ขออภัยแฟนๆ ปราโมทย์ ปาทาน หรือ ‘อีพี่โอ๊ต’ ของน้องๆ ล่วงหน้า หากบทสัมภาษณ์นี้ไม่มีคำด่าและเสียงหัวเราะดังต่อเนื่อง เพราะเราตั้งใจชวนนักร้องขวัญใจโลกโซเชียลฯ มาคุยเรื่องที่เขาไม่ค่อยได้เล่า

เราชวนเขาคุยเรื่องเศร้าในชีวิต

ไม่ได้หาเรื่องดราม่า เพียงแต่เราต่างรู้ว่าชีวิตคนคนหนึ่งมีหลายแง่มุม เขาเองก็เช่นกัน กว่าจะมีวันนี้หลายคนคงรู้ว่า โอ๊ต ปราโมทย์ อยู่ในวงการดนตรีมา 10 ปี แต่กลับเพิ่งมีซิงเกิลแรกในชีวิตเป็นของตัวเอง บางขวบปีใช้ชีวิตอย่างคนว่างงาน ทั้งที่หากใครได้ยินเสียงร้องของเขาย่อมเห็นตรงกันว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่กับสิ่งที่เขาเผชิญมาก่อนหน้า

โชคดีว่าในวันที่กำลังจะลาจากวงการ ชื่อของ โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน ก็คล้ายถูกชุบชีวิตใหม่ เมื่อรายการ Paloy’s Diary ออกอากาศ มาวันนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร จากคนที่คล้ายตกงานกลับกลายเป็นว่าคิวงานแน่นเอี้ยดชนิดแทบไม่มีเวลานอน

ณ วันนี้เฟซบุ๊กส่วนตัวของ โอ๊ต ปราโมทย์ มีคนติดตามทะลุ 200,000 คนไปแล้ว ส่วนในทวิตเตอร์ก็มีคนติดตาม 300,000 ปลายๆ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ระหว่างสนทนากันในมุมหนึ่งของร้านกาแฟ ชายหนุ่มบอกเราว่า สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคือคิดว่าโอ๊ต ปราโมทย์ เป็นคนตลกตลอดเวลาเนื่องจากเห็นเขาผ่านสื่อด้วยบุคลิกแบบนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงชีวิตเขาก็มีมุมอื่นๆ ผสมอยู่ด้วย และบทสนทนาต่อไปนี้คือมุมอื่นๆ ที่เขาว่า

ขออภัยแฟนๆ โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน ล่วงหน้า หากมันไม่ค่อยตลก

โอ้ต ปราโมทย์

หลายคนมองว่าชีวิตช่วงนี้คุณชีวิตดี เอาจริงๆ มันดีอย่างที่คนอื่นคิดไหม

ดีตรงที่งานเยอะ เยอะแบบสามเดือนสี่เดือนไม่ได้หยุดเลยสักวัน บางวันสามงาน อย่างวันนี้ก็สามงาน หนักๆ สี่งานก็มี กลับบ้านตอนนี้ต้นไม้ที่บ้านตาย นี่คือเรื่องเศร้าเรื่องแรก เศร้ามาก ต้นไม้ในบ้านไม่ได้รดน้ำไง ช่วงเดือนสองเดือนที่แล้วเราไปทำงานต่างประเทศเยอะ กลับมาตายห่าหมด ซื้อมาสองสามหมื่น

นอกจากต้นไม้ตายแล้ว การไม่ได้หยุดพักกระทบอะไรอื่นๆ ในชีวิตอีกไหม

ถ้าพูดไปเขาอาจจะไม่จ้างงานเรานะ จริงๆ ยุ่งแต่ก็ยังรับได้นะครับ (หัวเราะ) ไอ้ความเศร้าคือเราไม่มีเวลาให้ตัวเอง ไม่มีเวลาใช้เงิน ไม่มีเวลาช้อปปิ้ง ไม่มีเวลาซื้อเสื้อผ้า เราชอบถ่ายรูปก็ไม่มีเวลาถ่ายรูป ไม่มีเวลาเจอเพื่อน โอเค บางวันมันอาจจะมีแค่งานเดียว แต่ว่าวันรุ่งขึ้นต้องตื่นเช้า ก็ไปไม่ได้ เราต้องรับผิดชอบก่อน ชีวิตความเป็นส่วนตัวหายไป และที่สำคัญ เราไม่มีเวลาเจอครอบครัว ปกติเรากับแม่อยู่บ้านเดียวกันตลอด แต่ช่วงนี้ไม่ได้เจอ ไม่ได้คุยกับแม่เลยเพราะไม่ได้กลับบ้าน

แล้วมีช่วงไหนที่รู้สึกผิดต่อแม่บ้างไหม

มี ล่าสุดเลย เพิ่งคุยกันเมื่อวันก่อน โทรไปเล่าให้แม่ฟังบอกว่า แม่ ได้เป็นพรีเซนเตอร์แล้วนะ ได้เงินเท่านี้ๆ นะ แล้วแม่ตอบกลับมาว่า เออ มาๆ เอาตังค์มาเก็บไว้ที่แม่มา เดี๋ยวแม่ดูแลเงินให้ คือเขาพูดเล่นน่ะนะ แล้วก็บอกต่อว่า กลับบ้านบ้างก็ได้นะ ไม่กลับบ้านเลย แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก แม่ยังไม่ป่วย แม่ดูแลตัวเองไหว ไม่ต้องกลับมาหรอก เดี๋ยวรอวันหนึ่งแม่ไม่ไหวก่อนแล้วค่อยกลับมาดูแล เราฟังแล้วก็สะอึก เจ็บปวด เจ็บปวดฉิบหาย

ปราโมทย์

เคยถามตัวเองไหมว่าทำขนาดนี้ไปทำไม ทั้งที่เราก็มีสิทธิ์ปฏิเสธงาน

คือไม่ใช่แค่ถามตัวเองหรอก คนรอบข้างก็ถาม แฟนหรือแม่ก็ถาม แต่เราก็จะบอกเขาว่า เฮ้ย ถือว่ามันเป็นการทดแทนเวลาตลอดสิบปีที่เราไม่ค่อยมีงานแล้วกัน คิดเสียว่าเป็นช่วงแบบรักษาแผลกดทับ คืออยู่บ้านนอนจนเป็นแผลกดทับ มันไม่มีงานไง พอถึงตอนนี้เราได้ทุกอย่างที่อยากได้ ได้งานเพลง ได้งานพิธีกร ได้งานดีเจ ได้งานพรีเซนเตอร์ ได้อะไรหลายๆ อย่างในสิ่งที่เราเคยใฝ่ฝันว่าเราอยากจะมาตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราต้องเตือนตัวเองว่า เฮ้ย มึงต้องแลกนะ ต้องแลกกับมัน

คุณไม่เชื่อในเรื่อง Work-life Balance เหรอ

เชื่อ แต่เราคิดว่าวงการบันเทิงไม่เหมือนวงการอื่น มันมาเร็วไปเร็ว โอเค วันนี้ทุกคนรู้จักปราโมทย์ ปาทาน ทุกคนอยากเอางานมายัดให้ปราโมทย์ ปาทาน มีอะไรก็คิดถึงชื่อปราโมทย์ คิดถึงทวิตเตอร์ ไอจี มีให้โพสต์นั่นให้โพสต์นี่ทุกวัน แล้วถามว่า อะไรจะเป็นเครื่องการันตีได้ว่าสิ่งที่มีอยู่ทุกวันนี้จะมีไปอีกห้าปี สิบปี หรือปีหน้าจะเป็นแบบวันนี้หรือเปล่า เราไม่รู้ เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีโอกาสทำแล้วในปีนี้ แล้วมันดีขนาดนี้ เหตุผลอะไรเราจะหยุดล่ะ

เราไม่รู้นี่ว่าชื่อของปราโมทย์ ปาทาน จะหมดไปเมื่อไหร่ หรือพรุ่งนี้อาจจะตื่นขึ้นมาแล้วเจอคลิปแอบถ่ายกูช่วยตัวเองหน้าห้องน้ำแล้วคนเอาลงเพจ ชื่อเสียงที่สั่งสมมาทั้งหมดก็ป่นปี้ ชีวิตคือความไม่แน่นอน ฉะนั้น วันนี้สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันคือสิ่งที่แน่นอน มันมีงานเยอะมาก แล้วเราจะปฏิเสธไปทำไม เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีพรุ่งนี้อีกหรือเปล่า

 

ทุกวันนี้ที่งานล้นมือเคยนึกเปรียบเทียบกับช่วงที่ว่างมากๆ บ้างไหม คุณเห็นอะไร

เคย ถึงบอกว่ามันคือพลัง คือแรงขับเคลื่อน ให้เราอยากออกไปทำงาน เพราะช่วงที่ไม่มีมันไม่มีเลยนะ เหมือนที่เราให้สัมภาษณ์กับหลายๆ ที่ว่า ปีที่แล้วเราจะออกจากวงการอยู่แล้ว จะไม่เอาแล้ว ก่อนที่จะทำ Paloy’s Diary เราเคยคุยกับพิชญ์กับพลอยเลย ช่วงนี้มันยังแซวว่า ไหนมึงบอกจะเลิกแล้วไง ไหนบอกปีสุดท้ายไง

แล้วตอบไปว่ายังไง

ก็บอกว่า กูจะออกแล้วถ้ามันไม่มีปาฏิหาริย์แบบนี้ กูเลิก แล้วก็คุยกับตัวเอง คุยกับแม่กับพี่ชาย เตรียมหางานไว้ให้รับผิดชอบแล้ว เพราะที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัว คือถ้าเลิกทำก็จะไปดูแลงานที่บ้าน ก็บอกเขาอยู่ว่า แม่ ถ้าปีนี้ไม่ดีเราจะเลิกแล้วนะ จะกลับมาช่วยงานที่บ้าน ตอนนั้นยังคุยกันอยู่

ตอนแรกจะไม่ต่อสัญญากับแกรมมี่ด้วยซ้ำ ตอนต่อสัญญายังปรึกษาผู้ใหญ่ว่า ที่ผมต่อสัญญาผมไม่ได้หวังว่าจะมีเพลงใหม่แล้วนะ ผมแค่ต่อเอาไว้เพื่อในวันหนึ่ง ผมกลับไปทำงานที่บ้านแล้วผมยังอยากขายงานร้องเพลงอยู่ ผมจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียลิขสิทธิ์ จะได้ไม่ต้องมานั่งคุยว่าผมต้องจ่ายเงินให้พี่เท่าไหร่

ปราโมทย์

ชีวิตช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่คุณหัวเราะบ่อยที่สุดในชีวิตหรือยัง

เกือบๆ คือตอนนี้มันเหนื่อยเกินไป ช่วงที่หัวเราะและมีความสุขที่สุดจริงๆ คือช่วงมัธยม มหาวิทยาลัย มันไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องรู้ชะตาตัวเอง ทำอะไรที่สนุก อะไรที่อยากทำ ทำแม่งหมด ตังค์ไม่ได้ก็ทำ แต่ในความโชคร้ายมันมีความโชคดีตรงที่ว่า อะไรที่เราทำเอาไว้มันส่งผลมาถึงตอนนี้ไง มันส่งผลให้เราเป็นคนมีไหวพริบ ส่งผลให้เราเป็นคนมีทักษะในการร้องเพลง มีทักษะในการพูด ในการโต้ตอบกับคนได้ฉับไว มันคือสิ่งที่เราสั่งสมมา ซึ่งตอนเด็กๆ เราไม่ได้คิด เราทำทุกอย่างที่รู้สึกว่าสนุก

ได้ยินมาว่าตอนเด็กๆ คุณลำบากมาก

จริงๆ ก็ไม่ได้ลำบากนะ บ้านเรามีฐานะปานกลาง ดูแลได้ แต่ว่าไอ้ความลำบากของเราคือที่บ้านไม่มีใครเล่นดนตรี แล้วแม่ก็ไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ไม่ห้าม แล้วตอนนั้นพ่อแม่ทำงานหนัก เราก็ไม่มีโอกาสได้อยู่กับพ่อแม่ คืออยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่เจอกัน เแม่เหมือนเราตอนนี้คือทำงานหนักมาก ไม่เคยหยุดเลย วันที่แม่หยุดคือวันที่แม่เรานอนโรงพยาบาล จนตอนนี้อายุเจ็ดสิบก็ยังไม่หยุด ตื่นหกโมงเช้าไปตลาด ไปซื้อดอกไม้ไปทำนั่นทำนี่ ดูแลธุรกิจ เก็บเงิน ถึงบ้านห้าทุ่ม นอน ตื่นหกโมง ชีวิตวนลูปแบบนี้ มันก็จะสวนกันไปสวนกันมา ซึ่งต่อให้เราอยู่บ้านเดียวกับแม่เราก็ไม่ค่อยได้เจอกัน เพราะว่าบ้านเราเป็นบ้านที่ทำงานหนัก ทุกคนชอบทำงาน ทุกคนมีความสุขกับการทำงาน ไม่เคยกินข้าวพร้อมกันเลยในครอบครัว พ่อกับแม่ผมเลิกกันแล้ว และในหนึ่งปีจะเจอกัน กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเพียงครั้งเดียวคือวันเกิดแม่

นี่ถือเป็นเรื่องเจ็บปวดของคุณไหม

เจ็บปวด แต่เราไม่ได้เอาเรื่องราวในครอบครัวที่พ่อแม่เลิกกัน ไม่มีโอกาสเจอกับแม่ เอามาเป็นปัญหาชีวิต เราไม่ชอบเด็กหรือเราไม่ชอบคนที่โทษสังคม โทษที่บ้าน โทษว่านี่ไง บ้านผมเป็นอย่างนั้น ผมเลยแบบเป็นแบบนี้

ปราโมทย์

แล้วตอนเด็กๆ เวลามีปัญหาคุณปรึกษาใคร

ไม่ปรึกษาใครเลย

เก็บไว้กับตัว

ใช่ มีเยอะ นอนร้องไห้คนเดียวก็มี

นึกภาพคนอย่างปราโมทย์ ปาทาน นอนร้องไห้คนเดียวไม่ออก ตอนนั้นไปโดนอะไรมา

ตอนนั้นเราอยู่กับพี่โปรดิวเซอร์คนหนึ่ง อยู่มาสี่ปีแล้วไม่มีเพลงอะไรสักเพลง โดนแช่แข็งอยู่อย่างนั้น ไปไหนไม่ได้ แล้ววันนึงก็มีคนมาเล่าให้เราฟังว่า พี่ต้น Bulldog ซึ่งได้ยินเราร้องเพลงบอกว่า ไอ้เด็กคนนี้ร้องเพลงดีมากเลยว่ะ ซึ่งพี่ต้นเป็นคนที่เราอยากทำงานด้วยตลอดชีวิตที่ผ่านมา เพราะเราชอบผลงานพี่ต้นมาก เหมือนคนที่เป็นไอดอลเขามาชมเรา คืนนั้นเราถึงบ้านประมาณตีสาม อยากจะเล่าให้ใครสักคนฟัง แต่พอเดินเข้าไปบ้านทุกคนหลับหมดแล้ว และเราก็ไม่อยากปลุกแม่ ก็ยืนคิดอยู่ตรงหน้าประตูว่า ถ้ากูบอกแม่ว่าต้น Bulldog ชม แม่กูก็คงจะหันมาถามว่าใครเหรอ พอขึ้นไปห้องนอนก็นอนร้องไห้อยู่คนเดียว รู้สึกตื้นตันว่า อย่างน้อยเราก็มีอะไรดีในตัวแหละวะ แต่มันก็ปนกับความเศร้าตรงที่ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง

จนวันนึงก็ได้ทำงานกับพี่ต้นจริงๆ เพราะว่าพี่ที่แกรมมี่ถามว่า เพลงแรก ซิงเกิลแรก ของชีวิตอยากทำงานกับใคร เราก็เลือกพี่ต้นคนแรกเลย บอกว่า ป๋าต้นครับ นี่เป็นเพลงแรกของผมเลย ช่วยทำเพลงให้ผมหน่อย เขาก็รับ แล้วก็ทำให้ ซึ่งก็คือเพลงที่ชื่อ เมื่อวาน

ปราโมทย์

ปราโมทย์

เห็นคุณเคยเล่าว่าเพลง เมื่อวาน แต่งมาจากช่วงเวลาที่ชีวิตแย่มากๆ

เราแชร์ให้พี่เขาฟังว่าจริงๆ แล้วชีวิตผมมีหลายมิตินะ มันไม่ได้มีแค่สิ่งที่พี่เห็นอย่างเดียวว่าเราเป็นคนตลก ผมมีความเศร้า มีช่วงที่ผมเลิกกับแฟนแล้วดิ่ง ผมเป็นคนเวลาถ้าเศร้าแล้วมันจะเศร้าหนักมาก แต่ไม่แชร์ให้คนอื่นฟัง ไม่ระบาย บางอย่างดึงไม่ออก หลายครั้งเลยที่ขับรถไปแล้วฟังเพลงที่เคยฟังกับคนคนนึง แล้วหน้าคนคนนั้นลอยเข้ามา เราก็นอยด์เลย ดึงความรู้สึกออกไม่ได้

ทุกวันนี้ยังเป็นไหม

เลือกที่จะเลี่ยง อันไหนที่รู้ว่าปะทะแล้วเจ็บก็เลี่ยง

ตอนคุณอกหัก เพลงรักที่เคยร้องมาทั้งชีวิตช่วยอะไรคุณได้ไหม

ช่วยได้ หนึ่งสิ่งที่เรารู้สึกชอบตัวเองและให้ความเคารพตัวเองเสมอคือ ทุกครั้งที่เราเปล่งเสียงออกมามันมีความหมาย มีความรู้สึก เราไม่ได้ร้องเพลงเพื่อที่จะหากิน เราร้องเพลงเพราะว่าเรารู้สึกกับมัน นี่คือสิ่งที่เราทิ้งไม่ได้ อย่างที่ทุกคนก็รู้ว่า วงการเพลงทุกวันนี้ยอดดาวน์โหลดมันไม่มีเงินเหลือเว่ย สิ่งที่มันได้เงินอย่างเดียวคือออกไปโชว์

หลายคนมาสัมภาษณ์มักจะถามว่าตอนนี้งานพิธีกรก็เยอะ งานแสดงก็เยอะ ไปทำอย่างอื่นได้เงินกว่าตั้งเยอะ แล้วทำไมเราถึงไม่ทิ้งการร้องเพลงไปเลยวะ ไปทำอย่างอื่นง่ายกว่า เราก็บอกกับทุกคนว่ากูทำไม่ได้ไง เพราะเรารักมัน มันป็นหนทางที่จะทำให้เราระบายอารมณ์ได้ดีที่สุด สื่อสารออกไปได้มากที่สุด มันถึงเลย อยู่ต่อหน้าเห็นกันจริงๆ สำหรับตัวเรา นี่เป็นสิ่งที่เราคิดว่าในชีวิตนี้ทำได้ดีที่สุด คนอื่นจะมองยังไงไม่รู้ จะมองว่าเราแสดงดีกว่า เราตลกดีกว่า แต่ว่าตัวเรา เราคิดว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดแล้วในชีวิต แล้วที่กูมาอยู่จุดนี้ ตรงนี้ ทุกวันนี้ ไม่ใช่เพลงเหรอวะที่พาเรามา เพราะฉะนั้นเราจะทิ้งมันทำไม ไม่มีเหตุผล

คุณรอคอยมาตั้ง 10 ปีกว่าคนจะรู้จักอย่างทุกวันนี้ อยากรู้ว่าการรอคอยสอนอะไรคุณบ้าง

สอนความอดทน แล้วก็เรื่องเวลา เราเชื่อว่ามีคนเก่งกว่าเรา หล่อกว่าเรา มีเสน่ห์กว่าเรา พูดเก่งกว่าเรา อีกเยอะแยะมากมาย แต่คนเหล่านั้นบางทีมันยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะโดดออกมาจากมุมมืด เขารอคอยอยู่ แต่ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาของเราที่ได้ออกมาแล้วคนให้การตอบรับดี

ก็ย้อนกลับไปที่คำถามว่าทำไมถึงต้องรับงานหนักขนาดนี้ เพราะยังมีคนเหล่านั้นอีกเป็นร้อยเป็นพันเป็นแสนที่อยู่ในมุมมืดพร้อมจะเปล่งแสงออกมาตลอดเวลา ถึงวันนั้นคนในวงการนี้อาจจะไม่ต้องการปราโมทย์ ปาทาน แล้วก็ได้ เพราะมีคนอื่นมาแทนเราแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราต้องทำ เหนื่อยขนาดไหนก็ต้องทำ เพราะว่าอีกสามปี อีกสองปี หรืออีกหนึ่งเดือน มันอาจจะไม่ใช่เวลาของเราแล้ว นั่นคือสิ่งที่สอนให้เรารู้เสมอว่า เวลาเป็นสิ่งสำคัญ

ทุกวันนี้คุณมีชื่อเสียงแล้ว ถ้าวันหนึ่งชีวิตกลับไปสู่จุดเดิมที่ไม่มีคนสนใจ ไม่มีงาน คุณรับได้ไหม

หลายคนเตือนเรานะ เราก็จะบอกว่าแล้วกูจะทุกข์ทำไม ในเมื่อเราอยู่จุดนั้นมาแล้ว ถ้าจะกลับไปอยู่จุดนั้นอีกมันจะแปลกไปจากสิ่งที่เคยอยู่มาแล้วตรงไหน เราเป็นคนไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์นะ เราเป็นคนเชื่อว่าตายแล้วแตกดับ เราคิดว่าคนเราตายแล้วหายไป ไอ้เรื่องเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นสิ่งที่เราจับต้องไม่ได้ คือเราไม่รู้ไง นรกสวรรค์อาจจะเป็นกุศโลบายของคนสมัยก่อนที่ทำให้คนอยู่ด้วยกันโดยสันติภาพ เพราะมันไม่มีกฎหมาย จึงต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวไว้ว่ามึงทำดีไปสวรรค์ ทำชั่วไปนรก

สิ่งที่เราสอนตัวเองไว้เสมอคือเมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว เราอยากลองวัดขีดความสามารถตัวเองว่าความพีกที่สุดในชีวิตนึงของผู้ชายคนนี้อยู่ตรงไหน จะหาเงินได้ปีละเท่าไหร่ จะมียอดคนติดตามเท่าไหร่ จะมีเพลงดังกี่เพลง จะแสดงหนังได้กี่เรื่อง จะจัดรายการแล้วคนดูเยอะแค่ไหน

ที่พูดไม่ได้พูดเพราะตัวเองดังแล้วอยากดังอีก แต่เราแค่อยากวัดความสามารถตัวเองว่าจุดที่เป็นเพดาน นี่แหละคือที่สุดของมึงแล้ว มันขนาดไหน วันหนึ่งเราจะได้ไปสอนลูกได้ว่า เราเคยอยู่ตรงนี้ แล้วทำยังไงเราถึงจะขึ้นไปอยู่ตรงนั้นได้

และถ้าวันหนึ่งไม่มีแบบนั้นแล้วเราก็จะไม่ทุกข์ เพราะเราแสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่า ตลอดสามสิบสามปีที่ผ่านมากูฝึกอะไรมาบ้าง ซ้อมอะไรมาบ้าง กูทำอะไรได้บ้าง กูตลกได้แค่ไหน กูมีความสามารถเท่าไหร่ กูสร้างผลงานอะไรดีๆ ไว้ในโลกโซเชียลฯ บ้าง วันหน้าอาจจะมีคนที่ทำได้ดีกว่าเรา แต่ทุกวันนี้ทุกคนจดจำแล้วว่าเคยมีคนชื่อปราโมทย์ ปาทาน อยู่บนโลก

โอ๊ต ปราโมทย์

Writer

Avatar

จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์

อดีตบรรณาธิการบทสัมภาษณ์ The Cloud และเจ้าของนามปากกา jirabell เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่มชื่อ เราไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่คนเดียว, ความทรงจำอยู่ที่ไหน ความคิดถึงอยู่ที่นั่น, Lonely Land ดินแดนเดียวดาย, The Fairy Tale of Underfox และ รักเขาเท่าทะเล

Photographer

Avatar

ธีรพันธ์ ลีลาวรรณสุข

ช่างภาพ นักออกแบบกราฟิก นัก(หัด)เขียน โปรดิวเซอร์และผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ และอื่นๆอีกมากมายแล้วแต่ว่าไปเจออะไรน่าทำ IG : cteerapan