เสน่ห์ของ ‘สาวชาววัง’ ไม่ได้มีเพียงจริตประณีตงดงามตามแบบผ้าพับไว้ เมื่อเราได้ลองออกไปตามรอยวิถีชีวิตแบบกุลสตรีในรั้ววัง ตั้งแต่ประทินผิว กินข้าว ทำงานคราฟต์ จนถึงช้อปปิ้ง จึงค้นพบว่าเสน่ห์ที่แท้จริงของพวกเธอคือความเฉลียวฉลาด ช่างคิด ช่างประดิดประดอย
ภายใต้ข้อจำกัดทั้งระเบียบอันเคร่งครัดที่ทำให้ไม่สามารถออกนอกเขตรั้ววังได้ตามอำเภอใจ เหล่ากุลสตรีชาววังสามารถหยิบยกสิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัวมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จนกลายเป็นเอกลักษณ์อันน่าทึ่งและใช่ว่าจะหาได้ทั่วไป สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความอดทนและความตั้งใจสูง ทั้งยังซ่อนเรื่องราวประวัติศาสตร์ไว้ภายใต้กลิ่นอายความประณีตที่อยากให้คุณได้ลองออกไปสัมผัส และรู้จักวิถีนุ่มนวลแยบยลในชีวิตกุลสตรีไทย
1
เรียนรู้วิถีชีวิตสาวชาววังผ่านหนังสือ หอมติดกระดาน
‘หอมติดกระดาน’ คำนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของสตรีชาววังสมัยโบราณ ซึ่งมีที่มาจากความหอมในเครื่องนุ่งห่มของสาวชาววัง เมื่อนั่งบนกระดานแผ่นใด ครั้นลุกจากไป ความหอมนั้นก็ยังคงอบอวลซึมลึกติดอยู่บนกระดานแผ่นนั้น
ก่อนจะออกไปตามรอยความหอมติดกระดาน เราอยากให้คุณมาทำความรู้จักวิถีชีวิตโดยละเอียดตั้งแต่การกินอยู่หลับนอน การแต่งกาย การปฏิบัติตัว ไปจนถึงการช้อปปิ้งของสาวชาววัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ผ่านหนังสือ หอมติดกระดาน เขียนโดยศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย บอกเล่าเรื่องราวชีวิตสาวชาววังด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เพลิดเพลินใจไปกับประวัติศาสตร์และเบื้องหลังความประณีตงดงามตามแบบฉบับสาวชาววัง ซึ่งสิ่งที่คุณจะได้จากหนังสือเล่มนี้มีมากกว่าความหอมติดกระดาน เพราะกลิ่นอายความเป็นสาวชาววังอาจซึมลึกลงไปในหัวใจของผู้อ่านโดยไม่รู้ตัว
ชื่อหนังสือ | หอมติดกระดาน
ผู้เขียน| ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย
ราคา | 180 บาท
หาซื้อได้ที่ | ศูนย์หนังสือจุฬาฯ หรือ SE-ED Book Center
2
แต้มความหอมติดกระดานด้วยน้ำปรุง ‘เย็นอุรา (yen-u-ra)’
การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ได้นำการแลกเปลี่ยนสินค้าและเงินตราเข้ามาเท่านั้น แต่ยังรวมวัฒนธรรมที่หลั่งไหลเข้ามาด้วย วัฒนธรรมการใช้น้ำหอมของชาวตะวันตกในสมัยนั้นทำให้ชาวไทยเริ่มสนใจการทำน้ำหอมแบบฉบับของเราเอง จนเกิดเป็น ‘น้ำปรุง’ หนึ่งในกลิ่นหอมที่ซึมลึกจนเป็นที่มาของคำว่า ‘หอมติดกระดาน’
ความหอมจากน้ำปรุงเป็นเอกลักษณ์อย่างไทยของสาวเจ้าชาววัง บอกได้เลยว่าน้ำหอมแบบไทยนั้นดีงามไม่แพ้ใคร และหอมนานติดทนกว่าน้ำอบที่ติดผิวเพียงระดับโคโลญจน์
ตำรับความหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของน้ำปรุงแบรนด์ ‘เย็นอุรา’ น้ำหอมฉบับสาวชาววัง สืบทอดสูตรกันมาถึง 4 รุ่น จากคุณหญิงผอบ ณ ถลาง นางข้าหลวงตำหนักพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฎปิยมหาราชปดิวรัดา (หม่อมเจ้าสาย ลดาวัลย์) เป็นกลิ่นหอมแบบไทยจากธรรมชาติ แตะพรมตามเนื้อตัวเพียงเล็กน้อยก็ได้กลิ่นนุ่มนวลชวนหลงใหล ความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนในการกลั่นความหอมจากธรรมชาติสู่เครื่องแต่งตัวและร่างกาย เป็นเสน่ห์ที่หอมติดเนื้อจนต้องเหลียวหลังตามแน่นอน
น้ำปรุงสูตรชาววังของ ‘เย็นอุรา’ มีกลิ่นดั้งเดิม ซึ่งเป็นตำหรับแท้เคียงกายสาวชาววัง ที่สกัดจากใบเนียมและดอกไม้มากถึง 13 ชนิด และยังมีกลิ่นพิเศษที่รังสรรค์มาจากดอกไม้นานาพรรณ เช่น ดอกส้ม ดอกมะลิ ดอกปีป ดอกกุหลาบเปอร์เซีย และปรับให้เหมาะสำหรับคนแพ้ง่ายคือปราศจากสารเคมีรุนแรง หากใครสนใจน้ำหอมแบบไทยที่คุณภาพล้นขวดก็ซื้อได้เลย
เย็น-อุ-รา (yen-u-ra)
น้ำปรุงตำรับคลาสสิก ขวดละ 580 บาท
ติดตามข่าวสารการออกร้านหรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่
Facebook | เย็นอุรา / yen-u-ra
Instagram | @ yen_u_ra
3
ร้อยมาลัยและทำเครื่องแขวนดอกไม้สดที่ HOMEiam Studio
งานดอกไม้สดอยู่คู่กับชาววังมาอย่างยาวนาน ด้วยวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนา ซึ่งเอื้อให้เกิดพิธีกรรมที่ใช้ดอกไม้เป็นส่วนสำคัญในพระราชพิธีต่างๆ แม้กระทั่งการใช้ประดับตกแต่ง เป็นของขวัญหรือของชำร่วย ไม่ว่าจะเป็นการทำเครื่องแขวน ร้อยมาลัย ทำพานพุ่ม ฉะนั้นสตรีชาววังจึงต้องเรียนรู้งานฝีมือในด้านนี้มิให้ขาดตกบกพร่อง
งานดอกไม้สดของสาวชาววังแตกต่างจากงานดอกไม้สดทั่วไป ด้วยขั้นตอนที่ละเอียดพิถีพิถัน อย่างการใช้ ‘อุบะทรงเครื่อง’ สำหรับมาลัยข้อพระกรและงานเครื่องแขวน ซึ่งมีกรรมวิธีที่แตกต่าง และอลังการกว่าอุบะทั่วไปที่เรียกว่า ‘อุบะพู่’
ส่วนการร้อยมาลัยข้อพระกรจะมีลวดลายและการตกแต่งที่สวยงามอลังการกว่า เช่น การใช้มาลัยแบนมาประดับ หรือใช้กลีบกุหลาบมาพับแล้วร้อยเข้าทีละกลีบแทนการใช้ดอกมะลิแบบมาลัยทั่วไป
มากกว่าทักษะงานฝีมือ งานดอกไม้ต้องอาศัยทั้งความอดทน ความละเอียด และการบริหารจัดการเวลาที่ดี เพราะแต่ละขั้นตอนล้วนใช้เวลานาน สวนทางกับข้อจำกัดเรื่องเวลาของดอกไม้สด ฉะนั้น หัวใจสำคัญของการทำงานฝีมือนี้คือความตั้งใจและการเอาชนะใจตัวเอง หากจะกล่าวว่า เป็นการเรียนรู้ปรัชญาชีวิตผ่านการร้อยดอกไม้ไปในตัวก็คงไม่ผิด
หากคุณอยากทำความรู้จักกับงานอันแสนประณีตและละเอียดอ่อนนี้ เราขอแนะนำ HOMEiam Studio โดย คุณเปิ้ล-รริน ภัทรพรไพศาล ช่างดอกไม้สด รุ่นที่ 23 จากวิทยาลัยในวังหญิงหรือโรงเรียนผู้ใหญ่พระตำหนักสวนกุหลาบ
จุดประสงค์หลักของคุณเปิ้ลคือการสืบสานงานดอกไม้สดแบบฉบับกุลสตรีชาววังที่หาได้ยากแล้วในปัจจุบัน โดยทำให้งานดอกไม้สดแบบชาววังเป็นวิชาความรู้ที่เข้าถึงและเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะหลายคนอาจไม่มีเวลาและโอกาสเข้าไปศึกษากับวิทยาลัยในวังหญิงโดยตรง
คอร์สเรียนของที่นี่จะจัดลำดับขั้นตั้งแต่พื้นฐาน เริ่มจากการเลือกสรรพรรณดอกไม้ การเตรียมดอกไม้ กระทั่งว่าดอกไม้ชนิดนี้สามารถใช้ทำอะไรได้บ้างเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับงานดอกไม้อื่นๆ ได้ หรือหากมีเวลาน้อย ช่วงเดือนสิงหาคม ถึงเดือนตุลาคม จะมีกิจกรรมเวิร์กช็อปสั้นๆ ซึ่งสามารถติดตามได้ในเว็บไซต์ อินสตาแกรม หรือเพจเฟซบุ๊กของ HOMEiam Studio
เมื่อเรียนรู้เรื่องงานดอกไม้สดไทย นอกจากทักษะและปรัชญา เรายังสามารถทำเป็นของขวัญอย่างวันแม่ที่จะถึงนี้ หรืออาจใช้สำหรับบูชาพระ ใช้ประกอบพิธีกรรมสำคัญต่างๆ ได้อีกด้วย
HOMEiam Studio
ที่อยู่ | 55/66 ถนนคลองลำเจียก แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ
Facebook | HOMEiamStudio
Instagram | @homeiam_studio
Website | www.homeiamcooking.com
ติดต่อ | 0831186555
หากสนใจงานฝีมือและการทำอาหาร คุณเปิ้ลยังเขียนบล็อกเล่าเรื่องราวการเรียนในวิทยาลัยในวังหญิงรวมทั้งประสบการณ์ด้านอาหารและงานดอกไม้สดไว้ใน www.homeiam.com
4
เดินเล่นชมไม้ดัดและเขามอที่วัดคลองเตยใน
เมื่อพูดถึงไม้ประดับหรือสวนกระถาง บอนไซ และสวนขวด คงเป็นหนึ่งในงานอดิเรกสุดฮิตและเป็นที่รู้จักของคนสมัยนี้ แต่หากย้อนเวลากลับไป ผู้คนในวังแม้กระทั่งพระมหากษัตริย์ก็มีงานอดิเรกลักษณะนี้เช่นกัน เพียงแต่เป็นการทำไม้ดัดและเขามอประดับประดาในกระถางลายครามให้สาวชาววังได้เดินชม
เท้าความไปในสมัยอยุธยา ไม้ดัดเริ่มเข้ามาครั้งแรกโดยชาวต่างชาติทั้งจีนและญี่ปุ่น ซึ่งในสมัยนั้นติดต่อกับผู้คนในวังเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเห็นชาวจีนและญี่ปุ่นนำไม้ดัดมาประดับบ้านเรือน ก็เริ่มมีการเล่นไม้ดัดในไทย พัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นไม้ดัดไทย และได้รับความนิยมในสมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5
ซึ่งไม้ดัดมีทั้งหมด 9 แบบแตกต่างกันออกไป แต่แบบที่เราเห็นทั่วไปในปัจจุบันเรียกว่า ไม้ดัดญี่ปุ่น ซึ่งเป็น 1 ใน 9 แบบดังกล่าว ส่วนเขามอได้รับอิทธิพลจากจีนและญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน แต่เขามอของไทยจะแตกต่างออกไป เพราะไม่ได้ปลูกลงดินหรือจัดเป็นสวน แต่ใช้หินก้อนเล็กมาประติดประต่อกันจินตนาการเป็นรูปร่างต่างๆ แทน
ทั้งไม้ดัดและเขามอตามตำราแบบโบราณของไทยสมัยนี้เริ่มหาชมได้ยาก ซึ่งผู้สืบทอดในปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น โดยหนึ่งในนั้นคือพระราชสิทธิสุนทร เจ้าอาวาสวัดคลองเตยใน แวะไปไหว้พระและชมสวนงดงามในกระถางที่นี่ได้เลย
วัดคลองเตยใน
ที่อยู่ | 472 ถนน ณ ระนอง แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
ติดต่อ | 022493364
5
คลายร้อนกับเมนูข้าวแช่ตำรับวังละโว้ ที่ ‘ร้านหลายรส’
เมื่อฤดูร้อนมาถึง สาวชาววังจะเริ่มทำข้าวแช่ เมนูคลายร้อนแสนชื่นใจ แม้ว่าเดิมทีต้นตำรับข้าวแช่นั้นมาจากชาวมอญ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในสำรับชาววังก็มีการปรับสูตรข้าวแช่ใหม่ โดยเพิ่มพริกหยวกและหัวหอมยัดไส้ลงไปด้วย ซึ่งตำราข้าวแช่ของแต่ละวังจะมีสูตรและความพิเศษแตกต่างกันออกไป
ส่วนใหญ่แล้วสาวชาววังมักจะทำข้าวแช่เฉพาะช่วงฤดูร้อน ด้วยเหตุผลว่าวัตถุดิบบางอย่าง เช่น พริกหยวก จะมีมากในช่วงฤดูร้อน และข้าวแช่เป็นอาหารที่รับประทานแล้วเย็นชื่นใจ เหมาะกับหน้าร้อนมากกว่าหน้าหนาวและหน้าฝน ฉะนั้น การหาข้าวแช่รับประทานในฤดูกาลอื่นจึงกลายเป็นเรื่องยาก
แต่หากใครอยากรับประทานข้าวแช่ตำรับชาววังที่พร้อมเสิร์ฟตลอดทั้งปี เราขอแนะนำให้รู้จักกับ ‘ร้านหลายรส’ กับข้าวแช่ตำรับวังละโว้ สูตรที่ คุณโด่ง-พิมพร อิ่มประไพ เจ้าของร้านคนปัจจุบัน สืบทอดมาจากคุณแม่ คือ คุณอุไร เกษมสุวรรณ ผู้ทำอาหารในห้องต้นเครื่องของวังละโว้ และเป็นน้องสาวของ หม่อมอุบล ยุคล ณ อยุธยา ซึ่งเป็นชายาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ หรือพระองค์ชายเล็ก
จุดเด่นของข้าวแช่ตำหรับวังละโว้คือกะปิสดที่ไม่ได้ผ่านการกวน แต่นำกะปิมาปรุงกับเครื่องสมุนไพรต่างๆ ทั้งตะไคร้ หอมแดง กระชาย และปลาป่น ตำในครก ก่อนจะเอากะปิที่แห้งหมาดๆ นั้นมาปั้นเป็นก้อนไปตากลม แล้วนำไปชุบไข่ทอด
แค่กะปิก็ใช้เวลานานโข แต่ในจานนั้นยังมีทั้งพริกหยวกยัดไส้หมูและกุ้ง หัวหอมแดงแกะเปลือกยัดไส้ปลาแห้ง หัวไชโป๊วผัดไข่ เนื้อฝอย และสิ่งที่คุณโด่งเพิ่มจากตำหรับชาววังคือปลาหวานที่รสชาติกลมกล่อม โดยตัดรสหวานและเค็มของจานนี้ด้วยผักและผลไม้แกะสลัก ทั้งมะม่วง แตงกวา กระชาย หอม พริก ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนใช้เวลา ความละเอียดและพิถีพิถันมาก
ไม่เพียงเครื่องเคียงที่ละเอียดลออหลายขั้นตอน เพราะข้าวแช่ก็ละเอียดประณีตไม่แพ้กัน โดยจะหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ ก่อนจะนำมาขัดให้ยางออก เพื่อไม่ให้น้ำขุ่นแบบข้าวต้ม แล้วนำข้าวที่ยังไม่สุกดีไปนึ่งอีกครั้ง โดยน้ำที่ใช้นึ่งก็ต้องเป็นน้ำลอยดอกมะลิ ส่วนน้ำที่ใช้รับประทานกับข้าวแช่นั้นจะทำแยกออกมาอบควันเทียน ใส่มะลิ กลีบกุหลาบ และกระดังงาลนไฟ เพื่อให้มีกลิ่นหอมชื่นใจ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำแข็ง โรยกลีบดอกไม้
วิธีการรับประทาน แนะนำให้ทานทีละอย่างโดยไม่ผสมกัน เพื่อให้ได้อรรถรสและรับรสชาติของเครื่องเคียง รวมทั้งกลิ่นหอมของข้าวแช่ได้อย่างเต็มที่ เมื่อได้รับประทานข้าวแช่ชาววังจึงได้ทั้งความชื่นตาและชื่นใจ หากเทียบขั้นตอนอันพิถีพิถันทั้งหมดกับราคาชุดละ 280 บาท นั้นนับว่าคุ้มค่าเกินราคาเลยทีเดียว
นอกจากข้าวแช่แล้วที่นี่ยังมีอาหารไทยหลายเมนูทั้งคาวหวานต้นตำหรับชาววัง เช่น ข้าวอบสับปะรดเสวย และน้ำสมุนไพรเย็นชื่นใจเลือกสรรวัตถุดิบมาอย่างดีอีกด้วย
ร้านอาหาร ‘หลายรส’
ที่อยู่ | ซอยสุขุมวิท 49 (ตรงข้ามโรงพยาบาลสมิติเวช) กรุงเทพฯ
เวลาทำการ | 10.30 – 21.00 น.
ติดต่อ | 023913193
6
แวะซื้อใบชาที่ห้างใบชาอ๋องอิวกี่ที่แยกสี่กั๊กเสาชิงช้า
สมัยก่อนแหล่งช้อปปิ้งสำคัญของสาวชาววังคือบริเวณถนนเขื่อนขัณฑ์นิเวศน์ ซึ่งยังอยู่ภายในเขตพระบรมมหาราชวัง ส่วนภายนอกเริ่มมีพ่อค้าจากต่างประเทศมาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเปิดห้างร้านต่างๆ เพื่อจำหน่ายสินค้าจากประเทศของตน
โดยเฉพาะในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งหนึ่งในห้างร้านที่มีชื่อเสียงและเปิดมาจนถึงปัจจุบันคือ ‘ห้างใบชาอ๋องอิวกี่’ โดยชาทั้งหมดนั้นนำมาจากประเทศจีน เข้ามาจำหน่ายครั้งแรกปลายสมัยรัชกาลที่ 5
แต่เนื่องจากธรรมเนียมอันเคร่งครัดทำให้การขออนุญาตออกมาเดินเลือกซื้อสินค้านอกเขตพระราชวังเป็นเรื่องยาก ห้างร้านต่างๆ จึงพยายามส่งตัวอย่างหรือแบบสินค้าเข้าไปให้เลือกสรร หรือหากเจ้านายจะเสด็จฯ ออกมาเลือกซื้อข้าวของ สาวชาววังจึงจะสามารถขอติดตามออกมาข้างนอกด้วยได้ ซึ่ง คุณนพพร ภาสะพงศ์ ทายาทรุ่นที่ 4 ของห้างใบชาอ๋องอิวกี่เล่าว่า
“คุณป้าตอนเด็กๆ เคยเห็นสาวชาววังนั่งรถม้าออกมาถึงหน้าร้าน ส่วนวังที่ไกลก็จะพายเรือมาตามคลอง ลงมาซื้อชา พอซื้อของเสร็จกลับไป บ้านยังหอมอยู่เลย เพราะเสื้อผ้าก็อบร่ำมา”
ใบชาของที่นี่นอกจากจะเป็นสินค้าต่างประเทศที่ยอดนิยมสำหรับสาวชาววังในสมัยก่อนแล้ว ยังเป็นสินค้าที่ส่งเข้าไปในวังตั้งแต่ยุคที่ยังเป็นใบชาห่อกระดาษ จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นภาชนะกระป๋องหรือแบบกล่องอย่างที่เราเห็นกันทั่วไป ซึ่งปัจจุบันห้างใบชาอ๋องอิวกี่ยังคงส่งใบชาจากเมืองจีนเหล่านี้ไปที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐานอีกด้วย
ห้างใบชาอ๋องอิวกี่
ที่อยู่ | 63 ถนนบำรุงเมือง แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
เวลาทำการ | 08.00 – 17.00 น.
Facebook | Ong Tea By Bee
ติอต่อ | 022221748
7
ผ่อนคลายสบายอารมณ์กับการนวดแบบราชสำนักที่ ‘ธรรมานามัยคลินิก’
ตะลอนตามรอยชาววังกันมาทั้งวัน เราจึงอยากพาคุณมาหยุดพักกายสบายใจที่ “ธรรมานามัยคลินิก” คลินิกที่ใช้การนวดเพื่อรักษาและส่งเสริมสุขภาพ โดยนวดแบบราชสำนักคือเป็นศาสตร์การนวดแบบสุภาพตามธรรมเนียม เน้นการกดจุดด้วยมือ ไม่ใช้ศอก เข่า หรือแม้กระทั่งการหันปลายเท้าไปทางศีรษะของคนที่ถูกนวด ซึ่งแตกต่างจากการนวดทั่วไปที่เรียกว่า การนวดแบบเชลยศักดิ์
ที่นี่นำการนวดแบบราชสำนักมาปรับใช้กับการรักษา โดยวัดความดันและประเมิน สอบถามอาการและซักประวัติอาการเจ็บป่วย ก่อนนวดแบบแพทย์แผนไทย ส่วนเตียงสำหรับการนวดแบบราชสำนัก เดิมต้องเป็นเตียงวางราบบนพื้น ส่วนผู้นวดจะนั่งพับเพียบ แต่เนื่องจากต้องปรับให้เหมาะกับการรักษาจึงเปลี่ยนมาใช้เตียงทั่วไปแทน
ข้อดีของการนวดแบบสำนัก คือ เมื่อใช้มือนวดทำให้สามารถตรวจร่างกายไปด้วยได้ ทำให้ทราบอาการและรักษาได้อย่างตรงจุด เมื่อเริ่มหายดี คุณหมอก็ยังมีท่าออกกำลังกายที่เน้นภูมิปัญญาไทย เช่น ฤๅษีดัดตน โยคะ ให้กลับไปทำที่บ้านโดยสอดแทรกเรื่องสมาธิเข้าไป เพื่อรักษาทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ แต่หากไม่มีอาการใดที่ต้องรักษาก็จะแนะนำให้นวดเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ซึ่งที่นี่รักษาโดยแพทย์แผนไทยเฉพาะทาง ในบรรยากาศผ่อนคลายคลอเสียงเพลงและกลิ่นหอมแบบไทยๆ ซึ่งก่อนนวดมีน้ำหมักผลไม้เย็นๆให้ดื่ม และปิดท้ายด้วยการรับประทานของว่างและจิบชาขิงร้อนๆ เพื่อสุขภาพหลังการนวดอีกด้วย
ธรรมานามัยคลินิก
ที่อยู่ | เลขที่ 1 ซอยพหลโยธิน 3 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ
เวลาทำการ | 10.00 – 21.00 น. (ควรนัดหมายล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการ)
ติดต่อ | 020406400
8
ยกสำรับสูตรชาววังจาก ‘ห้องอาหารแก้วเจ้าจอม’
เสน่ห์สำรับฉบับชาววังไม่ใช่เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามน่ารับประทาน แต่หัวใจสำคัญคือความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน รวมทั้งเรื่องราวที่ร้อยเรียงรังสรรค์แต่ละเมนูออกมา
เรามุ่งตรงไปที่ห้องอาหารแก้วเจ้าจอม ซึ่งตั้งอยู่ในโรงแรมสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันไปไกลว่า หากอยากลิ้มรสเมนูอาหารสูตรชาววังแท้ต้องมาที่นี่ ซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิมของพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ผู้ดูแลงานห้องเครื่องต้นของเสวย และยังทรงมีพระอัจฉริยภาพแบบฉบับสาวชาววัง คิดค้นสูตรอาหารใหม่ตำรับชาววัง
เมนูที่แรกที่เราอยากแนะนำคือ ‘ยำไก่อย่างเต่า’ ซึ่งมีที่มาจากการได้รับบรรณาการเนื้อสัตว์อย่างหนึ่ง ซึ่งคาดว่าเป็นเนื้อตะพาบหรือเนื้อเต่า โดยนำมายำดับกลิ่นคาว เมื่อมีการโปรดให้ยำเช่นนี้อีก จึงดัดแปลงมาใช้เนื้อไก่แทน ซึ่งแม้จะฟังดูเป็นเมนูง่ายๆ สามารถทำตามได้ไม่ยาก แต่ต้องบอกเลยว่า สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารชาววังคือการเลือกใช้วัตถุดิบที่ดี มีความละเมียดละไม และประณีตทุกขั้นตอนตั้งแต่การปรุงจนถึงการรับประทาน
จากหนังสือหอมติดกระดานตอนหนึ่งกล่าวว่า “…ชาววังมิใช่รู้จักแต่ประดิดประดอยอาหารให้สวยงามน่ารับประทานเพียงอย่างเดียว ยังเชี่ยวชาญในการดัดแปลงอาหารจากอย่างหนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง โดยคำนึงถึงหลักประหยัด…”
เมนูดังกล่าวคือ ‘แกงรัญจวน’ ซึ่งเป็นการนำน้ำพริกกะปิและเนื้อที่เหลือจากผัดพริก มาต้มในน้ำซุป ใส่เครื่องปรุงต่ออีกนิด ตบท้ายด้วยสมุนไพร จึงได้เป็นเมนูใหม่ที่มีกลิ่นหอมรัญจวนสมชื่อ หากใครสนใจที่จะลิ้มลองกับข้าวตำรับชาววัง พร้อมเดินชมสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงามใกล้เคียงกับในอดีต ก็สามารถเข้ามาได้ที่ห้องอาหารแก้วเจ้าจอม โรงแรมสวนสุนันทาแห่งนี้ หรือเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปี ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ในวันที่ 7 – 11 พฤศจิกายน 2561