขาฟังแล้วเขาปลงมากขึ้น รู้สึกดีขึ้นเลย โหย ผมดีใจกว่ายอดวิวล้านวิวอีกนะ ผมดีใจมากที่เพลงผมทำให้เขาทุกข์น้อยลงหรือหายทุกข์ได้ชั่วขณะ ผมว่ามันมีค่านะ บางทีใช้เงินล้านนึงยังไม่หายทุกข์เลยสำหรับบางคน แต่อะไรที่ทำให้เขาหายทุกข์ได้ แล้วเป็นงานศิลปะที่เราผลิตมันขึ้นมา โอ้โห นี่มันคือสุดยอดของเป้าหมายของชีวิตผมเลย แล้วถ้ามันเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ด้วยนี่คือเพอร์เฟกต์ แต่ผมก็ไม่ได้ทำเพลงได้อย่างนั้นทุกเพลง แล้วผมก็รู้ว่าถ้าผมตั้งใจทำด้วยจุดประสงค์นั้น ผมคงหากินด้วยอาชีพนี้ลำบาก ผมก็ต้องมีเพลงแบบทางโลกที่มันอาจจะไม่ได้ให้ข้อคิดอะไรปนอยู่บ้าง แต่ถ้ามีโอกาสที่จะทำได้ผมจะทำเสมอ เพลงที่ทำให้คนทุกข์ทุกข์น้อยลง

ทั้งในเนื้อเพลง อายุขัย และในงาน Happy Deathday คุณพูดเรื่องความตาย ความไม่จีรัง ช่วงนี้คุณสนใจอะไรเรื่องนี้

คือหลักๆ ตามกฎธรรมชาติ ที่เราหากินหาอยู่กันทุกวันนี้ ที่ใช้ชีวิตกันทุกวันนี้ ทุกคนล้วนมุ่งหาความสุข และไม่อยากทุกข์ถูกไหม แล้วที่เราทุกข์สาเหตุก็เพราะว่าเราไม่อยากให้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลง เราอยากได้สิ่งที่เราไม่เคยได้ แล้วพอได้แล้วก็ไปยึดไม่อยากให้มันเปลี่ยนไป ซึ่งความจริงทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ทุกวินาที ผมก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสากลที่พูดแล้วครอบคลุมกับทุกคน ทุกเรื่อง ทั้งตัวเราเองและคนอื่นๆ ด้วย

ขณะนี้ที่ผมพูดอยู่เซลล์ผมก็ตายลงไปทุกวินาที ทุกคนเดินหน้าสู่ความตาย เมื่อก่อนเวลาผมพิมพ์สเตตัสว่า พวกเราทุกคนกำลังเดินหน้าสู่ความตาย ถ้าเป็นช่วงอกหักคนก็จะตีความว่า ไอ้นี่เศร้า มันจะฆ่าตัวตาย บางคนก็บอกว่าไอ้นี่ติสท์แดก พยายามจะอินดี้ พอเราพูดเรื่องศาสนามากขึ้น กลุ่มคนที่เขาสนใจศาสนามาติดตามเรามากขึ้น เขารับเมสเสจเดียวกัน เขาก็เข้าใจว่าเรากำลังพูดถึงอะไรอยู่ มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลก

อุ๋ย Buddha Bless

ทำไมสังคมไทยเรามักจะหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องความตายกัน

คนไทยชอบถือสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็น บ้าพิธีกรรม พูดเรื่องความตายก็จะรู้สึกไม่เป็นมงคล แล้วทำไมมันถึงไม่มงคล เพราะมันเป็นความจริงที่ต้องเกิดขึ้น มนุษย์ส่วนใหญ่รับความจริงไม่ได้เพราะความจริงคือความทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกคน ทุกคนต้องเจอ ยังไงต้องเจ็บและตาย แต่มันเป็นความจริงที่ทุกคนไม่อยากยอมรับ เฮ้ย เดี๋ยวค่อยพูดแล้วกัน แฮปปี้อยู่ดีๆ มาพูดเรื่องอะไร แล้วทำไมไม่มองมุมกลับกันบ้างว่า เวลาพูดถึงความตายเราจะใช้ชีวิตอย่างมีค่ามากขึ้น ถ้าเรารู้วันตายแน่นอน ต่อให้อีก 10 ปีข้างหน้าก็เถอะ เราคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เราจะใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้น จะใคร่ครวญไตร่ตรองกันมากกว่าที่ใช้ชีวิตกันอย่างปัจจุบันนี้แน่นอน

ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครรู้หรอกว่ามึงจะตายวันไหน โลงไม่ได้มีไว้ใส่คนแก่นะ โลงมีไว้ใส่คนตาย คือวัยรุ่นก็ตายได้ มีให้เห็นเยอะแยะ แล้วถ้าเราคิดถึงความตายกันได้บ่อยๆ มรณานุสติ ก็จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่ามากขึ้น ไม่เสียเวลากับอะไรที่ไม่ควรจะเสีย

ที่ว่าใช้ชีวิตให้มีคุณค่าในความหมายของคุณคือยังไง

สำหรับผมคือทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ คุณมีพ่อมีแม่หรือเปล่า ทำหน้าที่ของลูกดีพอหรือยัง เป็นพลเมืองหรือเปล่า ทำหน้าที่ของพลเมือง เป็นผัวหรือเปล่า ทำหน้าที่ของผัวที่ดี แล้วทำหน้าที่ตอนไหน ก็ทำหน้าที่ตอนสวมตำแหน่งนั้นอยู่ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ให้สมบูรณ์

ในชีวิตที่ผ่านมาคุณเข้าใกล้ความตายที่สุดตอนไหน

ล่าสุดเมื่อปีก่อนผมเกือบจมน้ำตาย ตอนนั้นไปออสเตรียแล้วลงไปว่ายน้ำในทะเลสาบ น้ำเย็นจัด ผมก็ไม่คิดว่าน้ำจะเย็นขนาดนั้น ก็กระโดดลงไปในน้ำโดยไม่ได้วอร์ม ว่ายไปเรื่อยๆ แล้วตะคริวขึ้น พอหันไปมองฝั่งแล้วมันไกลมาก เราทำใจแล้ว กูตายแน่

ตอนนั้นคิดอะไรในหัว

คิดว่าขากูตาย มือกูต้องว่ายไปให้นานที่สุด

ไม่ได้คิดถึงหน้าพ่อแม่ คนรัก แบบในภาพยนตร์

คิดถึงพ่อแม่แว้บๆ แต่ไม่คิดนาน ตอนนั้นคิดอย่างเดียวคือทำยังไงก็ได้ให้เข้าไปใกล้ฝั่งที่สุด เผื่อว่าถ้าขึ้นอืดหรือหมดสติไป คนใกล้ฝั่งยังพอมองเห็น จะลากขึ้นไปปั๊มหัวใจหรืออะไรก็ค่อยว่ากัน ผมก็หันไปหาโรงแรมอื่นที่อยู่ใกล้กว่าโรงแรมตัวเอง แต่มันก็ใกล้กว่าไม่มาก หันไปทั่วก็ไกลทุกอัน สุดท้ายก็ว่ายจนไปขึ้นฝั่งที่โรงแรมอื่น คนที่เขานั่งอยู่ตรงริมน้ำนี่อึ้งกันหมด ผมใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวขึ้นไปสภาพเหมือนศพ แล้วก็เดินออกจากโรงแรม ผ่านล็อบบี้ ออกถนนใหญ่ด้วยกางเกงว่ายน้ำตัวเดียว เดินกลับไปโรงแรมตัวเอง คือตอนนั้นไม่สนอะไรแล้ว กูรอดตายแล้ว

เหตุการณ์นี้ทำให้คุณคิดอะไรได้บ้างไหม

คิดแค่ว่ารอดมาได้ก็บุญฉิบหาย เวลาใครถามเรื่องความตายผมก็จะนึกถึงเหตุการณ์นี้ แต่ว่าเวลาผมนึกถึงความตายจริงๆ ผมจะใช้ตอนก่อนนอนแล้วจินตนาการเอาว่าถ้าหลับแล้วไม่ตื่น ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีแล้ว เรายังยึดติดกับอะไรอยู่ ผมจะใช้วิธีมรณานุสติ จินตนาการแบบวิถีพุทธนี่แหละ

ยิ่งโตมาผมยิ่งรู้สึกว่าเวลาของมีค่าผมหายไปผมทำใจได้เร็วกว่าตอนเด็กๆ มาก จะสร้อยทอง นาฬิกา แว่นตา ถ้าหายไปผมจะช่างแม่งได้เร็วมาก ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นค่ามันนะ บางอันอาจจะมูลค่าไม่มากแต่มีคุณค่าทางจิตใจกับเรามาก แต่ผมจะรู้ว่าทุกอย่างเหมือนเราเช่าใช้ ของทุกอย่างมันชั่วคราว สุดท้ายแล้วไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรจริงๆ เราแค่ถือกรรมสิทธิ์ชั่วคราว จะบ้าน จะพ่อแม่ ลูกเมีย รถ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ไม่มันจากเราก็เราจากมัน ไม่มันหายไปหรือพังก็เราตายไป ต้องแยกย้ายกันหมด

อุ๋ย Buddha Bless

แล้วกับความสัมพันธ์ เวลาสูญเสียมันไปคุณทำใจได้เร็วเหมือนเวลาสูญเสียของมีค่าไหม

ผมมีจุดอ่อนอยู่เรื่องเดียวเลยคือความรัก เพื่อนผมจะบอกว่ามีอะไรมึงรู้ดีทุกอย่าง พวกกูปรึกษามึงได้หมด มีเรื่องเดียวที่ดูมึงโง่เง่าไม่เลิกราคือเรื่องความรัก ซึ่งผมก็ยอมรับว่าผมเป็นอย่างนั้น ที่ผมอธิบายเรื่องการไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเยอะแยะไปหมด คนก็บอกว่าอย่างนี้มึงก็ไม่ทุกข์แล้วสิ ผมบอกว่ามันก็เป็นแค่ความเข้าใจในการพูด แต่ถึงเวลาปฏิบัติจริงนั่นคือประสบการณ์ตรง ซึ่งมันยาก

สมัยก่อนที่ผมจะรู้จักธรรมะ สิ่งที่มาคั่นคือการไปดูหนังฟังเพลงนั่งคุยหัวเราะกับเพื่อน แต่อย่างนั้นมันก็จะช่วยได้แว้บๆ แล้วกลายเป็นว่าเราอยู่กับตัวเองไม่ได้ อยู่กับตัวเองก็จะทุกข์ยาว แต่ผมเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาทำให้ทุกข์ของผมสั้นลง สั้นลงในที่นี้ไม่ได้หายโดยสิ้นเชิงนะ สมมติผมเลิกกับแฟน ผมทุกข์อยู่ 1 ชั่วโมง แล้วผมรู้ตัว ผมคลายทุกข์ได้ สักสองสามชั่วโมง พอผมกลับไปนึกถึง ผมก็กลับไปทุกข์อีก แต่ผมก็มีวิธีตัดทุกข์ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ถ้าผมไม่เคยฝึกเลย ระยะเวลาความทุกข์ที่ผมไปนึกย้อนถึงอดีตมันจะยาวมาก

การที่คุณมีจุดอ่อนเรื่องความรักส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคุณไหม

ทุกอย่างมันมีผลกับชีวิตทั้งนั้นแหละ อยู่ที่เราให้น้ำหนักมันมากแค่ไหน แต่ผมดันให้น้ำหนักมันมาก (เน้นเสียง) จนไปทำให้เรื่องอื่นเสียเวลาทุกข์เรื่องความรัก เพราะผมเป็นคนทุ่มเท เวลามีคนรักผมจะอินมาก ผมจะมีมายาคติในหัวว่าอยากอยู่กันจนแก่ตายไปข้าง แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นกับภาพนั้น คบกับใครก็คิดว่าจะอยู่จนแก่ทุกคน อยู่กันจนตายทุกคน ทุกครั้งที่คบก็คิดอย่างนั้นทุกครั้ง ซึ่งนั่นเป็นการยึดมั่นถือมั่นอย่างหนึ่งที่ทำให้เวลาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวังเราก็จะทุกข์มาก ผมไม่เคยคบใครแล้วคิดว่า คบๆ เดี๋ยวเลิก

แต่ก่อนคนจะบอกว่ารักต้องเผื่อใจ ถ้าคุณไม่เผื่อใจคุณจะเสียใจมาก ผมไม่ชอบคำนี้และผมไม่เชื่อเลย ผมรู้สึกว่ามันเห็นแก่ตัวจัง การที่เราจะรักใครคนนึงแล้วต้องมากั๊กๆ ไว้ ไม่รักเขาเต็มที่เพราะกลัวตัวเองเสียใจ มันดูไม่ใช่ความรักเลยว่ะ เหมือนเล่นเกม แต่เวลามันก็สอนเราว่าคุณจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ คุณจะรักเต็มที่อย่างที่คุณเคยทำมาก่อนก็ได้แต่คุณก็ต้องยอมรับด้วยว่าถ้าคุณสุดลิ่มทิ่มประตูแบบนั้น เวลาคุณทุกข์คุณก็จะสุดลิ่มทิ่มประตูเหมือนกัน คุณก็เลือกเอาว่าคุณอยากทำแบบไหน

การอยากอยู่ด้วยกันจนตายมันไม่ย้อนแย้งกับสิ่งที่คุณเชื่อว่าไม่มีอะไรคงอยู่เสมอไปหรือ

คนที่อยู่ด้วยกันจนแก่ตายเราก็เห็นเยอะแยะนะ แต่ว่ายิ่งโตก็ยิ่งเรียนรู้ว่าจริงๆ ถ้าอายุมนุษย์สัก 300 ปี ไอ้คู่ที่เราเห็นเขาแก่ตายตอน 80 แล้วยังรักกันอยู่ ปีที่ 150 เขาอาจจะเลิกรักกันก็ได้ อาจจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ได้ เพราะอายุมนุษย์มันดันสั้นกว่าที่จะพิสูจน์ และอีกอย่างเขาอาจจะหมดรักกันก่อนนั้นระหว่างทางแล้วก็ได้ แต่ว่าเขาอยู่กันด้วยความผูกพัน อย่างคนยุคก่อนอาจจะอยู่ด้วยจารีตประเพณี ถ้าเลือกแล้วก็ควรอยู่ด้วยกัน อายุขัยของความรักอาจจะหมดไปแล้วก็ได้ หรือเขาจะยังรักกันอยู่ เราไม่มีวันรู้เลย แต่ผมก็เชื่อว่ามันไม่ได้มีความรักกันตลอดเวลาหรอก มันมีทั้งช่วงรักช่วงไม่รัก แต่เขาเลือกแล้วว่าเขาจะอยู่ด้วยกัน

เห็นว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของเพลงที่คุณเขียนแต่งมาจากชีวิตจริง อย่างเพลง อายุขัย คุณไปเจออะไรมา

ตอนนั้นเลิกกับแฟน พอเลิกกับแฟนผมก็เขียน

คุณใช้การเขียนเพลงเยียวยาตัวเองหรือเปล่า

คือผมต้องคิดได้ก่อน แล้วผมถึงเขียน แปลว่าผมเยียวยาตัวเองเสร็จแล้ว เหมือนลองกินยานี้แล้วผมว่ามันเวิร์ก ผมค่อยเอาไปให้คนอื่นกิน

เหมือนคุณอยากสื่อสารเรื่องความไม่จีรัง

ใช่ ศาสนาพุทธย่อทั้งหมดสรุปแล้วง่ายๆ คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แค่นี้เลย ศาสนาพุทธสอนให้ออกจากทุกข์ ไม่ได้ไปวิ่งหาความสุข ความสุขไม่มีจริงในศาสนาพุทธ มีแค่ทุกข์มากและทุกข์น้อย เพราะฉะนั้น การที่จะออกจากทุกข์ คุณทุกข์เพราะอะไร เพราะไปยึดสิ่งที่มันไม่มีวันคงทนถาวร แล้วพอมันเสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติก็เป็นทุกข์ เหมือนเราถือไอติมแล้วเราหวังว่ามันจะไม่ละลาย แล้วพอมันละลายเราก็ทุกข์

เห็นสเตตัสคุณบอกว่าในงาน Happy Deathday คุณประทับใจน้องเรไรที่สุด คุณประทับใจอะไร

ผมไม่เคยรู้จักน้องเขามาก่อน เคยได้ยินแค่คำว่า เรไรรายวัน แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นเด็กที่เขียนบันทึก พอขึ้นเวทีผมถึงรู้ว่านี่คือน้องที่เขียนบันทึกทุกวัน แล้วผมชอบประโยคจบที่พิธีกรถามว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายจะบันทึกว่าอะไร น้องเขาบอกจะเขียนว่า ‘จบแล้วค่ะ’ ผมชอบมาก ผมรู้สึกว่ามันได้ทั้งทางโลกทางธรรม มันเหมือนนิทานเซน คือเรียบง่ายแต่ได้ใจความมาก สำหรับบางคนความตายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ โห น่ากลัว ถ้าคิดจริงๆ แล้วก็เรื่องธรรมดา ก็จบแล้วไง แค่นี้ ไม่เห็นมีอะไรเลย มึงบ้าบอมาทั้งชีวิต ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด ทั้งโลภ ต่อสู้สารพัดสิ่ง สุดท้ายแล้วไงล่ะ ก็จบแล้ว แค่นี้เอง โดยที่ผมก็ไม่ได้เชื่อว่าเรไรเขาคิดอะไรแบบนั้น เขาคิดด้วยความไร้เดียงสาของเด็กๆ เรียบง่าย ก็เขาบันทึกทุกวัน วันนี้วันสุดท้าย เขาก็เขียนว่า จบแล้วค่ะ Simple is the best. นี่แหละจริงแท้ที่สุด

อุ๋ย Buddha Bless

ถ้าต้องตายพรุ่งนี้จริงๆ คุณจะเสียดายมั้ย

จะมีอย่างเดียวที่เสียดายคือเราฝึกฝนในการละได้ไม่ดีเลย เราน่าจะฝึกฝนการละได้มากกว่านี้ ยังมีสิ่งที่เรายึดติดอยู่

ยังยึดติดในอะไร

ส่วนใหญ่เป็นความสัมพันธ์ของบุคคลนั่นแหละ ผมไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กับอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง คนรัก ส่วนอย่างอื่นถ้าผมตายผมไม่ค่อยเสียดายอะไร บ้านรถนู่นนี่นั่นผมช่างแม่งหมด สำหรับผมความสัมพันธ์มีค่าที่สุด มันยึดติดอยู่กับตัวเราที่สุด เพราะวันนึงที่เราไม่เหลืออะไร สมมติวันที่เราไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย ความสัมพันธ์ที่ยังมีอยู่นั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด

ระหว่างที่คุยกันคุณบอกว่าถ้าเรารู้วันตาย เราจะใช้ชีวิตไม่เหมือนเดิม ถ้าคุณรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องตายคุณจะใช้ชีวิตเปลี่ยนไปยังไง

ถ้าผมรู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะตายผมไม่มานั่งให้สัมภาษณ์อย่างนี้หรอกครับ ผมไปหาพ่อหาแม่แล้ว ไปนั่งคุย นั่งขอบคุณ สงบสติอารมณ์ แล้วอยู่คนเดียวก่อนตาย พยายามละไม่ยึดติดกับอะไร ตายไปเงียบๆ คนเดียว

 

Writer

Avatar

จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์

อดีตบรรณาธิการบทสัมภาษณ์ The Cloud และเจ้าของนามปากกา jirabell เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่มชื่อ เราไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่คนเดียว, ความทรงจำอยู่ที่ไหน ความคิดถึงอยู่ที่นั่น, Lonely Land ดินแดนเดียวดาย, The Fairy Tale of Underfox และ รักเขาเท่าทะเล

Photographer

Avatar

ณัฎฐาจิตรา ชินารมย์รัตน์

ช่างภาพที่ชอบการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลงและหลงรักในความทรงจำ