ในขนมปังมีแอลกอฮอล์ตกค้างจากการหมักด้วยยีสต์เพื่อให้แป้งขึ้นฟูอยู่ด้วย แต่อยู่ในระดับต่ำมาก ๆ เลยไม่นับว่าเป็นเอทานอล แต่เดี๋ยวก่อน การขึ้นฟูของขนมปังเกี่ยวยังไงกับบทความนี้ล่ะ

คำตอบคือตอนนี้เราอยู่ที่ ‘Skål : Sober Bar & Concept Store’ บาร์แอลกอฮอล์ 0% ที่มีระดับแอลกอฮอล์ต่ำพอ ๆ กับขนมปัง และยังเป็นบาร์ของทุกคน เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เพศไหน อายุเท่าไหร่ ดื่ม-ไม่ดื่ม ก็มาเอนจอยที่นี่ได้

เกือบ ๆ 11 นาฬิกา ที่หมู่บ้านสัมมากร 2 เบื้องหน้าของเราคือบ้านที่ทาด้วยสีฟ้าและเหลือง ซึ่งเป็นสีของธงชาติสวีเดน พร้อมตกแต่งสไตล์ Colorful Nordic มีรูปวาดเส้นแหลมชื่อ ‘Kiki’ กับโค้งหยักชื่อ ‘Bouba’ แอบบอกไว้ก่อนเลยว่าอีกเดี๋ยว 2 ชื่อนี้เขาจะมีความเกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มด้วย

ทันทีที่ผลักประตูเข้ามาด้านในก็ราวกับหลุดไปอยู่ในบาร์ยามค่ำคืน มีเพลงแจ๊สดังคลอเบา ๆ ภายใต้แสงสีส้มนวล เป็นระดับความสว่างที่ชวนให้เปิดเปลือยความคิดและเรื่องราวต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ขวามือคือเคาน์เตอร์บาร์ที่มีเครื่องดื่มกับอุปกรณ์ของ Mixologist จัดวางอย่างเป็นระเบียบ โดยมี โอ๊ค-กรณัฐ ธรรมอำนวยสุข Liquid Chef ประจำสโคล และ วี-วีรี ยมจินดา คอยต้อนรับเราอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์อย่างเป็นกันเอง  

โอ๊คและวีไม่เพียงมาในฐานะเจ้าของร้าน แต่ยังเป็นมิชชันนารีผู้ส่งมอบความเข้าใจเรื่องเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ให้กับเราตลอด 2 ชั่วโมง ด้วยหวังว่าสักวันเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์จะได้รับการยอมรับให้เป็นเครื่องดื่มทางเลือกของคนไทยโดยไม่ต้องชูเรื่องการรักสุขภาพ

เสียงเขย่าเชกเกอร์และเสียงไม้คนกระทบน้ำแข็งกับแก้วดังป๊อกแป๊กอยู่สักพัก Placebo Effect หรือประสบการณ์เมาทิพย์จึงถูกเสิร์ฟให้พวกเราทีละแก้ว

SHOT 01 : SIP

‘I don’t use alcohol to be happy ’cos life is far better without hangovers’ – ข้อความบนตู้แช่

Skål อ่านว่า สโคล เป็นภาษาสวีเดน มีความหมายว่า ชนแก้ว ไม่ว่าจะชนด้วยน้ำเปล่าหรืออะไรก็ตาม และยังเป็นคำเดียวกันกับที่ให้ความหมายว่า เห็นด้วย สโคลจึงถูกหยิบมาเป็นชื่อของที่นี่ เพื่อเปรียบเปรยว่าการชนแก้วไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในตอนกลางคืน เพียงมีความเห็นตรงกัน ก็ชนแก้วได้ตลอดเวลาโดยไม่จำกัดเครื่องดื่ม

โอ๊คแนะนำ Skål : Sober Bar & Concept Store กับเราว่ามันคือ Non-alcoholic Wine Tasting Room ที่มีเป้าหมายในการสร้างความเข้าใจในคำว่า Non-alcoholic เครื่องดื่ม 0% แอลกอฮอล์ให้เป็นเครื่องดื่มทางเลือกที่เข้าถึงทุกคนได้โดยง่าย 

แม้เครื่องดื่มของเขาจะหวานน้อย แคลอรีต่ำ มีโพรไบโอติกส์ ทั้งยังทำจากพืชหลายชนิด หมักออกมาเป็นรสชาติที่มีความซับซ้อนพอ ๆ กับการดื่มแบบมีแอลกอฮอล์ แต่โอ๊คเลือกที่จะให้ค็อกเทลของเขามีสุขภาพดีเป็นของแถมมากกว่า   

“จริง ๆ สิ่งที่ Connect People แล้วหลายคนมองข้าม คือเรื่องราวและเรื่องเล่าที่พวกเขาได้นั่งคุยกันต่างหาก” 

SHOT 02 : MISSIONARY IN SOBER BAR 

ย้อนกลับไปปี 2006 ปีที่โอ๊คเริ่มค้นหาตัวเอง 

ด้วยพ่อเป็นนักการทูต ตลอดชีวิตของโอ๊คจึงต้องโยกย้ายไปหลาย ๆ ประเทศ ถึงจุดหนึ่ง ชีวิตของเขาเริ่มไร้มิตรสหาย เพราะรู้จักกันทีก็ต้องย้ายไปอีกแล้ว โอ๊คจึงเริ่มหาจุดโฟกัสให้กับตัวเอง สิ่งที่เขาสนใจในตอนนั้นมีเพียงดนตรีและอาหาร 

“ดนตรีมันอิสระ ส่วนอาหารก็น่าสนใจและท้าทาย แต่เราทำอาหารไม่ได้เพราะเราไม่ชอบห้องสี่เหลี่ยมที่มีคนเยอะ ๆ จนหันมาสนใจเครื่องดื่ม” 

เรือลำใหญ่ในประเทศสวีเดน คือจุดเริ่มต้นบทบาท Liquid Chef ของโอ๊ค 

“เราเข้าไปเรียนในนั้น เปิดเข้าไป ข้างหน้าเป็นโต๊ะคาสิโน ซ้ายคือนักมายากล ขวาคือบาร์ เรามานั่งคิดทบทวนกับตัวเอง ถ้าเรียนมายากลจะเกิดอะไรขึ้นกับเราตอนกลับมาเมืองไทย ถ้าเป็นเจ้ามือก็น่าจะดี แต่เราต้องเข้าไปสายเทาถึงดาร์กจริงเหรอวะ เลยเลือกไปทางบาร์ เพราะยังมีความคิดอยากเป็นเชฟอยู่”

เมื่อทราบจุดหมาย โอ๊คตัดสินใจเรียนต่อที่ Stockholm BarAkademi ด้าน Art in Master Mixology และ Scandinavian Wine Academy : WSET Level 1 & 2 Award in Wine & Spirit ในทันที แต่เรื่องพลิกผันก็เกิดขึ้น เมื่อโอ๊คกลับมาเมืองไทยแล้วพบว่าตนแพ้แอลกอฮอล์ 

นั่นเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาหันมาจับเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ 

“เราเรียน Wine Sommelier มา ก่อนหน้าเรายึดติดว่าไวน์ต้องทำมาจากองุ่นเท่านั้น แต่ตอนนี้เรามองไวน์เป็นขั้นตอน เช่น เราเอาองุ่นไปหมักคือไวน์ เอาบ๊วยไปหมักคือเหล้าบ๊วย เอาข้าวไปหมักในไทยคือสาโท เรากำลังมองทิศทางนี้

“และเรียนด้าน Wine & Spirit เป็นการเรียนด้านการกลั่นเหล้าต่าง ๆ มาด้วย เราเลยทำพวก Gin หรือ Whiskey แบบ Non-alcoholic ออกมาสำหรับ 0% Cocktail” 

SHOT 03 : Kiki and Bouba

กลับสู่ปัจจุบัน เบื้องหน้าของเราคือ ไวน์ 4 ชนิดเรียงจากซ้ายไปขวา คือ ไวต์ไวน์ โรเซ่ไวน์ เรดไวน์ และสปาร์กลิงไวน์ วางคู่กับสแน็ก 4 อย่าง โอ๊คบอกกับเราว่านี่คือการเตรียมตัวเข้าสู่บทเรียนการจับคู่รสชาติ ของ Non-alcoholic Wine Tasting  

พวกเขาให้ความรู้เรื่องไวน์แต่ละชนิด เพิ่มความน่าสนใจให้กับเราด้วยการมอบ Taste Note เอาไว้ขีดเขียนแลกเปลี่ยนรสชาติ จากนั้นจึงแนะนำให้เรารู้จักกับสมาชิกที่จะมาช่วยอธิบายสัมผัสของไวน์ให้กับเรา

“Kiki คือความแหลม คม ส่วน Bouba คือความอ่อนช้อย ละมุน” นี่คือเจ้าก้อนไหมพรมที่ห้อยอยู่บนขวดไวน์

“ไวน์ปกติจะไม่ใส่น้ำแข็ง แต่เราใส่น้ำแข็งเพื่อให้รสชาติกลมกล่อมและดื่มง่ายขึ้น ไวน์พวกนี้จะเรียกว่า ‘Glou Glou’ เป็นเสียงดื่มแบบฝรั่งเศสที่แปลว่า ดื่ม ๆ ไปเถอะ” 

เริ่มต้น Testing ต้องเรียกอินเนอร์ด้วยการไขว้ขา พร้อมเริ่มต้นแก้วแรกด้วยการคนแก้วก่อนลิ้มรสไวน์ ไวน์ตัวแรก คือ ไวต์ไวน์ ทานคู่กับ Dark Chocolate Sea Salt และ Meringue เป็นรสชาติที่ซับซ้อน มีทั้งเปรี้ยว ขม และกลิ่น Botanics โทนสีขาวและเหลืองหลายชนิด เช่น คาโมมายล์ ออสแมนตัส เป็นต้น วีบอกกับเราว่า ไวต์ไวน์เป็นไวน์ที่หลาย ๆ คนซื้อกลับบ้าน

ตัวถัดมา คือโรเซ่ไวน์ ทานคู่กับ Orange Cookie and Truffle ตัวนี้เราจะได้ไวบ์ของอิตาเลียน ส่วนผสมของเครื่องดื่มมีหลายชนิด ในฝั่งดอกไม้ กุหลาบจะขึ้นนำ ส่วนฝั่งสมุนไพร ไทม์จะขึ้นนำ

ไวน์อีก 1 ตัวที่เราคงได้ยินกันคุ้นหู คือเรดไวน์ โดยโอ๊คเสริมกับเราว่าก่อนดื่ม ต้องทานสแน็กก่อนเพื่อรสชาติที่ดีมากยิ่งขึ้น ตัวไวน์มีความ Fruity จากแครนเบอร์รี ทานคู่กับคุกกี้ลำไย 

มาถึงตัวสุดท้าย คือสปาร์กลิงไวน์ โอ๊คเลือกตัวที่มีสัมผัสของบีตรูตค่อนข้างสูง มีความ Earthy ด้วยกลิ่นดิน อีกทั้งยังมีสมุนไพรผสม

อีกหนึ่งไฮไลต์ของสายกาแฟคือ Stout Coffee Cocktail เป็นเครื่องดื่มขายดีที่สุดของร้าน และเป็นกาแฟเพียงหนึ่งเดียวในเมนู

เรียกว่าเป็นวีแกนของวงการแอลกอฮอล์ได้ไหม – หนึ่งในทีมงานของเราสงสัย 

“มันคือสิ่งนั้น ถูกต้อง แต่เรียกว่าแอลกอฮอล์แบบ Vegetarian ดีกว่า” 

เราจิบเครื่องดื่มอีก 2 อึก สัมผัสถึงรสชาติปลายแหลมและความซับซ้อนของมัน ก่อนจะรับรู้ถึงความคิดที่เฉียบคมมากขึ้น เปิดกว้าง และมีความมั่นใจภายใต้สติที่ครบถ้วนสมบูรณ์ 

โอ๊คอธิบายกับเราว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Placebo Effect หรือการเมาทิพย์

“การเมาทิพย์ไม่จำเป็นต้องเมา มันคือเอฟเฟกต์จากการที่เราใช้สัมผัสทั้ง 5 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเสียง บรรยากาศ รูป สัมผัสในรสชาติที่มีความซับซ้อน มีความขมฝาด และกลิ่น ในช่วงแรกที่เราเริ่มดื่ม ร่างกายไม่รู้ว่าในเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ไหมเพราะยังไม่เกิดการดูดซึม แต่สมองของเราประมวลแล้วว่าเราเมา” 

แต่การเมาทิพย์คงไม่เกิดขึ้นกับเราโดยง่าย หากขาดการสร้างบรรยากาศจากโอ๊คและวี

เพราะที่สุดแล้วเคล็ดลับความซับซ้อนของรสชาติยังมีอีก 1 กิมมิก คือน้ำหอมที่ฉีดลงไปในเครื่องดื่ม วีบอกกับเราว่าเขาฉีดเพื่อเปลี่ยน Mood และเพิ่มลูกเล่นที่น่าสนใจ เปรียบได้กับทีเซอร์หนังที่ปลุกให้เราตื่นเต้น โดยน้ำหอมตัวนี้จะไม่รบกวนเครื่องดื่มและไม่เป็นอันตรายใด ๆ 

“จริง ๆ แล้วเครื่องดื่มของที่นี่ทุกตัวต่างก็เป็นซิกเนเจอร์ เพราะเป็นงานคราฟต์ ดังนั้น สิ่งที่เราทั้งคู่ทำได้คือถามผู้มาเยือนว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร พร้อมแนะนำทางเลือกให้กับพวกเขาอย่างดีที่สุด”

SHOT 04 : SOBER IN THE FUTURE

ตั้งแต่วันที่สโคลเปิดทำการ มีคนมากมายเดินทางมาที่นี่ ไม่ว่าจะมาเพื่อเรียนรู้ มาเพราะอยากลอง มากับครอบครัว หรือมาในแง่การคุยธุรกิจ ทำให้สโคลมีเรื่องราวของผู้คนหลากหลายบันทึกในความทรงจำของพวกเขา 

ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยากเอาชนะความอยากแอลกอฮอล์ คนที่เหนื่อยหน่ายกับชีวิตประจำวัน หรือจะเป็นผู้มากประสบการณ์บนโลกที่อยากมาลองย้อนอดีตกับหลาน ๆ เหล่านั้นทำให้โอ๊คและวีเล่าถึงเรื่องราวของพวกเขาด้วยแววตาระยิบระยับ

“เราจะสนุกมากกับกลุ่มที่ไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์มาก่อน” นั่นเพราะสโคลไม่ถูกมองเป็นร้าน แต่ถูกมองเป็นพื้นที่ให้ความรู้

เพราะการสร้าง Sober Space ผ่านหน้าร้านที่ใหญ่โตสวยงาม อาจทำให้การส่งต่อความเข้าใจใน Non-alcoholic ทำได้ยาก พวกเขาไม่อยากกลายเป็นร้านเดียวที่ผู้คนจะแห่แหนกันมาเรียนรู้

การทำให้ Non-alcoholic พบเจอได้ทุกที่ต่างหากที่เป็นความตั้งใจของเขา

“เราพยายามสร้างกระบวนการคิดว่าไวน์เป็นกระบวนการผลิต ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ เราพยายามสร้างพื้นที่ของการดื่ม Non-alcoholic ผ่านผลิตภัณฑ์” 

บนเคาน์เตอร์บาร์และในตู้แช่สโคล จึงมีเครื่องดื่มหลายยี่ห้อวางเรียงรายให้เราพบเห็น โดยมีเพียงไวต์ไวน์และเรดไวน์ที่เป็นของโอ๊ค เขาไม่กลัวว่าวันหนึ่งจะมีคนมาเปิด Sober Bar ในหมู่บ้านเดียวกัน กลับกัน เขารู้สึกยินดีที่ผู้บริโภคจะมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น 

“เรามองภาพรวมของประเทศไทยในอีก 10 ปี เราอยากเห็น Sober อยู่ในทุก ๆ ที่ แม้กระทั่งในมหาลัย มีคนเข้าใจ Non-alcoholic เพิ่มขึ้น คนรู้จักผลิตภัณฑ์ของพวกเรามากขึ้น แล้วคนดื่มแอลกอฮอล์น้อยลง นั่นคือความสำเร็จของเรา”

เพื่อนของเราแพ้แอลกอฮอล์ นักเขียนที่เขียนบทความนี้ 1 คน ก็แพ้แอลกอฮอล์ พวกเราจึงสนใจบาร์ไร้แอลกอฮอล์แห่งนี้มาก เพราะมีความหวังว่าอนาคตจะพาใครอีกหลาย ๆ คนมานั่งชิลล์ด้วยกัน

เราโบกมือร่ำลาโอ๊คและวีด้วยสติที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งยังจดจำทุกความรู้สึกและบทสนทนาได้อย่างชัดเจน หวนนึกดูแล้ววันนี้เราได้เรียนรู้และเข้าใจใน Non-alcoholic มากมาย ก่อนจะผลักประตูออกไปเจอกับแดดจ้าในตอนบ่าย 

อ้าว… สร่างเมาซะแล้ว