16 มกราคม 2025
2 K

ผมเป็นแฟนคลับตัวยงของสำนักพิมพ์ ‘SandClock Books

หนังสือภาพสำหรับเด็กมีความละมุนละไมทั้งเรื่องและภาพ – แต่ขอโทษ ผมไม่ได้ชอบด้วยเหตุผลนี้

หนังสือร้อยกว่าปกของสำนักพิมพ์ตรานาฬิกาทรายมีหลากหลายแนว ประเภทย่อหน้าที่แล้วก็มี แต่ที่ถูกใจผม คือเจ้าสำนักเขาช่างไปหาหนังสือเรื่องราวแปลกประหลาดมาจากหลายประเทศ จริงอยู่ที่มันเป็นหนังสือสำหรับเด็ก แต่เนื้อหามันช่างห่างไกลหนังสือเด็กที่ผมคุ้นเคย เพราะมันพูดเรื่องความตาย การใช้อำนาจ การบูลลี่ ความจน ความไม่จีรัง ร้านหนังสือ สงคราม การเงิน และอีกมากมาย

เราจะเล่าเรื่องที่ว่าพวกนี้ให้เด็กเข้าใจแบบง่าย ๆ ได้ยังไงนะ

ผมชอบหนังสือพวกนี้ตรงชั้นเชิงในการเล่านี่แหละ

ทราย-สุภลักษณ์ อันตนนา บรรณาธิการสำนักพิมพ์ SandClock Books คือคนที่อยู่เบื้องหลังการคัดสรรหนังสือที่ว่ามา และเป็นคนที่ผมอยากคุยด้วยมาก

ในวัยเยาว์ครอบครัวของเธอทำโรงงานไสกาวเข้าเล่มหนังสือ จึงได้อ่านหนังสือมากมายก่อนใคร ทั้งวรรณกรรมเยาวชนและนวนิยายมากมาย โตขึ้นมาเธอกลายเป็นแอร์โฮสเตส แล้วลาออกมาทำงานการตลาดให้เครื่องสำอางญี่ปุ่นแบรนด์ดัง ไปเรียนต่อ MBA ที่เบอร์ลิน แล้วกลับมาทำงานที่โรงพิมพ์ภาพพิมพ์ของครอบครัว และกลายเป็นคุณแม่

นั่นทำให้เธอสนใจหนังสือวิธีเลี้ยงลูกและหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็ก และทำหนังสือเหล่านี้ออกมาในนาม SandClock Books 

หนังสือสนุกขนาดนี้ ชีวิตคนทำจะสนุกขนาดไหน

ถ้าใครอ่านแล้วอิน อยากไปตามหาหนังสือของเธอมาอ่าน วันเด็กที่ผ่านมาทรายเลือกหนังสือ 25 เล่มที่เหมาะจะเป็นของขวัญวันเด็กให้ The Cloud ตามไปดูกันได้ที่นี่ 

“หนังสือภาพจำเป็นกับสังคม และหน่วยย่อยที่สุดก็คือครอบครัว เด็กเกิดมากับพ่อ 1 คนแม่ 1 คนอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง หนังสือภาพคือประตูบานแรกที่ทำให้เขาได้ออกไปดูว่าในป่ามีอะไร บ้านคนอื่นมีอะไร ยิ่งอ่านเยอะ ประตูเขาก็ยิ่งเปิดเยอะ ได้เชื่อมโยง ปะติดปะต่อเรื่องราว เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ เข้าใจความรู้สึกของการโดนแกล้ง จะเรียกว่าโรงเรียนก็ไม่ใช่ มันเป็นโลกของเขา

“ในแง่ครอบครัว มันคือความสัมพันธ์ของพ่อแม่กับลูก เอาลูกนั่งตัก เขาไม่ได้แค่เห็นหรือฟังเสียงคุณอย่างเดียว สภาพตรงนั้น เขาได้กลิ่น สัมผัสน้ำเสียง เสียงเต้นของหัวใจคุณ มันมาแบบองค์รวม ไม่ใช่กด Audiobook แล้วเดินไปทำโน่นทำนี่ ไม่อย่างนั้นคุณจะได้แค่เสี้ยวเดียวของสิ่งที่ควรจะได้

“ไม่ต้องกลัวว่าจะเล่าไม่สนุก เราก็อ่านหนังสือให้ลูกฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบมาก ๆ เขาก็พยายามจับคู่เสียงกับภาพ เด็กไม่ได้ร้องขอว่า แม่เล่าเสียงตลก ๆ หน่อย มีแต่เราที่ไปตัดสินเองว่า ฉันเล่าไม่ได้หรอก ความเป็นพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบตลอดเวลาก็ได้

“หนังสือที่ไม่มีตัวหนังสือก็ด้นสดได้เลย แม่สนใจอะไรก็ชวนคุย ทำไมกระต่ายตัวนี้ตายล่ะ เห็นไหมหน้านี้มันป่วยอยู่ เด็กเขาเห็นทุกภาพ ตาเขาสแกนได้ละเอียดกว่าเราเยอะ เขาช่างสังเกต การที่เราตั้งคำถามโดยไม่มีกรอบ จึงไม่จำเป็นต้องมีคำตอบเดียว

“หนังสือภาพสำหรับเด็กในประเทศเราได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นนะ เพราะเราเห็นแล้วว่าการติดหน้าจอเกินไปส่งผลอะไรบ้าง หนังสือนิทานภาพจึงกลับมาได้รับความนิยมเหมือนบอร์ดเกม เอามือถือไปเก็บ แล้วใช้เวลาร่วมกันกันจริง ๆ”

นั่นคือมุมมองของทรายที่มีต่อนิทานภาพ หนักแน่นและแจ่มชัดราวกับบทบรรณาธิการ

เกาหลี จีน และอิตาเลียน คือ 3 ภาษาที่ทรายกำลังเรียนออนไลน์อยู่ในขณะนี้ 

ภาษาแรกเรียนนานแล้ว ภาษาที่ 2 เริ่มเรียน 6 เดือนก่อนเพราะจะไปเที่ยวจีน และภาษาที่ 3 เพิ่งเริ่มเรียน เพราะทุกปีต้องไปงานหนังสือเด็กหรือ Bologna Children’s Book Fair เธออยากสั่งอาหารนับเลขด้วยภาษาท้องถิ่นได้

“เราชอบหาข้ออ้างในการทำสิ่งเหล่านี้” ทรายหัวเราะ ใช่ ใครจะไปหัดเรียนภาษาใหม่เพื่อไปเที่ยวแค่ไม่กี่วัน เธอชอบเรียนภาษา ตอนมัธยมปลายเธอเรียนภาษาฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยเรียนภาษาญี่ปุ่น ปริญญาโทได้ภาษาเยอรมัน 

การรู้หลายภาษาส่งผลกับการทำสำนักพิมพ์โดยตรง เธอพอจะเข้าใจหนังสือจากภาษาต้นฉบับ จึงลึกซึ้งกว่าการอ่านบทแปลสรุปของสำนักพิมพ์

ทรายเลือกเรียนเอกภาษาญี่ปุ่นที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะทุกคน (ในยุคนั้น) ต้องเริ่มต้นเรียนใหม่จากศูนย์ด้วยกัน จึงพอจะแข่งกับเพื่อนได้ และรุ่นพี่บอกว่า จบมางานดีเงินดี ช่วงปี 4 เด็กกิจกรรมคนนี้ได้ทุนจากโรตารีไปแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น 6 เดือน ได้พักกับครอบครัวชาวญี่ปุ่น 3 บ้านที่มีสภาพต่างกัน เธอจึงได้เห็นโลกอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน

เรียนจบเธอก็สมัครเป็นแอร์โฮสเตสกับสายการบิน JAL ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องแอร์ฯ มากมาย ได้เดินทางท่องโลก และได้เริ่มอ่านนิตยสาร มติชนสุดสัปดาห์ จนกลายเป็นแฟนคลับที่ติดแบบแน่นหนับ ช่วงนี้เองที่เธอเริ่มชอบงานเขียนที่มีแนวคิดสังคมการเมืองที่เข้มข้น

“สนุก เปิดโลก นึกถึงคนอื่น และหลากหลาย โดยเฉพาะความหลากหลายของคน บางคนขี้อาย บางคนชอบทำโน่นนี่ เด็กอ่านแล้วจะรู้สึกว่าเหมือนฉันเลย ฉันก็เป็นแบบนี้ ฉันก็ปกตินี่นา” นี่คือเนื้อหาโดยรวมจากหนังสือร้อยกว่าปกของสำนักพิมพ์ SandClock Books

ทรายมองว่าจุดที่ยากที่สุดในการทำสำนักพิมพ์ คือการเลือกหนังสือ

เธอไม่ได้เลือกจากผลวิจัยทางการตลาด แต่มาจากความชอบของตัวเธอ

“เราเลือกหนังสือมาพิมพ์เหมือนเลือกมาให้ลูกอ่าน เราอยากเปิดจินตนาการเขา ไม่สั่งสอนเขา” หนังสือเนื้อหาแปลก ๆ ที่ทรายเลือกมาพิมพ์ไม่ค่อยพบในตลาดหนังสือไทยสักเท่าไหร่ แต่ในตลาดโลกยังมีที่แปลกประหลาดกว่านี้อีกมากมาย เพราะตลาดมีขนาดใหญ่ ที่ไม่ถูกแปลเป็นภาษาไทยมากนักก็เพราะ สำนักพิมพ์ทั้งหลายไม่มั่นใจว่าจะขายได้

ทรายก็ไม่มั่นใจ แต่เธออยากให้เด็ก ๆ ได้อ่านเรื่องราวดี ๆ พวกนี้ บางเล่มเป็นหนังสือรางวัล ดังในเมืองนอก คงจะดีถ้าเด็กไทยได้อ่านด้วย เป็นการอัปเดตความเป็นพลเมืองโลกให้เด็ก และมันยังเป็นวิธีสอนให้เด็กรู้จักชีวิตที่ง่ายที่สุด และดีกว่าการอธิบายตรง ๆ

“แต่ละครอบครัวมีพื้นเพไม่เหมือนกัน จึงจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน บางปัญหาแก้ด้วยการไม่พูดถึงมันนะลูก แต่นิทานพวกนี้ผ่านนักเขียน ผ่านทีมบรรณาธิการที่เขาอาจจะวิจัยหรือค้นข้อมูลมาแล้วว่ากรณีแบบนี้ควรทำอย่างไร หลายเรื่องในโรงเรียนก็สอน แต่อาจจะไม่สนุกเท่าในหนังสือ เช่น เรื่องร่างกายของเรา หนังสือสอนว่าทำไมเราถึงไม่ควรเปิดเผยร่างกายเรากับคนอื่น ถ้ามีใครมาทำไม่ดีกับเรา เราต้องกล้าเล่าให้คนที่เราไว้ใจฟัง 

“เรื่องความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ บางคนอาจโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยมาก ๆ ใช้ชีวิตแบบหนึ่ง การเปิดหนังสือมาเจอครอบครัวอีกแบบเขาก็ปรับความเข้าใจกับโลก เช่น วันที่เราไม่มีเงิน หรือ ตอนที่ผมกินราเม็ง ขณะที่เรากินราเม็งที่บ้าน เกิดอะไรที่บ้านหลังข้าง ๆ หลังอื่น เมืองอื่น ประเทศอื่น ทวีปอื่น เขาจะได้เห็นว่าในประเทศที่ยากจนเด็กก็ต้องทำงาน

“เรื่อง ลูกอมวิเศษ อมแล้วจะได้ยินเสียงจากสิ่งรอบตัว เช่น เสียงจากหมา เสียงจากข้าวของ ทำให้เด็กมีจินตนาการ เข้าใจ เห็นอกเห็นใจสรรพสิ่งรอบตัว ได้ฟังว่าหมาพูดอะไรกับเรา เสียงจากโซฟา หรือเสียงที่อยู่ในคำพูดที่คุณพ่อพูดกับเราในชีวิตประจำวัน เป็นหนังสือรางวัลจากเกาหลีที่สนุกมาก

“เรื่อง คิดถึงนะครับแม่ พูดถึงคุณแม่ที่เสียชีวิต เป็นการเยียวยาคนที่อยู่ข้างหลัง สื่อถึงคุณพ่อและคุณลูก แม่จากไปไม่ใช่ความผิดของเขานะ เด็กมักจะโทษตัวเอง เพราะเขายังไม่เข้าใจเหตุผล เขาอาจจะโกรธที่ทำไมคนอื่นมีแม่ หรือทำไมฉันต้องหยิบเสื้อแม่มาดม แล้วฉันจะต้องทำยังไงถึงจะนึกถึงเขาได้อยู่

“พ่อแม่ซื้อหนังสือบางเล่มเพราะต้องการจะสื่อสารอะไรกับเด็ก แต่หนังสือที่เด็กเลือกซื้อเองหรือไปหยิบที่ห้องสมุดอาจไม่ใช่หนังสือที่พ่อแม่เลือกซื้อเลย เพราะสำหรับเขามันสนุก ติงต๊อง แก่น ซน นั่นคือข้อดีของการมีห้องสมุด เพราะมีอิสระในการเลือกโดยไม่มีเงื่อนไขทางการเงินมาเกี่ยวข้อง เขาค้นหาหนังสือที่ชอบเองได้

“เราเลือกหนังสือเล่มที่เราชอบ ไม่ได้คิดเหมือนบริษัทใหญ่ว่าแนวไหนจะขายดี ไม่รู้จะอธิบายเป็นภาษาการตลาดยังไงดี มันเป็นตลาดแบบบ้าน ๆ มาก” 

ทรายเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอยู่ปีครึ่งก็ลาออกเพราะอยากทำงานแบบนั่งโต๊ะบ้าง อีกมุมอาชีพของเธอต้องเตรียมความพร้อมทุกด้านก่อนบิน ทั้งกินพร้อม นอนพร้อม แต่งหน้าทำผมพร้อม ซึ่งเธอมักจะตื่นเต้นและกังวลใจอยู่บ่อย ๆ จึงเลือกลาออกไปทำงานเป็น Marketing Executive ของบริษัทเครื่องสำอางญี่ปุ่น มีเจ้านายเป็นชาวญี่ปุ่น ได้เรียนรู้เรื่องการจัดการธุรกิจ การทำเนื้อหาลงนิตยสาร ทำงานกับเอเจนซี่โฆษณา ทำอยู่ 2 ปีก็ตัดสินใจลาออกไปเรียนต่อ MBA ที่เบอร์ลิน เพราะอยากรู้เรื่องธุรกิจให้มากขึ้น และอยากไปใช้ชีวิตในยุโรปบ้าง

“เราเน้นเรื่องการใช้งาน ไม่ต้องหรูหราฟู่ฟ่า ใช้งานได้ก็โอเคแล้ว” ทรายพูดถึงความเป็นเยอรมันที่ยังติดอยู่ในตัวเธอ กับอีกเรื่องคือการเคารพเพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมงาน วันหยุดของทีมงาน วันหยุดทุกคนควรได้ออกไปใช้ชีวิตอย่างที่ควรใช้

ทรายฝึกงานกับบริษัท Bosch ที่โตเกียว นั่นทำให้เธอค้นพบตัวเอง

“การอยู่ในบริษัทข้ามชาติใหญ่ ๆ เราเป็นฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ที่หมุนบริษัทได้น้อยมาก เราอยากทำสิ่งที่ช่วยได้มากกว่านี้ เลยอยากกลับมาทำงานที่บ้าน”

เมื่อเรียนจบ นักเรียนนอกเลยกลับมาทำงานที่โรงพิมพ์ภาพพิมพ์ ซึ่งได้รวมทั้งงานพิมพ์ของคุณลุงและงานไสกาวเข้าเล่มของคุณพ่อไว้ด้วยกันเป็นบริษัทเดียว โดยมี จ๊อก-ชัยพร อินทุวิศาลกุล ลูกชายของคุณลุงเป็นหัวเรือใหญ่

ทรายรับตำแหน่ง Sales & Marketing ทำงานการตลาด ทำเพจ ประชาสัมพันธ์ ประสานงานกับลูกค้าสำนักพิมพ์ดัง ๆ มากมาย เช่น openbooks กำมะหยี่ ไต้ฝุ่น สวนเงินมีมา เป็นช่วงเวลาที่เธอสะสมความรู้และประสบการณ์ในการพิมพ์หนังสือไว้แบบเต็มปรี่

“เราเคยเห็นแม่กับลุงทำงานด้วยกัน พ่อกับแม่ด้วย พ่อเถียงแม่ไม่ค่อยจะชนะ มันทำให้เรารู้ว่าจะไม่ทำงานกับพี่น้องหรือคนในครอบครัว ในการพบปะสังสรรค์กับครอบครัว ความเครียดจากการทำงานที่เอามารวมกับความสัมพันธ์ในครอบครัวบางครั้งแยกกันไม่ออก ตอนเด็ก ๆ จึงเห็นภาพการทะเลาะโกรธเคืองกันบ้างเวลากินข้าวกัน แต่ตอนทำงานกับพี่จ๊อกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ห่างกันปีเดียว เขาฟังเราพอสมควร คุยเหมือนเพื่อนกัน ใช้ข้อดีของครอบครัวคือมีความตั้งใจดีต่อกัน เลยทำงานร่วมกันได้”

ทรายทำงานที่ภาพพิมพ์เข้าปีที่ 5 พร้อมกับสะสมความอ่อนล้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งแต่งงาน ตั้งท้อง พอถึงช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนคลอด เธอถึงหยุดงาน และจากนั้นไม่นานเธอก็ตัดสินใจลาออก

1 ปีก่อนจะตั้งท้องลูกคนแรก ทรายอยากลองพิมพ์หนังสือขายในนามสำนักพิมพ์ตัวเองสักเล่ม โดยไม่ได้มีแนวทางไหนเป็นพิเศษ เธอเลือกหาหนังสือจากร้านคิโนะคูนิยะ แล้วก็ไปถูกใจกับคู่มือการจัดบ้านของ มาริเอะ คนโดะ พอติดต่อไปก็พบว่ามีคนซื้อลิขสิทธิ์ไปแล้ว จึงต้องหาเล่มใหม่แล้วก็มาสำเร็จกับ หนังสือที่มีชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า 66 คำพูดที่ทำลายความมั่นใจลูก แม่อย่าพูดนะ ซึ่งสายส่งแนะนำให้เปลี่ยนชื่อใหม่ให้ละมุนละไมขึ้นเป็น พูดกับลูกสไตล์คุณแม่ญี่ปุ่น

ทรายใช้ประสบการณ์และเครือข่ายที่รู้จักตอนทำภาพพิมพ์ช่วยกันทำหนังสือเล่มแรกจนสำเร็จ โดยไม่มั่นใจเลยว่าจะประสบความสำเร็จ เธอคิดตลอดว่า ถ้าไม่รอดก็จะกลับไปทำงานโรงพิมพ์เหมือนเดิม แต่มันขายดี พิมพ์ 3 ครั้งในปีเดียว ส่วนหนึ่งเพราะพลังการแชร์ในโซเชียลมีเดีย และได้คุณหมอเด็กชื่อดังที่เธอเคยช่วยทำหนังสือตอนอยู่ภาพพิมพ์มาช่วยเขียนคำนิยมให้

ช่วงแรกทรายเน้นพิมพ์หนังสือที่ตรงกับความสนใจของเธอในขณะนั้นคือแนว Parenting หรือ วิธีเลี้ยงลูก เน้นไปที่หนังสือเกี่ยวกับการกิน การนอน และสมอง แล้วเธอก็ได้หนังสือ คู่มือเลี้ยงลูก 0-3 ขวบ คู่มือตั้งครรภ์-คลอด ฝึกลูกนอนยาว สไตล์คุณแม่ญี่ปุ่น ที่ขายดีมากมาช่วยต่อสายป่านให้สำนักพิมพ์

วิธีการทำตลาดของเธอน่าสนใจ

“เราไม่ได้เข้าโรงเรียนเลย ช่วงนั้นมีคุณแม่ ๆ ที่อยู่ในกรุ๊ปไลน์ที่ลูกคลอดเดือนเดียวกัน กรุ๊ปหนึ่งมีหลายร้อยคน เป็นกรุ๊ปที่เขาจะแชร์โน่นนี่ ซื้อของด้วยกันในจำนวนมาก ๆ จะได้ส่วนลด เขาก็บอกต่อกันแล้วรวมยอดก้อนใหญ่สั่งซื้อมา เราได้ยอดจากกลุ่มนี้เยอะมาก สิ่งที่มากกว่ายอดขายคือเราได้อ่านความคิดเห็น ฟีดแบ็กโดยตรงจากแม่ ๆ ทั้งหลายที่อ่านหนังสือของเรา”

หนังสือภาพไม่เหมือนหนังสือนิทาน

นิทาน คือเรื่องเล่าที่มีภาพประกอบ ไม่ต้องดูภาพ อ่านแค่ตัวหนังสือก็รู้เรื่อง

แต่หนังสือภาพ ภาพคือเนื้อหาสำคัญ เราไม่มีทางเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ด้วยการอ่านตัวหนังสืออย่างเดียว บางเรื่องมีแต่ภาพ ไม่มีตัวหนังสือเลยด้วยซ้ำ มีมากมายหลายแนว แต่ที่สำนักพิมพ์ SandClock Books สนใจ คือหนังสือภาพสำหรับเด็ก

ทรายสนใจหนังสือภาพสำหรับเด็กครั้งแรกตอนที่ลูกคนแรกอายุสัก 2 – 3 ปี เธอสั่งซื้อหนังสือภาพภาษาญี่ปุ่นมือสองจากออนไลน์มาอ่านให้ลูกฟัง เพราะรูปลักษณ์ เนื้อหาที่น่าสนใจ อยากให้ลูกคุ้นเคยกับภาษาญี่ปุ่นบ้าง และเธอว่ามันเป็นหนังสือราคาประหยัดที่ตกเล่มละ 50 – 100 บาท เรื่องดี ภาพสวย คุณภาพเกินราคา 

“เราชอบความละมุนของภาพ ของเรื่อง มันอ่อนโยนกับคนอ่าน อาจเพราะเราเลือกอ่านแต่หนังสือกลุ่มนี้ก็ได้” ทรายพูดถึงความรู้สึกของเธอที่มีต่อหนังสือภาพมือสองชุดแรกที่ซื้อ

จากนั้นเธอก็เริ่มอ่านหนังสือภาพของไทย นั่นทำให้เธอเห็นว่าเนื้อหาที่มีในตลาดนั้นไม่หลากหลายเอาเสียเลย ปี 2020 ทรายจึงลองทำหนังสือภาพสำหรับเด็กบ้าง

“ความยากคือเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ค่อยเปิดรับสำนักพิมพ์ใหม่ง่าย ๆ ต้องทำให้เขามั่นใจในคุณภาพการพิมพ์ของเรา สุดท้ายเราก็ทำสำเร็จ เล่มแรกคือ รถไฟแปรงสีฟัน ที่ซื้อลิขสิทธิ์ได้ก็เพราะเคยมีสำนักข่าว NHK WORLD-JAPAN ในไทยมาขอสัมภาษณ์ ทำสกู๊ปเกี่ยวกับหนังสือญี่ปุ่นในไทย มีการตามไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองด้วยว่าทำไมถึงซื้อหนังสือ SandClock Books ตอนติดต่อเราก็ส่งลิงก์นี้ไปด้วย อาจเพราะเหตุผลนี้ด้วย เขาก็เลยขายลิขสิทธิ์ให้” ทรายเล่าถึงโชคชะตาที่เข้าข้างเธออีกครั้ง

หนังสือคือกระจกสะท้อนตัวตนของบรรณาธิการสำนักพิมพ์

“เรารักความเป็นเด็ก ชอบความสนุก ทุกวันนี้ลูกอยู่ในวัยที่เล่นกีฬาได้หลากหลายขึ้น เราได้ไปตีแบดมินตัน ตีปิงปอง ไปเดินเขากับลูก ปีที่แล้วได้ไปลองโดดบันจี้จัมป์เป็นครั้งแรก อันไหนที่เราไม่ได้ทำสิ่งนี้ในวัยเด็กก็มาลองทำตอนนี้ จะเรียกว่ามีความเป็นเด็กหรือเอาแต่ใจตัวเองก็ได้นะ การตัดสินใจลาออกมาทำสำนักพิมพ์ก็บ้าเหมือนกัน เงินก็ไม่มีนะ พ่อแม่เราไม่ได้มีมรดกอะไรให้ นี่คือข้อดีที่ส่งให้เราต้องสู้ชีวิตเยอะ ๆ เราเอาโบนัสก้อนสุดท้ายที่ได้จากโรงพิมพ์มาเป็นค่าพิมพ์หนังสือเล่มแรก ถ้าตอนนั้นแป้กก็คือจบ”

ทรายชอบความหลากหลาย มันทำให้เธอรู้สึกไม่โดดเดี่ยว เธอชอบเที่ยวคนเดียว ชอบไปในที่ที่คนไม่ไป ได้เรียนรู้ชีวิตผู้คนที่แตกต่าง เหตุผลหนึ่งที่ชอบเรียนภาษาก็เพราะจะได้เข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรมของคน พอมาทำหนังสือก็สนุกที่จะดึงสิ่งเหล่านั้นมาให้คนไทยได้อ่าน

เธออยากพิมพ์งานที่หลากหลายให้คนได้เลือก

เช่นเดียวกับอยากให้ลูกได้เลือกชีวิตของตัวเอง

“เราอยากให้ลูกเป็นตัวของเขาเอง อยากทำอะไรก็ทำ พี่เอ๋ CLEO (สุพิชา สอนดำริห์) บอกว่าเห็นไฟในตาเรา เห็นความสนุกในสิ่งที่เราทำตลอดเวลา เราอยากให้ลูกมีไฟแบบนั้นในชีวิตของเขา และเราไม่อยากให้มันดับลงเพราะต้องทำสิ่งที่ครอบครัวบังคับ

“ขอบคุณสามีที่เป็นลมใต้ปีกที่สนับสนุนเราทุกอย่าง เพราะเขาก็มีธุรกิจครอบครัวจึงเข้าใจว่างานที่บริหารจัดการคนเดียวมันเหนื่อยแค่ไหน หน้าที่ดูแลลูกเลยเป็นของทั้งเราและเขาไปพร้อม ๆ กัน ไม่ได้เกี่ยงว่าต้องเป็นแม่เพียงคนเดียว เรามาถึงจุดนี้ไม่ได้แน่ ๆ ถ้าคนข้าง ๆ ไม่เข้าใจ”

ทรายบอกว่าเธอคงได้บุคลิกบางอย่างมาจากพ่อ ชายผู้มากไปด้วยเสน่ห์ ตลก คุยเก่ง ถนัดงานสวนปลูกต้นไม้เก่ง ชำนาญงานช่าง พ่อชอบอ่านหนังสือทุกชนิด นวนิยาย เรื่องราวประวัติศาสตร์ ความรู้รอบตัว แทบทุกมุมของโลก พ่อตอบได้ทุกอย่าง หลาน ๆ ชอบมาเล่นด้วย เพราะชอบให้ประดิษฐ์ของ ให้หลานได้ลองทำงานไม้ ขึ้นรถเดินทางไกล 5 – 6 ชั่วโมง ก็เอนเตอร์เทนหลาน ๆ ได้ตลอดทาง อย่างชั้นไม้ที่วางขายหนังสือในงานหนังสือต่าง ๆ ก็เป็นงานไม้ที่พ่อทำเอง 

“เราได้มรดกจากพ่อเป็นความเอนจอยชีวิต เอนจอยความหลากหลาย เราเพิ่งลองขับรถขึ้นเขาครั้งแรกในวัย 40 พ่อนั่งข้างหลัง เราถามว่าเปลี่ยนเกียร์ยังไง เขาบอกว่าให้ฟังเสียงเอาเองว่ามันตื้อหรือยัง เขาจะไม่บอกว่าให้ตบเกียร์ได้แล้ว ให้เราลองทำและรับผลจากสิ่งนั้น และเขามีวิธีมองโลกในแง่ดีเสมอ

“ส่วนลูกได้ความร่าเริงกับความสดใสเป็นมรดกไปจากเรา เขาเพิ่งจะ 7 ขวบ ยังเห็นอะไรไม่ค่อยชัดหรอก ในแง่หนึ่งเขาก็เริ่มมีความขบถกับเรา นี่มันตัวฉันชัด ๆ นี่นา” คุณแม่หัวเราะ 

หนังสือภาพของ SandClock Books ไม่จบด้วยการสรุปบทเรียนสอนใจเหมือนนิทานจำนวนมาก

“มันเป็นความตั้งใจที่จะเว้นไว้ให้คนอ่านตีความด้วยตัวเอง เหมือนการเลี้ยงที่เรียกว่ามอนเตสซอรี (Montessori) ที่บอกว่าพ่อแม่ลองจัดสภาพแวดล้อมที่เชื้อเชิญให้เด็กอยากลองทำด้วยตัวเอง เช่น ลูกกำลังผูกเชือกรองเท้าก็จะช่วยครึ่งหนึ่ง ผูกปมแรกให้แล้วเฝ้ารอดูเขาผูกต่อด้วยตัวเอง ผู้ใหญ่ค่อย ๆ ถอยออกมาให้เขาเรียนรู้ว่าการทำด้วยตัวเองเป็นยังไง 

“การอ่านหนังสือก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่านี่คือหนังสือที่สอนเรื่องการไม่แกล้งเพื่อน ถ้ารู้ก่อนไม่สนุก เราจะไม่ใส่คำพวกนั้นบนหน้าปก ทำให้เหมือนต้นฉบับจากภาษาต่างประเทศที่สุด เราอยากให้เหมือนการดูหนังสักเรื่องที่จะได้เปิดหนังสือแล้วตื่นเต้นไปพร้อม ๆ กัน”

อย่างที่ทรายว่า เราคงไม่จำเป็นต้องสรุปชีวิตของเธอหรือสำนักพิมพ์ SandClock Books ออกมาเป็นบทเรียนสอนใจ เพราะมันคงจะดีกว่า ถ้าจะเลือกตั้งคำถามและหาคำตอบในจุดที่เราสนใจด้วยตัวเอง

เราทิ้งท้ายการสนทนาด้วยเรื่องตรานาฬิกาทราย

“มันคือการเดินทางของเม็ดทราย ผ่านช่วงเวลา เราเคยมีบล็อกชื่อ Sand Journey เราอยากให้มีชื่อตัวเองอยู่ในนั้น เราชอบคำว่า เวลา มันเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป เราย้อนเวลาไม่ได้ เราชอบนาฬิกาทราย เราชอบชื่อนี้ เวลาที่คุณอยู่กับลูก มันร่วงไปแล้ว พรุ่งนี้ลูกโตขึ้น คุณชวนเขานั่งตักอ่านนิทาน เขาจะลุกหนีไปอ่านเองแล้วนะ”

ถ้ายังมีเวลา ก็น่าหยิบหนังสือสักเล่มมาอ่านให้ลูกฟัง

Website : sandclockbooks.com

Writer

ทรงกลด บางยี่ขัน

ทรงกลด บางยี่ขัน

ตำแหน่งบรรณาธิการโดยอาชีพ เป็นนักเดินทางมือสมัครเล่น แบ่งเวลาไปสอนหนังสือโดยสมัครใจ และชอบจัดทริปให้คนสมัครไป

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล