“ค่ะแม่ กระเป๋าเดินทาง 2 ใบ กระเป๋าลากขึ้นเครื่องสีแดงอยู่บนห้อง แม่อย่าลืมเอายาที่น้องแพ็กไว้ใส่ลงไปด้วย เอาน้ำพริกอะไรก็ได้ค่ะ ขอเยอะๆ เครื่องลงบ่าย 2 นะคะ แล้วเจอกันที่สนามบินค่ะ”  

ฉันต้องต่อสายด่วนหาแม่กะทันหัน หลักจากเกิดเหตุฉุกละหุกที่สนามบินประเทศฟิลิปปินส์ เกิดลมกระโชกแรง เครื่องบินหลายสายการบินลงจอดไม่ได้ และบางลำก็ขึ้นบินไม่ได้ เช่นลำที่ฉันโดยสารเป็นต้น

ฉันและริคเพิ่งจะหมดสัญญาร้องเพลงครั้งที่ 2 บนเรือส่วนตัวลำเดิม ครั้งนี้เป็นการเดินเรือจากประเทศฮ่องกง, มาเลเซีย, สิงค์โปร, บรูไน, จีน และมาหมดสัญญาที่ประเทศฟิลิปปินส์ เรือล่องอยู่ที่ฟิลิปปินส์อยู่เกือบ 2 อาทิตย์ เพราะประเทศนี้มีเกาะแก่งสวยงามมากมาย เรือจึงใช้เวลาชื่นชมธรรมชาติค่อนข้างมาก ประจวบกับลูกเรือ 60% ของเรือลำนี้เป็นชาวฟิลิปปินส์ จึงต้องเอาใจลูกเรือเป็นพิเศษ

เมื่อเรือเดินทางมาถึงกรุงมะนิลา เจ้าของคอนโดทุกคนลงขันกันจัดงานเลี้ยงอย่างใหญ่โตให้กับลูกเรือชาวฟิลิปปินส์และครอบครัวของพวกเขา ทุกคนที่มารวมงานนี้กินฟรีไม่อั้น 5 วัน 5 คืนกันเลยทีเดียว ส่วนฉันและริคดันหมดสัญญาร้องเพลงในวันที่เรือมาถึงกรุงมะนิลาพอดิบพอดี เลยอดร่วมงานปาร์ตี้กับเขาด้วย แต่สัญญาครั้งนี้จบลงอย่างประสบความสำเร็จอีกครั้ง เรือขอให้เรากลับมาใหม่ปลายปี ซึ่งเราตอบรับเป็นที่เรียบร้อย

ถึงครั้งนี้จะเป็นการเดินเรือในแถบประเทศเอเชีย ฉันก็สนุกและประทับใจเท่ากับการเดินทางไปทวีปอื่น เราได้เห็นความงดงามของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ใช่แค่ในเมืองท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองเล็กที่ผู้คนพื้นเมืองอยู่อาศัยกัน มีวัฒนธรรมและอารยธรรมล้ำค่างดงามมากไม่แพ้ของไทยเรา

แต่ขณะนี้ใจฉันเริ่มตุ๊มๆ ต่อมๆ เมื่อเครื่องบินกลับเมืองไทยประกาศว่าดีเลย์ ริคเครียดนำหน้าไปนานแล้ว เพราะเราสองคนจะเดินทางไปร้องเพลงที่ใหม่ที่ทำสัญญาไว้ และต้องไปทันทีหลังจบงานบนเรือ มีเวลาแค่กลับไปเปลี่ยนกระเป๋าที่บ้านไม่กี่ชั่วโมงตามแผนเดิมที่วางไว้ แต่ตอนนี้เครื่องบินดีเลย์ ต้องให้แม่ฉันขับรถเอากระเป๋าที่จัดเตรียมไว้แล้วมาให้ที่สนามบิน เพื่อทันเปลี่ยนเครื่องไปร้องเพลงที่ใหม่ต่อ นั่นคือประเทศมัลดีฟส์

เราถึงสนามบินสุวรรณภูมิอย่างกระชั้นชิดสุดๆ! เกือบจะเช็กอินไปมัลดีฟส์ไม่ทันเสียแล้ว ฉันกอดลาแม่ไปทำงานต่อแบบยังไม่ทันจะหายคิดถึง ยังไม่ทันได้เอาของฝากจากฟิลิปินส์ให้ ก็ต้องลาไปทำงานต่ออีก 3 เดือน

มัลดีฟส์

เครื่องบินพาเรามาถึงมัลดีฟส์โดยสวัสดิภาพ ฉันเหนื่อยมากถึงขนาดไม่สามารถลืมตาดูเกาะแก่งตามทะล หรือรีสอร์ตประดับไฟสวยงามยามค่ำคืนที่ริคพร่ำเรียกให้ดูจากบนเครื่องบิน ตอนนี้อยากถึงที่พักให้เร็วที่สุด แต่ก็เป็นไปไม่ได้เพราะไหนจะต้องทำเอกสารที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง และเดินทางไปโรงแรมโดยสปีดโบ๊ตต่อไปอีก 40 นาที หลังจากไม่ได้นอนมาเกือบ 2 วัน ฉันล่ะอยากจะล้มตัวนอนบนสายพานรับกระเป๋าขณะช่วยริคคว้ากระเป๋าเดินทาง 4 ใบกับกีตาร์ 2 ตัวเสียจริง

มัลดีฟส์

เช้าวันใหม่ ฉันลืมตาสะลึมสะลือ ร่างกายหนักอึ้งแทบขยับไม่ได้ มันเบลอและมึนอย่างบอกไม่ถูก ถึงขนาดจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหนทำไมห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย ฉันมองเพ่งรอบๆ ห้องอยู่เป็นนาน นอกหน้าต่างได้ยินเสียงนกร้องและเสียงลมอื้ออึง มัลดีฟส์! ฉันตระหนกตกใจรีบพุ่งตัวออกจากเตียงออกไปเปิดประตูห้องพัก หวังจะเห็นน้ำทะเลสีฟ้าใสอร่าม แต่กลับเห็นแต่ป่า ลืมไปว่าห้องพักไม่ได้ติดทะเล ฉันจำได้คร่าวๆ แล้วว่าผู้จัดการแผนก F&B ที่มาต้อนรับเราเมื่อคืนบอกไว้ว่าโซนที่พักของเราอยู่ตรงกลางรีสอร์ตพอดี ถ้าเดินออกไปทางซ้ายคือท้ายเกาะซึ่งเป็นที่ทำกิจกรรมทางน้ำทุกประเภทของแขกโรงแรม และสปา ส่วนขวาคือส่วนอื่นๆ ของโรงแรมทั้งหมด ล็อบบี้ ร้านอาหาร บาร์ (ที่ที่เราแสดง) และสระว่ายน้ำ ส่วนที่พักแขกอยู่ติดทะเลรอบเกาะทุกหลัง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉันรีบปลุกริคเพื่อออกไปเดินเล่นสำรวจรอบเกาะทันที

ว้าว นี่มันสวรรค์บนดินชัดๆ! ฉันและริคเดินมาจนสุดหน้าหาดโรงแรม ตาลุกวาวเป็นประกายตลอดทาง นี่เราจะอยู่ที่นี่ 3 เดือนจริงๆ รึนี่ ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นความงดงามของทะเล รีสอร์ตแห่งนี้เป็นรีสอร์ตดังในเครือของประเทศดูไบ ออกแบบได้สวยงามสไตล์โมเดิร์น พนักงานที่นี่มีหลายเชื้อชาติ ทั้งยุโรป รัสเซีย จีน (เพราะแขกรัสเซียและจีนเยอะ) ตะวันออกกลาง อินเดีย ศรีลังกา ปากีสถาน ชาวมัลดีฟส์ และสุดท้ายคือชาวไทย ฉันตื่นเต้นที่ได้รู้ว่าพนักงานสปาเกือบทั้งหมดคือคนไทย ต้องไปตีสนิทเสียแล้ว

มัลดีฟส์ มัลดีฟส์

หลังจากเข้าพบผู้บริหารโรงแรมทุกฝ่าย พวกเขายินดีมากที่เราสองคนมาเล่นที่นี่ เพราะรีสอร์ตนี้ไม่มีดนตรีสดมานานแล้ว และหวังว่าเราสองคนจะมาสร้างสีสันใหม่ๆ ให้โรงแรม เพราะกิจกรรมบนเกาะมีจำกัด เรือเฟอร์รี่พาพนักงานพาไปกลับเมืองหลวงชื่อมาเล (Male) มีแค่ 2 รอบต่อวันเท่านั้น ทางโรงแรมจึงอยากให้เราใช้เวลากับธรรมชาติให้มากที่สุด ดังนั้น กิจกรรมทางน้ำสำหรับพนักงานจึงฟรีทุกอย่าง ทั้งดำน้ำลึกและดำน้ำตื้น เกาะนี้ปะการังใต้น้ำอุดมสมบูรณ์มาก ใต้น้ำมีตั้งแต่ปลาการ์ตูนยันปลาฉลามทุกชนิด รวมถึงสระว่ายน้ำ และร้านอาหารก็ใช้บริการได้ทั้งหมด ส่วนการเดินทางสัญจรรอบเกาะ พนักงานและผู้บริหารทุกคนจะมีจักรยานประจำตำแหน่งกันหมด ฉันว่าเข้าท่าดีทีเดียว

มัลดีฟส์ มัลดีฟส์

วันนี้เราแสดงวันแรก ประจวบกับเจ้าของโรงแรมและหุ้นส่วนมาจากดูไบพอดี เขาจองโต๊ะเพื่อมาฟังเราร้องเพลงกันเรียบร้อยแล้ว แหม…ไม่ค่อยกดดันกันเลย ฉันคิดในใจ

เรามาอยู่มัลดีฟส์ได้ 3 อาทิตย์แล้ว ชีวิตประจำวันของฉันเหมือนเดิมทุกวัน ฉันและริคออกไปดำน้ำดูประการัง ไปว่ายน้ำงมหินดินทราย ดูโชว์ให้อาหารปลากระเบน ครบหมดตั้งแต่อาทิตย์แรกๆ ริคชวนไปดำน้ำและว่ายน้ำบ่อยจนฉันต้องปฏิเสธเพราะตัวดำมืดไปหมดแล้ว แต่ฉันยังไม่เบื่อวิวทะเลมัลดีฟส์ เพราะมันสวยจับใจเหลือเกิน โดยเฉพาะเวลาพระอาทิตย์ตก ช่วงเวลานั้นฉันมักจะเลือกร้องเพลงที่ชอบและมองพระอาทิตย์ตกไปด้วย เป็นความสุขที่คนฟังรับรู้ได้ว่าฉันร้องเพลงออกมาหัวใจจริงๆ ก็ฉันจะหาโอกาสร้องเพลงต่อหน้าพระอาทิตย์แสงสีทองอร่ามแบบนี้ได้ที่ไหนอีกล่ะ

มัลดีฟส์ มัลดีฟส์

มัลดีฟส์

เราสองคนเริ่มมีเพื่อนที่เป็นพนักงานบนเกาะ ตกกลางคืนหลังเลิกงานก็จะไปแฮงเอาต์ ดื่มกันที่บาร์พนักงาน เบียร์ขวดละ 1 ดอลลาร์ฯ เท่านั้น เบียร์เดียวกันกับที่ขายแขกที่โรงแรม แต่ขายแขก 15 ดอลลาร์ฯ โชคดีจริงที่ฉันไม่ใช่แขกที่พักที่นี่! ฉันและริคมีเพื่อนสนิทอยู่กลุ่มหนึ่ง เป็นหนุ่มๆ ชาวฟิลิปปินส์ 4 คน สองคนในนั้นเป็นนักเต้นควงกระบองไฟที่เก่งมาก จึงมาแจมเต้นเวลาที่เราร้องเพลงกันบ่อยๆ ส่วนพี่ๆ ชาวไทยเป็นผู้หญิงทั้งหมด ทุกคนเอ็นดูฉันและเมตตาฉันมาก ถ้าใครมีอาหารไทยจะแบ่งกันเสมอ

สังสรรค์

อยู่แต่เกาะมาจะเดือนครึ่งแล้ว ในที่สุดฉันและริคก็ตัดสินใจไปเที่ยวเมืองมาเล เมืองหลวงของมัลดีฟส์ เราใช้วันหยุดนั่งเรือเฟอร์รี่กับพนักงานคนอื่นๆ ไปกันแต่เช้า แต่อากาศกลับอึมครึมเป็นพิเศษ เราสองคนลืมเช็กอากาศกันเสียสนิท คิดแต่ว่าจะต้องออกจากเกาะเสียที อยากเห็นเมืองใจจะขาดแล้ว เราออกเรือมาไม่ทันไรก็รู้ทันทีว่าคลื่นลมแรงมาก ยิ่งอยู่กลางทะเลแรงคลื่นยิ่งโถมใส่เรือความเร็วสูงจนเรือเด้งไปมา ฉันกำเสื้อชูชีพไว้แน่น เคราะห์ดีว่าพอผ่านน่านน้ำช่วงที่ลมแรงมากนั้นคลื่นก็เริ่มเบาลง แล้วเรือก็ค่อยๆ ชะลอเพื่อจอดเทียบท่าในตัวเมือง ฉันถอนหายใจโล่งอกดังลั่น

มาเลเป็นเมืองหลวงขนาดเล็กที่ล้อมรอบไปด้วยทะเล มีประชากรอาศัยถึง 340,000 คน ซื่งถือว่าเยอะมากๆ เพราะเกาะขนาดเล็กจิ๋ว เมืองจึงดูแออัด มีทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์สัญจรหนาแน่น ฝนเทลงหนักฉันและริคจึงอดเดินชมเมืองเพราะติดฝน จนต้องนั่งเล่นในร้านกาแฟเท่านั้น เราเห็นท่าไม่ดีและฝนไม่ยอมหยุดตก จึงตัดสินใจกันนั่งเรือรอบต่อไปกลับโรงแรมทันที เพราะหากยิ่งค่ำ กลางทะเลจะยิ่งน่ากลัวหลายเท่า

แต่เราตัดสินใจผิดที่กลับกันตอนนั้น

ทันทีที่เรือออกกลางทะเล กัปตันเรือประกาศให้พนักงานทุกคนก้มหมอบลงให้ต่ำที่สุด และต้องเกาะแขนเกี่ยวกันและกันไว้ทั้งแถว เพื่อดึงไม่ให้ใครกระเด้งชนเพดานเรือจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เรือสปีดโบ๊ตหรือเฟอร์รี่ไม่ได้สร้างให้มีเข็มขัดตรงที่นั่งแบบเครื่องบิน เพราะถ้าเรืออับปางหรือคว่ำผู้โดยสารจะได้ว่ายน้ำออกมาได้ ไม่ติดใต้ท้องเรือ

ลมกระโชกจนทำให้เรือกระแทกผืนน้ำแรงกว่าตอนขามา ฝนเทลงมาอย่างหนัก กัปตันเรือชาวมัลดีฟส์ที่มีประสบการณ์โชกโชนพยายามหลบหลีกคลื่นสูง แต่ก็หลบไม่ได้ทั้งหมด จนชนคลื่นที่สูงที่สุด เรือลอยค้างบนอากาศอยู่หลายวินาที แล้วตกลงมากระแทกพื้นน้ำอย่างแรง!

แรงกระแทบทำให้กัปตันเรือร่วงจากเก้าอื้ กลิ้งไม่เป็นท่าไปท้ายเรือ น้ำทะเลเริ่มเข้ามาในเรือ ฉันร้องลั่น กลัวมากจนร้องไห้ออกมา ริคกอดฉันไว้แน่น รวมถึงเพื่อนพนักงานข้างๆ ที่ฉันไม่รู้จักก็กลัวและเกาะแขนฉันแน่นเช่นกัน พวกลูกเรือรีบวิ่งไปช่วยพยุงกัปตันขึ้นมา เขาดูเครียดมาก แล้วเร่งขับเรือพาพวกเราฝ่าคลื่นทะเลอันเกรี้ยวกราดอย่างระมัดระวังต่อไป จนในที่สุดกัปตันก็พาเราทุกคนถึงโรงแรมโดยปลอดภัย ฉันโทรหาแม่ทันทีเมื่อตั้งสติได้และรีบบอกพ่อแม่ว่าฉันรักพวกท่านมากแค่ไหน เหมือนเพิ่งรอดตายมาจริงๆ

ฉันอยู่ที่นี่มาใกล้ครบ 3 เดือนแล้ว ก่อนออกไปร้องเพลง เวลา 5 โมงเย็นของทุกวันคือเวลาที่ฉันขี่จักรยานไปหลังเกาะเพื่อไปนั่งศาลาที่ยื่นออกไปในทะเลแล้วดูฝูงปลากระเบนขนาดยักษ์กับปลาอื่นๆ ที่มารอกินอาหาร คนจากโรงแรมจะโยนชิ้นปลาสดๆ ให้เจ้าปลาใหญ่ฝูงนั้น ฉันมักสงสัยว่าปลาเหล่านี้ไม่เบื่อกันบ้างเหรอที่ต้องอยู่ที่เดิม สิ่งแวดล้อมเดิมๆ โขดหินเดิม เจอเพื่อนปลาอื่นหน้าเดิมๆ วนเวียนอยู่เช่นนี้จนจบอายุขัยของมัน

มัลดีฟส์ มัลดีฟส์

ฉันฉุกคิดถึงเรื่องตัวเอง รู้ตัวว่ากำลังเลือกทางชีวิตแบบปลาที่ว่ายน้ำไปเรื่อยๆ โดยฝ่ากระแสน้ำทุกประเภท ฝ่าคลื่นใต้น้ำ เพื่อไปยังจุดหมายที่ไม่หยั่งรู้ได้ว่าจะเป็นที่ไหน แต่รู้ว่ามันต้องมีที่ที่เหมาะสมสำหรับฉันที่หนึ่งในโลกกว้างนี้อย่างแน่นอน ฉันเดินทางโดยใช้เสียงร้องเพลงนำทางมาตั้งแต่เด็ก ความเชื่อมั่นและความศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญที่พาฉันมาไกลได้ขนาดนี้ จะไกลกว่านี้ไปอีกมั้ยคงขึ้นอยู่กับตัวฉันเองล้วนๆ ว่าจะมีพลังมากพอที่จะสู้ต่อไปบนเส้นทางนี้หรือไม่ เพราะบางครั้งก็เหนื่อยเหลือเกิน

อีกเพียงอาทิตย์เดียวฉันและริคก็จะได้กลับเมืองไทยกันแล้ว ชีวิตบนเกาะมัลดีฟส์มีระยะเพียง 3 เดือน แต่รู้สึกเนิ่นนานเหมือนแรมปี คงเป็นเพราะความกว้างขวางของมหาสมุทรที่เห็นทุกวัน และประสบการณ์ร้องเพลงที่นี่มีคุณค่าทางใจมาก ฉันได้ใช้เวลากับตัวเองมากมาย มีเวลาพินิจ วิเคราะห์ ตรวจสอบจิตใจ ต้องขอบคุณริคที่พาฉันก้าวข้ามความกลัวไปอีกขั้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้ฉันกลัวการดำน้ำมาก มาอยู่นี่เขาพาฉันออกไปดำน้ำบ่อย ทุกครั้งที่ออกไปก็จับมือฉันไว้ตลอดทางจนคลายความกลัวไปได้มาก เมื่อไม่กลัว ฉันจึงได้ตาสว่างเห็นความสวยงามของโลกใต้ทะเลที่หาอะไรเทียบไม่ได้เลย ฉันชอบทำหน้าลอกเลียนแบบปลาน้อยปลาใหญ่ที่เห็นใต้ทะเลจนเป็นที่ขำขันระหว่างเราสองคน

พรีเวดดิ้ง พรีเวดดิ้ง

วันพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ทางโรงแรมทราบเรื่องงานแต่งงานของเราสองคนที่จะจัดขึ้นสิ้นปีนี้ จึงให้ของขวัญเป็นสิทธิ์ให้เราไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งของรีสอร์ตเป็นที่ระลึกก่อนหมดสัญญา โชคดีจริง ราคาค่าถ่ายตกเป็นเงินไทยเกือบแสน ฉันและริคเซ็นสัญญาฉบับต่อไปที่ทางรีสอร์ตเสนอให้กลับมาเล่นคืนวันปีใหม่สิ้นปีนี้ และให้พาวงดนตรีเต็มวงมาด้วย! เอาล่ะสนุกแน่!

Writer & Photographer

Avatar

รสริน พลับทอง สติกนีย์

ร้องเพลงเป็นอาชีพตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนได้ออกอัลบั้มพร้อมพี่สาวอีก 2 คนชื่อวง The Sis ปัจจุบันร้องเพลงกับสามีชาวอเมริกัน ในชื่อ 'Rick & Zoe' Duo ทั้งบนบกและมหาสมุทร เดินทางร้องเพลงบนเรือมาแล้วกว่า 50 ประเทศ ขณะนี้ยังคงร้องเพลงอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา