“คุณศิริบัญชา คุณเป็นใครกันแน่?”
“เป็นแอลกอฮอล์ไง! แอลกอฮอล์ศิริบัญชา ใช้เช็ดล้างทำความสะอาดบาดแผล ฆ่าเชื้อโรค ในขวดน้ำยาสีฟ้า ฉลากเหลืองแดง วันนี้มีแบบสเปรย์ ใช้ง่าย พกสะดวก”
เสียงกระชากไม่อ่อนโยนของคุณแอลกอฮอล์ศิริบัญชาไม่ได้ทำให้เราอยากเปลี่ยนช่องวิทยุหรือโทรทัศน์ แต่กลับทำให้เราอยากฟังต่อจนจบ ฟังแล้วฟังอีกจนจำขึ้นใจว่า ศิริบัญชาคือแอลกอฮอล์ฉลากเหลืองแดง
เพราะโฆษณาแอลกอฮอล์สุดดังชิ้นนี้ ทำให้เมื่อคนทั่วไปนึกถึงคำว่า ‘ศิริบัญชา’ จะคิดว่าเป็นแบรนด์แอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าศิริบัญชาเป็นทุกอย่างในชีวิตคนไทยไปแล้ว
เราต่อโทรศัพท์ตรงไปยังผู้บริหารของศิริบัญชา บุญฤทธิ์ กิจเจริญโรจน์ เภสัชกรผู้มีใบปริญญาในด้านการตลาดและบริหารประกอบ พูดคุยถึง 67 ปีของบริษัท การเป็นผู้ผลิตแอลกอฮอล์รายแรกๆ ของไทย เหตุผลที่คนมักคิดว่าศิริบัญชาผลิตแค่แอลกอฮอล์ เคล็ดลับที่ทำให้อยู่ยั้งยืนยง ไปจนถึงโครงการล่าสุดที่ศิริบัญชาตั้งใจให้คนไข้ที่จำเป็นต้องใช้แอลกอฮอล์ลงทะเบียนรับสิทธิ์ซื้อ
เมื่อพูดคุยกับบุญฤทธิ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เราจึงเข้าใจว่าทำไมศิริบัญชาอยู่ได้ยาวนานถึง 67 ปี ทั้งยังได้เห็นประสบการณ์การทำงานที่เข้มข้นผ่านคำพูดอันคมคายของเขา และได้รู้ว่าภายใต้น้ำสีฟ้าใสตัดกับฉลากสีเหลืองแดง ‘ศิริบัญชาไม่ได้เป็นแค่แอลกอฮอล์’
อย่ารอช้า มาล่องธารน้ำสีฟ้ากันเถอะ
จากเภสัชกรร้านขายส่งยา สู่การเป็นผู้บริหารศิริบัญชา
เราเริ่มบทสนทนาอย่างง่ายๆ ด้วยการถามถึงชีวิตก่อนการบริหารศิริบัญชา บุญฤทธิ์จึงเริ่มย้อนอดีตให้ฟังว่า แรกเริ่มเดิมที บริษัท ศิริบัญชา จำกัด ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2496 โดย นายแพทย์กมล ลิขนจุล เพื่อผลิตเวชภัณฑ์ให้กับโรงพยาบาลและร้านขายยาทั่วประเทศ ผลิตภัณฑ์ยาช่วงนั้นมีเพียง 2 – 3 ตัว โดยตัวยาที่โด่งดังคือ ยากระเพาะหมอกมล
เมื่อบุญฤทธิ์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาก็เข้ามารับช่วงต่อกิจการร้านขายส่งยาของครอบครัวที่ทำมายาวนาน และหลังจากทำได้ประมาณ 10 ปี นายแพทย์กมล เจ้าของและผู้ก่อตั้งแบรนด์ก็ยื่นข้อเสนอให้บุญฤทธิ์ซื้อกิจการต่อ เภสัชกรผู้มองการณ์ไกลจึงเริ่มสวมสูทนักธุรกิจเข้ามาบริหารตั้งแต่ พ.ศ. 2526 ซึ่งถือเป็นปีที่ 30 ของกิจการนับตั้งแต่ก่อตั้ง
จนถึงปัจจุบัน บริษัทศิริบัญชาอยู่ภายใต้การบริหารของบุญฤทธิ์มา 37 ปี แล้ว
“ตอนนั้นยังไม่เห็นแนวทางการทำบริษัทมากนะ คิดแค่ว่าเราทำร้านขายยาอยู่ ถ้ามีโรงงานผลิตเองให้ครบวงจรก็น่าจะดี” ปลายสายบอกกับเราด้วยเสียงเรียบง่ายแต่ดูเเข็งขัน พร้อมเล่าถึงที่มาของชื่อศิริบัญชาให้ฟังว่า ชื่อนี้เป็นชื่อที่นายแพทย์กมลเป็นผู้ตั้งมาแต่เดิม ด้วยเคยทำงานที่โรงพยาบาลศิริราช และเพราะคำว่า ‘ศิริ’ พ้องเสียงกับคำว่า ‘สิริ’ ที่แปลว่า มงคล บริษัทผลิตเวชภัณฑ์แห่งนี้จึงได้ชื่อ ‘ศิริบัญชา’ มาประดับ
“พอเราเข้ามาเป็นเจ้าของก็ไม่คิดจะเปลี่ยนชื่อบริษัทนะ เพราะฟังแล้วก็ดูขลังดี” เป็นเช่นบุญฤทธิ์ว่า แต่ความขลังอย่างเดียวหรือเปล่าที่ทำให้ที่นี่อยู่ยั้งยืนยงจนถึงปัจจุบัน
หลังจากนี้เราจะชวนทุกคนมาตอบคำถามว่า “คุณศิริบัญชา คุณเป็นใครกันแน่?” ตามคำโฆษณากัน
เป็นทุกอย่างให้คนไทยแล้ว
“คุณศิริบัญชา คุณเป็นใครกันแน่?” เสียงโฆษณายังก้องอยู่ในหัวเราไม่หยุด เราตอบกลับคำถามนั้นในหัวทันทีว่า “เป็นทุกอย่างให้เธอ (คนไทย) แล้ว”
เพราะจากบริษัทศิริบัญชาที่มียาอยู่เพียง 2 – 3 ตัว เมื่อมาอยู่ในมือของบุญฤทธิ์ เขาแตกแขนงการผลิตให้แบ่งออกเป็น 4 แผนก คือ แผนกยาแผนโบราณ ยาแผนปัจจุบัน อาหารเสริม และแผนกเครื่องสำอาง
ทำไมจึงต้องแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เยอะขนาดนั้น การสร้างบริษัทด้วยผลิตภัณฑ์ไม่กี่ชิ้นน่าจะง่ายกว่าไหม
“โดยรวมของเราคือการสร้างยาสามัญประจำบ้านภายใต้ชื่อบริษัทศิริบัญชา เช่น ถ้านึกถึงการฆ่าเชื้อ ก็จะนึกถึงยาแดงทิงเจอร์ ไฮโดรเจน และแอลกอฮอล์ ถ้าเรามีสินค้าครบ เวลาเขานึกถึงยา เขาจะได้นึกถึงเรา” นี่คือโจทย์การบริหารหลักของเขาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
แล้วทำไมคนจึงมักคิดว่าศิริบัญชาเป็นเพียงแบรนด์แอลกอฮอล์ฉลากสีเหลืองแดง เราสงสัย
“เพราะแอลกอฮอล์เป็นสินค้าธงของเรา เหมือนกับจรวดที่มีส่วนหัว ลำ และหาง ส่วนหัวคือแอลกอฮอล์ที่ต้องนำไป เราสร้างสิ่งนี้ให้เป็น Single Mind สำหรับผู้บริโภค เวลาที่นึกถึงแอลกอฮอล์ศิริบัญชา ก็จะได้นึกถึงสินค้าตัวอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อเช่นเดียวกัน ได้ผลพลอยได้ไปเป็นทอดๆ”
ดังที่เขาว่า เราจึงมักได้ยินได้ฟังโฆษณาสินค้าของศิริบัญชาอยู่ไม่กี่ตัว ทั้งๆ ที่ศิริบัญชามีผลิตภัณฑ์ยาเยอะมาก ถ้าเป็นยาแผนโบราณเรามักจะเห็นโฆษณาผงแป้งหรือยาน้ำแก้ไอตราโยคี (ใช่แล้ว โยคีก็เป็นของศิริบัญชานะ) ส่วนของการฆ่าเชื้อก็ต้องตอกย้ำคนไทยไปจนฝังใจว่า ‘ศิริบัญชาทำแอลกอฮอล์’
เป็นแบรนด์แอลกอฮอล์แบรนด์แรกๆ ของไทย
เมื่อเข้ามาบริหารศิริบัญชาได้สักพัก ยาประเภทต่างๆ ก็มีแล้ว แต่ศิริบัญชายังไม่มีแอลกอฮอล์ที่ทั้งโรงพยาบาลและลูกค้าทั่วไปต้องการ ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่แทบไม่มีบริษัทผลิตแอลกอฮอล์ในไทยเลย ด้วยความหัวไวของบุญฤทธิ์ เขาจึงปิ๊งไอเดียผลิตแอลกอฮอล์ภายใต้แบรนด์ศิริบัญชาขึ้น
“ตอนนั้นแอลกอฮอล์ที่มีขายตามท้องตลาดผลิตในไทยทั้งหมด แต่คู่แข่งมีน้อยมากเพราะวัตถุดิบในประเทศค่อนข้างหายาก แอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะใช้เอทิล แต่เพราะปัญหาด้านวัตถุดิบ เราจึงเลือกใช้ไอโซโพรพิลแทน ศิริบัญชาจึงเป็นบริษัทผลิตแอลกอฮอล์รายแรกๆ และเป็นบริษัทแรกที่ผลิตด้วยไอโซโพรพิล แต่สมัยนี้ก็เปลี่ยนมาใช้เอทิลแล้วนะ เพราะวัตถุดิบหาง่ายขึ้น”
นอกจากเขาจะหัวไว มองเห็นช่องทางธุรกิจ ทำให้ศิริบัญชาเป็นบริษัทผลิตแอลกอฮอล์รายแรกๆ ของไทย เขายังเข้ามาเปลี่ยนวงการผู้ผลิตแอลกอฮอล์ให้เริ่มเห็นความสำคัญกับการทำแบรนด์อีกด้วย
“โดยทั่วไป ถ้าคนสมัยก่อนจะไปซื้อแอลกอฮอล์ที่ร้านยา ก็แค่บอกว่าเอาแอลกอฮอล์ขวดหนึ่ง ซึ่งก็แล้วแต่ร้านว่าเขาจะหยิบของบริษัทไหนให้ เราจึงคิดว่าถ้าแบบนี้แอลกอฮอล์ก็เป็นแค่สินค้าทั่วไปสิ ทำไมไม่สร้างเเบรนด์ให้สินค้าล่ะ เวลาเขาซื้อแอลกอฮอล์จะได้บอกว่า ซื้อแอลกอฮอล์ศิริบัญชา ไม่ใช่แอลกอฮอล์หนึ่งขวด”
บุญฤทธิ์บอกกับเราถึงที่มาของแอลกอฮอล์ฉลากเหลืองแดงที่อยู่คู่คนไทยมานานแสนนาน ให้เราฟังอย่างสนุกสนาน คล้ายเขาได้ย้อนเวลากลับไปช่วงนั้นของชีวิต แถมยังเล่าต่อถึงที่มาฉลากสีเหลืองแดง และโฆษณาที่น้ำเสียงดุดันแต่ทำให้คนฟังจำขึ้นใจ
“เราเป็นคนแรกๆ ที่ติดฉลากผลิตภัณฑ์ เพราะอยากให้คนฟังนึกภาพออกเมื่อได้ยินโฆษณา พอเห็นฉลากสีเหลืองแดงปุ๊บ ไม่ว่าจะมองไกลๆ นั่งรถผ่าน วิ่งผ่าน หรือโยนขวดผ่าน ลูกค้าก็จะเชื่อมมาถึงชื่อ ศิริบัญชา อีกอย่างคือสองสีนี้ตัดกับน้ำยาสีฟ้าด้วย ช่วยให้ฉลากเด่น” คำพูดหนักแน่นแต่เจือเสียงหัวเราะของเขาทำให้เรารู้สึกสนุกที่ได้ฟังเรื่องเล่าของศิริบัญชา
เป็นบริษัทที่บริหารโดยเภสัชกรในคราบนักธุรกิจ ผู้สร้างโครงการให้สิทธิ์ซื้อแอลกอฮอล์สำหรับคนไข้
อย่างที่เห็นกันว่าหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ขาดตลาดในช่วงการระบาดหนักของ COVID-19 ทำให้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้อย่างโรงพยาบาล คนไข้ติดเตียง ผู้ป่วยโรคไต เบาหวาน ฯลฯ ลำบากเป็นอย่างมาก
เช่นเดียวกันกับทุกคน เราเห็นแบรนด์แอลกอฮอล์ฉลากเหลืองแดงรุ่นคุณปู่สุดจ๊าบแบรนด์นี้ออกมาประกาศตัวทางเฟซบุ๊ก และโด่งดังชั่วข้ามคืนว่าเปิดให้สิทธิ์ซื้อแอลกอฮอล์สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ บุญฤทธิ์คิดเห็นอย่างไร จากเหตุการณ์นี้ เขามองสถานการณ์ด้วยแว่นของคนทำธุรกิจหรือเภสัชกร
“สืบเนื่องมาจาก COVID-19 ความต้องการแอลกอฮอล์เพิ่มมากขึ้นเกือบสิบเท่า แต่กำลังการผลิตเรามีเท่าเดิม เราส่งไปตามร้านขายยากี่รอบก็หมดอย่างรวดเร็ว เรากังวลมากเพราะบางคนคิดว่าบริษัทกักตุนสินค้า ทั้งๆ ที่ส่งไปตามปกติ
“ปัญหาคือคนป่วยติดเตียง คนป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคไต หรือใครก็ตามที่มีความจำเป็นในการใช้ หาซื้อแอลกอฮอล์ไม่ได้ เราจึงคิดทำโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะขอสิทธิ์ในการซื้อ
“พูดด้วยความจริงใจ เราไม่เคยนึกถึงชื่อเสียงหรือหวังสร้างภาพ เราเพียงแต่เป็นห่วงและเจ็บปวดมากที่คนไข้ไม่มียารักษา แล้วยิ่งเขาต้องการใช้แบรนด์ของเรามันยิ่งเจ็บปวด นั่นคือจุดที่ทำให้เราสร้างโครงการนี้ขึ้นมา เรื่องการได้รับคำชมเป็นสิ่งที่มาทีหลัง ซึ่งเราก็ดีใจมากๆ”
บุญฤทธิ์พูดกับเราถึงความจริงใจและจริยธรรมเภสัชตลอดเวลา จนเราเชื่อว่าถึงแม้ทุกวันนี้เขาใช้ความเป็นนักธุรกิจบริหารศิริบัญชาเป็นหลัก แต่สิ่งที่เขาจะขาดไม่ได้และยึดไว้ในใจเสมอคือความเป็นเภสัชกร
“การบริหารโดยใช้สามศาสตร์นั้นคงไม่แตกต่างกันมาก แต่ความเป็นเภสัชกรช่วยเสริมเราและศิริบัญชาในแง่ของจริยธรรมเภสัชที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม เวลาเราบริหาร เราต้องนึกถึงตรงนี้ เเล้วก็นำมาผสมผสานกันเพื่อใช้เป็นแนวทาง โดยไม่ได้คิดถึงแค่เรื่องผลกำไร ขาดทุน แต่เราต้องคิดถึงคุณธรรมจริยธรรมที่ติดตัวอยู่เสมอและตลอดไปด้วย” บุญฤทธิ์ตอบเราทันทีโดยไม่ลังเล เมื่อถามถึงความเป็นเภสัชกรในตัวของเขา
เป็นบริษัทที่พัฒนาตลอดเวลา
อายุอานาม 67 ปีของศิริบัญชา หากเป็นมนุษย์เช่นเราๆ คุณศิริบัญชาก็ถือเป็นรุ่นปู่หรือพ่อของใครหลายคน แต่ใช่ว่าคนสูงอายุจะน้อยหน้าคนหนุ่มสาวเสียเมื่อไร เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป แอลกอฮอล์ซึ่งเป็นสินค้าธงของบริษัทก็มีคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งโลกก็เปลี่ยนไปทุกวัน แอลกอฮอล์และบริษัทรุ่นคุณปู่จึงต้องมีหลักสำคัญที่จะทำให้อยู่ยั้งยืนยง
“เราคิดว่าสินค้าทุกชิ้นย่อมมีคู่แแข่ง สิ่งสำคัญคือการพัฒนาและการปรับตัวให้เข้ากับโลกภายนอกที่เปลี่ยนไป เราต้องรู้จักเรียนรู้ความต้องการของตลาดว่าตลาดต้องการอะไร เพื่อที่จะได้พัฒนาสินค้าต่างๆ ให้ทันความต้องการ
“แบรนด์ก็เหมือนกับคนที่ต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลา มันมีวงจรชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย โลกของเราเปลี่ยนเร็วมาก สินค้าบางตัวจะมีอายุที่สั้นลง ถ้าเราไม่พัฒนา เวลาที่ยอดขายลดลง มันก็จะเริ่มแก่ เจ็บ และกลายเป็นกราฟระฆังคว่ำที่รอวันตาย ดังนั้น สินค้าที่อยู่นานๆ ได้ จะต้องมีการพัฒนาตลอด”
อย่างโลโก้และแพ็กเกจจิ้งของแอลกอฮอล์ บุญฤทธิ์ก็จัดการเพิ่มรูปลักษณ์ให้โฉบเฉี่ยว ปรับสีโมโนโทนสุดมินิมอลให้ดูทันสมัยขึ้น จากสีเหลืองแดงก็เปลี่ยนเป็นสีขาวที่ดูดีมีสไตล์ ทั้งยังเพิ่มคุณค่าให้แอลกอฮอล์ที่แต่เดิมใช้เช็ดล้างทำความสะอาดบาดแผลตามคำโฆษณา ให้กลายมาเป็นสินค้าที่พกพาไปได้ทุกที่ ทั้งแบบเจล แบบแผ่น หรือแบบสเปรย์ที่โฆษณาเมื่อ พ.ศ. 2561 ออกมาด้วยสโลแกน “ฆ่ามัน” ให้ใช้ฉีดฝาโถสุขภัณฑ์ ราวจับในรถสาธารณะ หรือแม้กระทั่งรถเข็นห้างสรรพสินค้า และล่าสุดมีสเปรย์แบบตลับช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ เข้ากับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่อาศัยความเร็วและสะดวกสบาย
สิ่งที่เราแอบจับได้จากการฟังเรื่องเล่าครั้งนี้ คือบุญฤทธิ์ไม่เพียงผลิตสินค้าตามความต้องการของตลาด แต่สร้างความต้องการใหม่ให้ตลาดด้วย
“เรานำเสนอว่า แอลกอฮอล์ไม่ได้มีประโยชน์แค่ตอนเป็นแผลนะ มันทำความสะอาดมือได้ เราจับโน่นจับนี่ก็มีสิ่งสกปรกอยู่ สิ่งนี้คือเรากำลังสร้างความต้องการใหม่ให้ผู้บริโภคว่านี่คือสิ่งจำเป็น ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนคนก็คงไม่คิดหรอก เราต้องให้ความรู้เขาว่ามันมีเชื้อโรคอยู่นะ คุณต้องมีสเปรย์หรือเจลแอลกอฮอล์ติดตัว”
เขายังเสริมอีกว่า ตอนนี้ศิริบัญชาอยากเพิ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานของลูกค้า สิ่งเหล่านี้คงสนุกใช่หยอก การันตีจากคำพูดของเขาเองว่า ไม่มีช่วงไหนของการทำงานที่ไม่สนุกเลย
นอกจากในด้านของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อีกสิ่งหนึ่งที่ศิริบัญชาให้ความสำคัญ และเราก็เห็นได้อย่างเด่นชัดคือโฆษณาของศิริบัญชา ที่ช่วงนี้เริ่มย้ายจากวิทยุมาเป็นโทรทัศน์ รวมถึงโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ในปัจจุบัน
เรากล่าวสวัสดีปลายสาย และขอกล่าวลาบทสัมภาษ์ครั้งนี้ด้วยข้อสรุปของเราว่า
ศิริบัญชาเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นสินค้าธง แต่ยังมีสินค้าอื่นๆ อีกมากที่วนเวียนและแทรกซึมไปในชีวิตผู้บริโภค แท้จริงสิ่งที่ทำให้ศิริบัญชาอยู่ยืนยาวคู่คนไทย ทั้งในแง่ของแอลกอฮอล์ฉลากเหลืองแดงสุดจี๊ดและตัวบริษัท คือความขลังของชื่อแบรนด์ไม่ได้มีผลมากเท่ากับแนวคิดในการบริหาร ที่ผสานความเป็นทั้งนักการตลาด นักบริหาร และเภสัชกร ผู้รู้จักเปลี่ยน ปรับ ขยับ ศิริบัญชา ให้กลายเป็นคุณปู่สุดจ๊าบทันหลานๆ ตลอดเวลา
Lesson Learnt
ทุกครั้งที่เราถามถึงปัญหาและบทเรียนที่ได้รับ บุญฤทธิ์สามารถตอบเราในทันทีทันใด อาจเพราะประสบการณ์การทำงานที่มากกว่าหลายสิบปี เขาจึงคิดว่าบทเรียนสำคัญจากการบริหารมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่สิ่งสำคัญคือการพัฒนาตนเองอยู่เสมอและการมองปัญหาแบบย้อนเกล็ด
“ถ้าเราไม่ทันโลก ถ้าเราไม่พัฒนา เราก็จะถอยหลังไปเรื่อยๆ เราจึงต้องเรียนรู้ว่าโลกปัจจุบันเป็นแบบไหน
“ปัญหามีเข้ามาตลอด การทำงานทุกงานเป็นสิ่งที่ยากลำบากทั้งหมด เพียงแต่เราจะมองในมุมไหนแค่นั้นเอง ยิ่งลำบากยิ่งท้าทายเรา หรือยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว ถ้าเรามองย้อนเกล็ด เราอาจจะมองว่านี่คือสิ่งที่ดี เพราะทำให้เราตื่นตัวเสมอและทำให้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เราจึงเชื่อว่า ปัญหามีอยู่ทุกเวลา อยู่ที่เราจะแก้มันยังไง และเชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก”