ผมนัดพบกับ แม็กซ์ณัฐวุฒิ เจนมานะ ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมสัมมนาในหัวข้อ ‘โลก (โรค) ซึมเศร้าของนักดนตรี’ ซึ่งจัดโดย Fungjai

โดยไม่ต้องปิดบัง นักร้องหนุ่มที่ไม่สังกัดค่ายใดผู้นี้เคยเผชิญหน้าอาการซึมเศร้าและฟันฝ่าจนผ่านพ้นมาได้ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมคือเขาสามารถแปรเปลี่ยนช่วงเวลายากลำบากเป็นงานสร้างสรรค์ เปลี่ยนความมืดมิดเป็นแสงสว่าง

ช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตได้กลายเป็นเพลงที่เขาชอบที่สุดในอัลบั้ม Let There Be Light ชื่อ ปีศาจ ซึ่งเป็นซิงเกิลล่าสุดและซิงเกิลสุดท้ายของอัลบั้ม

หากจะบอกว่านักร้องผู้นี้ขับเคลื่อนงานสร้างสรรค์ด้วยความเจ็บปวดก็ไม่ผิดนัก

ด้วยกระแสเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า ที่โด่งดังจนกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ จากทีแรกที่ตั้งใจทำเพลงอินดี้วันหนึ่งกลับกลายเป็นเพลงมหาชน ถึงขั้นมีคนเอาไปรีมิกซ์เป็นเวอร์ชันสามช่า ทำให้การหาเวลาว่านั่งสนทนากันแม้ช่วงสั้นๆ ก็ยังเป็นเรื่องยาก

ผมรู้จักแม็กซ์ครั้งแรกจากการที่เขาเป็นผู้เข้าประกวดรายการ The Voice Thailand ในปีแรก ที่โดดเด่นทั้งบุคลิก หน้าตา และฝีไม้ลายมือ จนสุดท้ายเขาก็ได้เข้าไปอยู่ในทีมของโค้ชแสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข

ผมพบแม็กซ์ครั้งแรกจากการที่เขาเป็นนักเขียนร่วมสำนักพิมพ์เดียวกัน โดยชายหนุ่มเขียนหนังสือมาแล้ว 2 เล่มชื่อ Strange to Meet You และ The Boy Who Never Grows

“ผมว่าผมมีความเป็นนักเขียนมากกว่าเป็นนักร้องอีก” เขาบอกผมอย่างนี้ในช่วงหนึ่งของการสนทนา

ซึ่งคำว่า ‘เขียน’ ที่เขาว่า เขาหมายถึงทั้งเขียนหนังสือและเขียนเพลง

โชคดีของผมที่แม้ช่วงนี้จะเป็นช่วงชีวิตที่เวลาว่างคล้ายเป็นคนแปลกหน้าของแม็กซ์ เจนมานะ แต่เขาก็ยังเจียดเวลามานั่งคุยกัน และบทสนทนาก็เวียนวนอยู่กับสิ่งที่เขาคิดในชีวิตช่วงนี้ และสิ่งที่เขาเขียนในชีวิตช่วงนั้น

แม็กซ์ เจนมานะ

ช่วงนี้มีคำถามไหนที่คุณโดนสื่อถามบ่อยที่สุด

‘รู้สึกยังไงบ้างคะ ที่เพลงเข้าป่าดังมากเลยค่ะ’

ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าวง Radiohead รู้สึกยังไง (หัวเราะ) ทุกวันนี้เวลาผมไปเล่น คนก็จะตะโกนว่า ‘เข้าป่า เข้าป่า เข้าป่า เมื่อไหร่จะเล่น’ แล้วเขาก็ถามคนรอบๆ ว่า ‘เมื่อไหร่เขาจะเล่นเข้าป่าวะ’ ซึ่งผมตั้งใจเอาไว้เพลงสุดท้ายเลย เอาไว้ปิด เพราะผมรู้ว่าถ้ากูเล่นก่อนคนเดินกลับแน่

 

ที่ว่าเข้าใจความรู้สึก Radiohead คือยังไง

แอบหมั่นไส้นิดๆ (หัวเราะ) ว่าคุณจะฟังเพลงเดียวเองเหรอ ไม่ฟังมิติอื่นของเราบ้างเลยเหรอ แต่ถ้ามองกลับกันเราก็ดีใจแหละ อย่างน้อยเขาก็ฟังเราสักเพลงหนึ่ง เพราะว่ามันมีเพลงเดียวที่ดังเวอร์วังมาก มันก็เลยมีทั้งผลดีผลเสีย

 

เพลงดังมีผลเสียด้วยเหรอ

หนึ่งคือ คนทั่วไปเขาคาดหวังให้ทำเพลงคล้ายๆ แบบนี้ออกมาอีก สอง เป็นผลเสียกับเราเอง ผมนอยอยู่ช่วงหนึ่งว่าเราจะทำเพลงแบบนี้ได้อีกหรือเปล่า มันจะเป็น One Hit Wonder ไหม แล้วหลังจากนั้นตอนที่ผมแต่งเพลงใหม่ ผมก็เริ่มนอยแดก เขียนไม่ออกเว้ย ก็เลยไปคุยกับโปรดิวเซอร์ของผม เขาก็บอกว่ามันจะทำให้เป๋ จะทำให้เหนื่อย เพราะฉะนั้นไม่ต้องสนใจ มาตรฐานตัวเองเป็นยังไงทำให้ได้อย่างนั้นตลอดไป ถือว่าเพลงนี้มันเหมือนกับถูกหวย

คงเหมือนกับวง Foster the People ที่ผมเองชอบทั้งสามอัลบั้มเลยนะ แต่คนก็จะฟังแต่เพลง Pumped up Kicks ซึ่งเป็นเพลงที่เขาเกลียดที่สุดแล้ว แล้วเขาก็เอาไว้ปิดท้าย

แม็กซ์ เจนมานะ แม็กซ์ เจนมานะ

แล้วพอต้องร้องบ่อยๆ คุณเริ่มเกลียดเพลงตัวเองบ้างหรือยัง

แล้วแต่อารมณ์ คงเหมือนคบกับแฟน คือเริ่มงงๆ กับเธอแล้ว ทำไมเธอเรื่องเยอะจัง แต่สักพักหนึ่งก็คิดว่า เราก็ดีใจนะที่อยู่ด้วยกันมา แล้วเธอก็พาฉันไปเจอสิ่งต่างๆ พาฉันไปเที่ยวหลายที่เหมือนกัน

 

ตอนที่แต่งเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า เสร็จ รู้เลยมั้ยว่าเพลงนี้จะเปลี่ยนชีวิตของคุณไป

ไม่รู้ ผมแค่คิดว่ามันน่าจะเป็นเพลงที่คนพูดถึง ผมเองก็เพิ่งมาวิเคราะห์ใหม่ แล้วเห็นว่าเพลงนี้มีส่วนประกอบที่แปลกๆ คือถ้าสังเกตจะเห็นว่ามันเป็นเพลงที่ขึ้นต้นด้วยการเกริ่นมาก่อนเลย “วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า” แล้วก็เหมือนหลอกให้ฟังต่อ

วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า ฉันเจอนก เฮ้ย เจอนกแล้วยังไง นกพูดอะไร จบท่อน Verse ยังไม่รู้เรื่องเลย ต้องไปฟังท่อนฮุกต่ออีก ฟังท่อนฮุกจนครึ่งฮุกก็ยังไม่รู้เรื่อง ต้องฟังจนจบ มันเหมือนหลอกให้คนฟังติดตาม เราคิดว่าถ้าเราเป็นคนฟังก็คงต้องฟังจนจบฮุกถึงจะรู้ว่ามึงพูดเรื่องอะไร (หัวเราะ)

ตอนแรกผมไปเปิดเพลงนี้ให้คนอื่นฟัง หลายคนเขาบอกว่า ‘เพลงเหี้ยอะไรวะ’ แล้วเขาก็ขำกัน ผมโดนล้อเลียน เคยเอาไปเปิดที่อื่นก็มีคนบอกว่าเพลงนี้ไม่น่าจะเหมาะกับที่นี่ แต่เดี๋ยวนี้เปิดกันยับเลย เพลงนี้มันเลยเหมือนเป็นการปลดล็อกผม เหมือนครั้งหนึ่งที่ Johnny Cash ทำเพลงไปเล่นให้เจ้าของค่ายฟัง วันนั้น Johnny Cash เล่นเพลงหนึ่งออกมา แล้วมันไม่เหมือนกับเพลงอื่นๆ คือในขณะที่ทุกคนบนโลกทำเพลงเหมือนกันหมด เขาคิดว่าถ้าชีวิตมีโอกาสพูดเรื่องเรื่องเดียวก่อนที่คุณจะตาย คุณจะพูดเรื่องอะไร ซึ่งสำหรับผม เพลงของผมมันก็มีฟังก์ชันเดียวกันนี่แหละ มันเป็นเพลงที่จริงใจมาก เป็นเพลงไม่สนอะไรแล้ว คือผมอยากจะพูดเรื่องนี้

แม็กซ์ เจนมานะ

แล้วตอนที่ได้ฟังเพลงนี้เวอร์ชันสามช่า รู้สึกยังไง

ผมชอบมาก (หัวเราะ) มันเหมือนปลดล็อกอีกอย่าง คือผมเคยพูดตอนเด็กๆ ว่า ถ้าวันหนึ่งเพลงกูกลายเป็นสามช่าแสดงว่ามันถึงแล้ว ซึ่งวันนี้มันก็ถึงจริงๆ มันแตะคนไทยแล้ว คือผมตั้งใจทำอัลบั้มนี้เพื่อคนฟังคนไทย ผมตั้งใจรื้อวิธีการเขียนเพลงเพื่อให้คนไทยฟัง ผมเคยคิดว่าการที่จะเป็น Intellectual ต้องทำเพลงสากล พยายามคิดว่าทำเพลงภาษาอังกฤษดีกว่า ผมก็เลยทำ Henri Dunant ก่อน เอาอีโก้ผมก็ไปทิ้งไว้ตรงนั้น พอมาทำอัลบั้มนี้ผมก็พยายามบาลานซ์ ผมไปศึกษาว่าเพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกรุง เพลงเพื่่อชีวิต แต่งยังไง ไปทำการบ้าน หาวิธีเขียน ซึ่งที่ผ่านมาบางครั้งเราดูถูกเพลงเหล่านี้ไปหน่อย แล้วผมว่าสิ่งนี้แหละที่ทำให้เพลงผมไปแตะถึงรถบัมพ์ (หัวเราะ) ตอนนี้มันกลายเป็นป่าล้อมเมืองแล้ว

 

เห็นว่าช่วงนี้คิวงานต่างจังหวัดแน่นมาก

30 วัน พักวันเดียว

 

เคยถามตัวเองไหม ทำไมต้องทำหนักขนาดนี้

ถาม กูเป็นหนี้หรือเปล่าวะ (หัวเราะ) โอ้โห โคตรเหนื่อยเลย

คือผมไม่ได้เป็นหนี้ แต่ผมทำเพื่อครอบครัว ทำเพื่อตัวเอง จริงๆ มันก็เป็นไลฟ์สไตล์ที่ผมเคยคิดฝันอยากเป็น ก็สะใจดี คือมึงอยากรู้นักนี่ ว่า Touring Musician เป็นยังไง ก็รับไป ซึ่งน้อยคนนะที่จะมีโอกาสแบบนี้ เพียงแต่วันนี้มันเริ่มเยอะไป ตอนนี้มีคิวถึงเดือนธันวาคมแล้ว เดือนนี้ถึงเดือนมิถุนายนมีงานทุกวัน คือคนที่ขายโชว์เขาก็ขายกันสนุกเลย เพราะมันขายง่าย ของกำลังมา แต่พอหลังจากมิถุนายนผมก็พยายามขอวันพัก เพราะเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองมีลิมิตเท่าไหร่ แอบรู้ช้าไปหน่อย โชคดีที่ผมเป็นคนที่แข็งแรงมากคนหนึ่ง ในชีวิตแทบไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลย เคยมีครั้งหนึ่งไปหาหมอเพราะว่านึกว่าเป็นไส้ติ่ง แต่พอเข้าไปแล้วจริงๆ เป็นโรคกระเพาะ เข้าไป 2 ชั่วโมงแล้วหมอไล่กลับ (หัวเราะ) แต่ช่วงที่ผ่านมาเหมือนผมทำร้ายร่างกายตัวเองเยอะมาก แต้มบุญน่าจะหมดแล้ว เลยต้องกลับมาดูแลตัวเอง

แม็กซ์ เจนมานะ แม็กซ์ เจนมานะ

ชื่อเสียงและความโด่งดังที่เข้ามา ชีวิตคุณต้องเอาอะไรไปแลกมาบ้าง

แลกเยอะมากเลย จริงๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่งานแบบผมนะ จริงๆ ทุกงานต้องแลกหมด ตอนที่ผมไปแข่งรายการ The Voice Thailand ผมก็ต้องแลกกับหลายๆ อย่าง ต้องแลกกับทางที่ผมเดินอยู่ ผมทิ้งงานที่ปรึกษาเพื่อที่จะได้มาทำงานเพลงซึ่งผมคิดว่าตัวเองมีแพสชันมากกว่า แล้วผมก็ต้องทำการบ้านใหม่ในฐานะศิลปิน เริ่มมีไลฟ์สไตล์ที่ต้องแลกกับสุขภาพ มันเหมือนกับการลงทุนที่ผมต้องเสียบางอย่างไปเพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่คิดว่าจะได้มา

อย่างที่ผมพิมพ์สเตตัสในเฟซบุ๊กเรื่องตอนนี้ผมมีปัญหาเส้นเสียงอักเสบ โชคดีที่ว่าครั้งนี้ผมรู้ตัว ผมเลยหยุดแอลกอฮอล์ หยุดบุหรี่ แล้วก็เริ่มปรับวิถีชีวิต อะไรที่ทำร้ายเราเราก็เริ่มตัดทิ้ง ตอนนี้เหมือนเราเริ่มทำงานเป็น พยายามแลกให้น้อย พยายามที่จะใช้จ่ายให้น้อย เพื่อให้ได้สิ่งที่เยอะกลับมา ตอนนี้เราก็พยายามดู อะไรที่ตัดได้ ตัด

 

อย่างที่คุณว่าเพลงนี้อาจเป็น One Hit Wonder คุณกลัวมั้ยว่าวันหนึ่งชีวิตจะถึงขาลง

ไม่กลัว เพราะผมเคยลงมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว และที่สำคัญก็คืออัลบั้มนี้มันได้ทำการปลดล็อกแล้ว ทีนี้ผมทำเพลงอะไรต่อไปก็น่าจะเริ่มมีฐานแฟนเพลง

อีกอย่างผมคิดว่าเพลงที่เราทำมันเป็นเพลงที่จะไม่หายไปในปีสองปี เพราะตอนที่ทำผมตั้งใจจะให้มันแทนหลายๆ อย่างในชีวิตผม ซึ่งมันน่าจะมีคุณค่าพอที่จะอยู่ได้ในระยะยาว ที่ผ่านมาผมพยายามจะเซ็ตทัศนคติที่ถูกต้องให้กับทั้งตัวเองและเด็กรุ่นใหม่ๆ ว่าคุณควรจะทำงานให้ดี มองงานในระยะยาว ไม่ใช่ฉาบฉวย

แม็กซ์ เจนมานะ

ถ้าให้ย้อนมอง คุณคิดว่านี่คือช่วงที่ดีที่สุดของชีวิตไหม

ผมคิดว่าทุกช่วงมันดีหมดเลย มันดีในแบบของมัน ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับปัจจุบัน ที่ผ่านมาเราดันไปโฟกัสกับมุมที่มีแต่เงา พยายามแต่จะสนใจอดีตที่แก้ไม่ได้ หรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งมันเสียเวลา เสียพลังงาน ผมเพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของ Peter F. Drucker เกี่ยวกับวิธีบริหารจัดการตัวเอง เขาบอกว่าคุณควรจะใช้พลังงานให้น้อยที่สุด ซึ่งการใช้พลังงานน้อยที่สุดคือโฟกัสกับปัจจุบัน

 

คุณบอกว่าชีวิตโฟกัสอยู่กับปัจจุบัน แต่การเขียนเพลงที่ใช้เรื่องราวที่ผ่านมาเป็นวัตถุดิบ มันทำให้ต้องกลับไปอยู่กับอดีตหรือเปล่า

นี่แหละ ศิลปินแม่งซวย (หัวเราะ) ศิลปินที่ทำงานเองเขาต้องไปขุดอดีตตัวเองมาค้น ไปขุดอดีตคนอื่นมาคิด ค่อนข้างไม่อยู่กับปัจจุบัน สมมติถ้าให้ผมกลับไปเขียนเพลงใหม่ ผมก็คงจะจิตตกอีกนั่นแหละ มันใช้จ่ายวันคืนเป็นร้อยเพื่อที่จะเขียนออกมา เขียนไม่ออกก็ต้องพยายามค้นว่าในตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่ ค้นใจตัวเองจนลึก ซึ่งความจริงเรื่องนี้มันก็แล้วแต่คน แต่สำหรับผม ผมค้นลึกมากเลย ซึ่งมันอันตราย มันเหมือนเราต้องกระโดดลงไป จะขึ้นมาได้หรือเปล่าไม่รู้

แม็กซ์ เจนมานะ

แล้วทำไมต้องค้นลึกลงไปในใจขนาดนั้นทั้งที่รู้ว่ามันก็มีผลเสีย

เราดันเป็นคนเอนจอยกับการดิ่งด้วยไง บางคนชอบเล่นกับปีศาจตัวเอง บางคนซาดิสต์ ซึ่งผมว่าผมเป็นแบบนั้น ชอบไปค้น บางอารมณ์ที่เจอเรื่องเศร้าๆ ก็ต้องเขียนบรรยายมันออกมาทีละย่อหน้า ทีละตัวอักษร แล้วก็ต้องเลือกตัวอักษรที่เจ็บที่สุด เฮิร์ตที่สุด เพื่อให้คนเข้าใจว่าเราเป็นอะไร และที่เราทำสิ่งนี้ก็เพื่อคนฟัง เพื่อให้คุณรู้ว่าอารมณ์แบบนี้มันเป็นยังไง คุณจะได้ไม่ต้องมาเจอแบบผม

ซึ่งที่ว่ามามันเป็นอารมณ์ของคนที่ทำงานแบบนี้ อย่าง Chester Bennington, Chris Cornell, พี่สิงห์ Sqweez Animal เขาก็ต้องสู้กับปีศาจ คนพวกนี้พูดถึงปีศาจหมดเลยนะ เป็นเรื่องแปลกมาก ตอนที่ผมรู้ข่าวผมก็ดิ่งตามเขาเลย ตอนคริส คอร์เนล จากไปผมเฮิร์ตมาก เพราะเขาเป็นไอดอลผมมาตั้งแต่เด็ก หลายๆ คนที่ต้องเจอปีศาจน่าสงสารนะ ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่าเขาซ่อนความอ่อนไหวมากๆ เอาไว้ในเนื้อเพลงเขา ในเมโลดี้เขา เหมือนกับเขาต้องการความช่วยเหลือจากทุกคน

 

ซึ่งสิ่งที่คุณว่ามาก็เชื่อมโยงกับเพลง ปีศาจ ที่คุณแต่ง อยากรู้ว่า ‘ปีศาจ’ ในความหมายของคุณคืออะไร

มันน่าจะหมายถึงความเกลียดชังตัวเอง ความคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ตัวเองไม่ดี ตัวเองแย่ ซึ่งผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะเป็น อย่างหนังสือ The Boy Who Never Grows ที่ผมเขียน ตอนนั้นผมเขียนเพราะผมไม่อยากโต ซึ่งผู้ใหญ่หลายคนจะมีปัญหานี้ ตื่นมามองกระจกตอนเช้าแล้วเจอคนในนั้นที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะโตมาเป็นคนแบบนี้

ผมโตมาแล้วถามตัวเองว่า กูเป็นคนแบบนี้เหรอวะ แล้วทำยังไงกูถึงจะไม่เป็นคนแบบนี้ คนอื่นคิดแบบนี้กับกูเหรอ แล้วมันก็จะเริ่มพารานอย ปีศาจมันถูกหล่อเลี้ยงด้วยอารมณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความเนกาทีฟ ความไม่เคารพตัวเอง การไม่มีความเชื่อ ซึ่งมันทำร้ายตัวเอง นี่คือความอันตรายของปีศาจ แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งเรายอมรับตัวเอง ตื่นมาตอนเช้ามองกระจกแล้วคิดว่า มึงโอเคนะ มึงหน้าตาดีนะนี่ มึงเป็นคนที่เก่งนะ ปัจจุบันนี้มันโอเคแล้ว แล้วค่อยๆ ผ่านไป เราว่าเราก็อาจจะเป็นเพื่อนกับสิ่งที่เราเป็นในกระจกได้

แม็กซ์ เจนมานะ

คุณคิดอย่างไรตอนที่เห็นข่าวศิลปินที่รักจากไป

ผมเข้าใจทางเลือกเขา ซึ่งตอนที่ผมแย่ๆ ก็เสียวเหมือนกันนะ โชคดีที่ผมเป็นคนกลัวตาย ผมเป็นคนกลัวไม่สนุก จริงๆ แล้วผมอาจจะเป็นคนที่โพสิทีฟมากๆ คนหนึ่ง ผมเป็นคนอยากรู้อยากเห็น ผมไม่อยากเสียความอยากรู้อยากเห็นไป เราอยากรู้ว่าชีวิตมันจะไปไหนต่อ ผมเป็นคนที่ถ้าจะเล่นเกมผมต้องสู้จนผ่านด่าน แต่ผมก็เข้าใจในทางเลือกของพวกเขา ผมว่าคนบางประเภทถูกสร้างมาให้เป็นแบบนี้ แล้วเขาเปลี่ยนตัวเองไม่ได้

ช่วงก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยมีความโกรธอยู่ข้างใน ผมร้องไห้ไม่ได้มาหลายปี ข้างในเศร้ามาก เหนื่อยมาก อยากร้องไห้ พยายามจะร้อง แต่ร้องไม่ออก ข้างในเกรี้ยวกราดมาก โกรธใครก็ไม่รู้ โกรธพระเจ้า โกรธทุกคน โกรธชีวิต อยากจะตะโกน ซึ่งมันอ่อนไหวมาก แล้วดนตรีก็เป็นเครื่องมือในการปลดปล่อย ระบาย

แม็กซ์ เจนมานะ

ทำไมคุณถึงไม่ทำเพลงที่บอกเล่าความทรงจำอันดี เรื่องที่ยิ้มกับมันได้ ทำไมต้องไปดึงสิ่งที่เจ็บปวดมาเขียน

พูดถึงเรื่องนี้มีศิลปินอยู่ 2 คนที่ผมอยากพูดถึง คนแรกคือ Jason Mraz ผมเคยไปสัมภาษณ์เขา ผมถามเขาว่า ทำไมถึงไม่ทำเพลงที่ดาร์กแบบ Plane หรือเพลงแบบ Mr. Curiosity มันเพราะมากเลย เจสันบอกว่า ‘ผมก็ยังเขียนเพลงแบบนั้นอยู่นะ แต่ผมไม่มาปล่อยให้คนฟังแล้ว ผมไม่อยากโยนขี้ให้คนฟัง ผมไม่อยากจะโยนความโศกเศร้าให้คน ผมอยากจะทำให้โลกนี้เป็น Better Place ผมอยากจะทำให้คนรู้สึกดี อยากจะส่งต่อความสุข’ นี่เป็นไอเดียของเขา

อีกคนคือ Damien Rice ผมไปดูคอนเสิร์ตเขา แล้วเขาบอกว่าคุณอาจจะคิดว่าผมเป็นคนที่เศร้าที่สุดในโลกใบนี้ แต่จริงๆ ผมเป็นคนแฮปปี้ที่สุดในโลก พวกคุณน่ะซวย เพราะผมน่ะโยนขี้ให้พวกคุณ ผมเลยรอด แต่ผมทำเพื่อพวกคุณนะ เพราะเมื่อพวกคุณออกจากฮอลล์นี้ไป คุณจะคิดว่าโลกนี้ดีกว่าในฮอลล์นั้นมากเลย พอพวกคุณไปเจอโลก ไปใช้ชีวิตประจำวัน ก็จะคิดว่า ชีวิตกูดีกว่าเดเมียนว่ะ’ ซึ่งมันก็เป็นอีกวิธีคิดหนึ่ง สำหรับผม มันก็เป็นทางเลือกว่าแต่ละคนจะเลือกเอาเพลงมาใช้แบบไหน

แม็กซ์ เจนมานะ

แต่คุณก็เลือกที่จะโยนขี้ให้คนฟัง

(หัวเราะ) 4 เพลงแรกออกมาโยนขี้ แต่เพลงสุดท้ายผมก็พูดแต่เรื่องดีๆ คือผมจะมีความอะลุ่มอล่วย อย่างเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า แม้มันจะมีความตัดพ้อ แต่ตอนจบก็บอกว่า “เผื่อเธอเหงาขึ้นมาจะได้กลับมารักกัน” ผมจะแอบซ่อนความโพสิทีฟไว้บ้าง เพราะช่วงที่เขียนเพลงเป็นช่วงที่ผมพยายามทำตัวเองให้คิดบวก ถ้าผมคิดลบผมจะทำงานให้ดีไม่ได้ อย่างอัลบั้มนี้ที่ชื่อ Let There Be Light มันหมายถึง ‘จงมีแสงสว่าง’ ซึ่งในไบเบิลมันเป็นคำแรกที่สร้างทุกอย่าง เป็นคำที่ครีเอทีฟที่สุด แสงสว่างคือสิ่งที่ครีเอทีฟที่สุด มันสร้างชีวิต เพราะฉะนั้น เพลงสุดท้ายของผมจึงเป็นเพลงที่พูดถึงแสงสว่างชัดเจน ประเด็นทั้งหมดคือคุณต้องมีความหวัง เห็นแสงสว่าง

 

เมื่อสักครู่คุณบอกว่าคนที่เป็นศิลปินนั้นซวย ต้องนั่งค้นเรื่องราวอันเจ็บปวดมาเล่า แล้วเรื่องที่ดีมากๆ ของการเป็นศิลปินคืออะไร

เรื่องที่ดีที่ผมพูดกับตัวเองบ่อยๆ คือโชคดีว่ะ กูได้ระบาย และโชคดีมากที่ระบายแล้วมีคนฟัง ถ้าไม่ได้ระบายผมคงเดี้ยงไปนานแล้ว ในโชคดีก็มีโชคร้าย และในโชคร้ายก็มีโชคดี

แม็กซ์ เจนมานะ

Writer

Avatar

จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์

อดีตบรรณาธิการบทสัมภาษณ์ The Cloud และเจ้าของนามปากกา jirabell เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่มชื่อ เราไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่คนเดียว, ความทรงจำอยู่ที่ไหน ความคิดถึงอยู่ที่นั่น, Lonely Land ดินแดนเดียวดาย, The Fairy Tale of Underfox และ รักเขาเท่าทะเล

Photographer

Avatar

ธีรพันธ์ ลีลาวรรณสุข

ช่างภาพ นักออกแบบกราฟิก นัก(หัด)เขียน โปรดิวเซอร์และผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ และอื่นๆอีกมากมายแล้วแต่ว่าไปเจออะไรน่าทำ IG : cteerapan