หลังจากแจกลายแทงและเล่า 19 เรื่องราวเกี่ยวกับ EXPO 2025 OSAKA, KANSAI ญี่ปุ่น มหกรรมที่รวมเทคโนโลยี นวัตกรรม และวัฒนธรรมจากทั่วทุกมุมโลก ให้ฟังไปแล้ว คราวนี้เราจะมาลงลึกเกี่ยวกับ 8 Signature Pavilions ในงาน เพราะใน EXPO 2025 ญี่ปุ่นพยายามจะเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่จากมหกรรมแสดงนวัตกรรม อวดความก้าวหน้าและของดีแต่ละประเทศ มาชวนให้ผู้คนได้ครุ่นคิดกับ ‘ชีวิต’ และ ‘อนาคต’ เพื่อนำไปสู่การเกิดมุมมองใหม่ ๆ (New Perspective) ในโลกที่ข้อมูล เทคโนโลยี และการสื่อสารท่วมท้น อันเป็นบริบทที่ดูจะตรงข้ามกับโลกในสมัยที่ World Expo ถือกำเนิดและดำเนินต่อมา
การจะตอบโจทย์เช่นนั้น หรือกล่าวอีกแบบคือการส่งมอบผลให้ได้ตามธีมหลัก ‘Designing Future Society for Our Lives’ ทำผ่านหลายส่วน เช่น พาวิเลียนแต่ละประเทศ กิจกรรมในงาน Theme Week, Co-creation Project และอีกมากมาย
แต่ที่ดูเหมือนเป็น ‘ตัวเอก’ ในการตอบโจทย์ธีม คือ Signature Pavilions

โปรดิวเซอร์ทั้ง 8 ถูกเลือกจากตัวท็อปในหลากหลายวงการของญี่ปุ่น เพื่อตีโจทย์และนำเสนอความคิดเกี่ยวกับ ‘อนาคต’ และ ‘ชีวิต’ จากแง่มุมของแต่ละคนอย่างอิสระ (ทว่าก็เชื่อมโยงกันในที)
และได้ประกาศตัวพร้อมแนวคิดและสิ่งที่ตั้งใจจะทำในพาวิเลียนโดยเบื้องต้นมาตั้งแต่ปี 2020 (พร้อมกับมาสเตอร์แพลน และ Grand Ring ของ Sou Fujimoto) แปลว่าทุก Signature Pavilions มีเวลาคิดและเตรียมงานไม่น้อยกว่า 5 ปี
แต่ละคนเป็นใคร นำเสนออะไร-อย่างไร และน่าจะตอบโจทย์ไหม ชวนพินิจไปพร้อมกันครับ

01
ชีวิตคืออะไร คือ ‘เปลี่ยนแปลง’ และ ‘คงอยู่’ ไปพร้อมกัน
ชีวิตคืออะไร ชีวิตมาจากไหน และจะไปที่ไหน
Fukuoka Shin-Ichi คือนักชีววิทยาผู้เฝ้าถามคำถามนี้มาตลอด เขาเขียนหนังสือเพื่อหาคำตอบจนกลายเป็นหนังสือขายดีระดับปรากฏการณ์ และต่อมาจะกลายเป็นซีรีส์บนแกนความคิด Dynamic Equilibrium หลายเล่ม รวมยอดขายมากกว่า 870,000 เล่ม
“ร่างของสิ่งมีชีวิตจะอยู่ในสภาวะเปลี่ยนแปลงผันแปรเสมอ” เขาอธิบาย “กล่าวคือ สสาร พลังงาน และข้อมูลข่าวสาร ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง และมันพยายามจะสร้างและรักษาระเบียบ ท่ามกลางสภาวะไหลนั้น
“นี่คือ Dynamic Equilibrium ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของชีวิต แต่มนุษย์อาจหลงลืมสิ่งนี้ไป และนั่นอาจเป็นรากไปสู่ปัญหาหลายประการที่มนุษย์-โลก-ระบบนิเวศ เผชิญอยู่”
รับชมได้ที่ www.expo2025-fukuoka-shin-ichi.jp/en/concept
เขาพยายามสื่อสารเรื่องนี้ผ่านหนังสือ สื่อต่าง ๆ และ EXPO 2025 เป็นโอกาสดีที่จะนำเสนอผ่านอีกรูปแบบหนึ่ง ให้กับคนญี่ปุ่นที่อาจเคยรับรู้หรือติดตามเขามา รวมถึงคนใหม่ ๆ ทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก
Shin-Ichi ถ่ายทอดแนวคิดนี้ผ่านรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและการจัดแสดงภายในอย่างเรียบง่าย ชัดเจน สื่อถึง ‘กระแสแห่งชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ’
และในกระแสนั้น ชีวิตต่าง ๆ ไม่เพียงแต่จะแก่งแย่งเอาตัวรอด แต่ยังมีอีกด้านแห่งการร่วมมือและเกื้อกูล (Altruism) ผสมอยู่ในประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของชีวิตอันยาวนานด้วย

อาคารถูกออกแบบให้เหมือน ‘เซลล์ที่กำลังจะแบ่งตัว’ ด้วยรูปทรงโค้ง เสมือนหลังคาที่ดูเป็นเซลล์ลอยขึ้นมา ภายในเป็น Light Installation เล่าเรื่องราว ฝีมือ Takram บริษัทออกแบบชั้นนำของญี่ปุ่น (ที่เชื่อในการผสมผสานวิศวกรรมและการออกแบบเพื่อสร้างนวัตกรรม)
รับชมได้ที่ www.expo2025-fukuoka-shin-ichi.jp/en
ปรัชญาแห่งชีวิต Dynamic Equilibrium of Life สอนให้เรารู้ว่า เพื่อที่จะรักษาสภาพ ระเบียบจำต้องถูกทำลายอยู่เสมอ
“ชีวิตไม่ใช่การประกอบรวมของส่วนต่าง ๆ อย่างหยุดนิ่ง แต่ส่วนต่าง ๆ เองก็แทนที่ตัวเองอย่างต่อเนื่อง เริ่มทำลายตัวเองอยู่เสมอ เพื่อจะสร้างสภาวะสมดุลขึ้นใหม่”
Dynamic Equilibrium of Life
ธีม : Quest of Life
โปรดิวเซอร์ : Fukuoka Shin-Ichi
www.expo2025-fukuoka-shin-ichi.jp/en/overview
02
ชีวิตล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
Kawamori Shoji เป็นผู้กำกับภาพยนตร์แอนิเมชัน ผู้สร้าง Macross และอีกหลายเรื่องในแนวหุ่นยนต์กลไก (Mecha) แต่ในความเชี่ยวชาญเรื่องกลไกและการพลิกโฉมแปลงร่างจากยานพาหนะเป็นหุ่นยนต์ เขาก็เข้าใจชีวิตและธรรมชาติอย่างไม่แพ้กัน

เขามองเห็นชีวิตอันหลากหลายของสรรพสิ่งต่าง ๆ ล้วนสัมพันธ์โยงใย “ชีวิตคือการประกอบรวมและเปลี่ยนผัน (Life is Combination and Transformation) ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกรับเอาอาหาร น้ำ แสงอาทิตย์ และออกซิเจนเข้าไป ดูดซึมสารอาหารภายในร่างกาย และขับถ่ายบางสิ่งกลับสู่โลก เพื่ออุ้มชูชีวิตใหม่ต่อไป”
เขาอยากเล่า แต่จะทำอย่างไรให้ผู้ชม ‘รู้สึก’ ถึงความเป็นจริงนี้ได้ มิใช่แค่เข้าใจความคิด
วิธีที่ถนัดที่สุดของเขาคือเล่าด้วยแอนิเมชัน ภาพยนตร์จะพาผู้ชมเดินทางผจญภัยไปสำรวจห่วงโซ่อาหารในระดับจักรวาล (Cosmic-scale Food Chain) ผ่านเทคโนโลยี MR/VR ล่าสุด เพื่อให้ดิ่งเข้าไปในเรื่องได้เต็มที่ พร้อมกันกับผู้ชมคนอื่น ๆ อีกรวม 30 คน นอกจากนั้นยังมี 4 นิทรรศการ กล่าวคือ The Window of Universe, Metamorphose, Biodiversity Hyper-Synapse, Source of Creation (สเกตช์และเบื้องหลังงาน)

รูปแบบสถาปัตยกรรม ใช้กล่องสี่เหลี่ยมประกอบกันดุจเป็น ‘เซลล์’ น่าสนใจคือวัสดุทำคอนกรีต ใช้น้ำทะเลจากอ่าวโอซาก้าเป็นส่วนผสม

สัญลักษณ์ประจำพาวิเลียนที่สื่อความคิดหลักได้อย่างครบถ้วน
เขาหวังว่าผู้เข้าชมจะรู้สึกได้ว่า ‘ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ล้วนเท่ากัน’ (All life Forms on this Planet are Equal)
Live Earth Journey
ธีม : Totality of Life
โปรดิวเซอร์ : Kawamori Shoji
03
ใคร่ครวญชีวิต ผ่านอาหารและการกิน
เรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องใกล้ตัวในชีวิตประจำวันที่คนจำนวนหนึ่งทำ ๆ ไปแบบเคยชิน ไม่ได้ใส่ใจใคร่ครวญถึงนัยสำคัญที่แท้จริงเท่าใดนัก แต่นั่นไม่ใช่สำหรับ Kundo Koyama ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความรู้สึกนึกคิดที่ละเอียดลออ สายตาที่มองเห็นผนวกกับหัวใจที่รู้สึกในสิ่งที่ผู้คนมักมองข้าม
Kundo Koyama สร้างชื่อจากการเป็นผู้เขียนบทรายการโทรทัศน์ Iron Chef หรือ เชฟกระทะเหล็ก ที่เราคุ้นชื่อกันดี และได้รับรางวัลจากการเขียนบทภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Departures หมีคุมะมง มาสค็อตประจำจังหวัดคุมาโมโตะที่แสนโด่งดัง ก็เป็นฝีมือการสร้างและวางแผนของเขาและบริษัท Orange & Partners ที่เขาร่วมก่อตั้ง นอกจากนั้นเขายังมีประสบการณ์ตรงในการดูแลร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอายุเกือบ 170 ปีในเมืองเกียวโตด้วย

เมื่อโจทย์คือการพิจารณาเรื่องอาหารและการกินของมนุษย์ Koyama จึงสำรวจทุกแง่มุม เพื่อเสาะหาเรื่องสำคัญที่ซ่อนตัว คิดวิธีนำเสนอให้ดึงดูดและกระทบใจ (ส่วนโจทย์ที่ไม่ได้บอกชัด ๆ คือการขายวัฒนธรรมอาหารของญี่ปุ่น)
ภายในพาวิเลียนมาในบรรยากาศซูเปอร์มาร์เก็ต โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ
ส่วนแรก Marketplace for Life นำเสนอความสัมพันธ์ของชีวิตมนุษย์กับชีวิตอื่น ๆ ที่เรากินเป็นอาหาร ตั้งคำถามเช่น “กี่ชีวิตที่คนคนหนึ่งกินเข้าไปเพื่อถักทอเป็นชีวิตในช่วงหลายทศวรรษ” ตัวอย่างนำเสนอ เช่น คะเนจำนวนฟองของไข่ไก่ที่คนคนหนึ่งทานทั้งชีวิต แล้วนำเสนอในรูปแบบงาน Installation ที่สะดุดตาสะกิดใจ ชวนให้ขบคิดทบทวน หรือน้ำผึ้งที่กว่าจะได้ปริมาณสักน้อย กลับต้องใช้เวลามากมายเกินจินตนาการ Kundo จึงชวนให้เรารู้สึกขอบคุณและรับประทานอาหารอย่างรู้ค่า ดั่งคำญี่ปุ่นที่ขอบคุณเวลารับประทานอาหารว่า ‘Itadakimasu’



อีกส่วน Marketplace for the Future แล้วจากนี้เราควรจะกินอะไรอย่างไร พูดถึงอนาคตของอาหารในแง่มุมต่าง ๆ การปรุงอาหาร อาหารแช่แข็ง ขนมหวาน ในส่วนนี้ที่สำคัญจะนำเสนอ EARTH FOOD 25 สุดยอด 25 รายการ วัตถุดิบ อาหาร ความรู้และเทคโนโลยีเกี่ยวกับอาหารของญี่ปุ่น คัดเลือกอย่างเข้มข้นโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหาร เพื่อเป็นตัวแทนทางเลือกของอาหารแห่งอนาคต



พาวิเลียนออกแบบโดย Kengo Kuma (ซึ่ง Kundo อยากให้คนรุ่นใหม่ ๆ ในบริษัทของ Kuma ได้แสดงฝีมือ จึงนำมาสู่การประกวดแบบภายในบริษัท ก่อนจะนำไอเดียที่น่าสนใจของหลาย ๆ แบบประกวด มาประกอบกัน) หลังคาเลือกใช้ ‘ฟางข้าว’ ซึ่งเป็นวัสดุเหลือจากการเก็บเกี่ยว (และแสดงถึง ‘วงจร’ ตามธีม) จาก 5 พื้นที่ตัวแทนทั่วประเทศญี่ปุ่น (ซึ่งสี ความยาว ลักษณะเส้นใย จะแตกต่างกันหากสังเกต)
และด้วยข้อจำกัดเรื่องงบ โครงสร้างอาคารที่ทีแรกออกแบบให้ใช้ไม้ถูกเปลี่ยนเป็นโครงเหล็ก (Steel Frame) แต่พอผสมกับหลังคาฟางข้าว กลับเกิดเป็นความตัดต่างที่น่าสนใจและแปลกตา

Earth Mart
ธีม : Cycle of Lives
โปรดิวเซอร์ : Kundo Koyama
04
สัญญาณแห่งชีวิต ปรากฏเมื่อมนุษย์เชื่อมต่อสื่อสาร
Naomi Kawase เป็นคนทำหนังที่มีฝีมือที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น ภาพยนตร์ของเธอได้รับรางวัลและได้รับเลือกไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์และนานาชาติอื่น ๆ บ่อยครั้ง ผลงานสำคัญอาทิ Suzaku, The Mourning Forest, Second Window, Sweet Bean, Radiance, และ True Mothers ล่าสุดเมื่องานโอลิมปิกฤดูร้อนที่โตเกียวปี 2020 เธอก็ได้รับเลือกให้ทำภาพยนตร์หลักของงาน
เธอเหมือนจะมีสายตาและหัวใจที่ไวต่ออะไรบางอย่าง เห็นความวิเศษในความธรรมดา เห็นความร่วมกันในความแตกต่าง เห็น ‘ตัวเธอในฉัน’ และก็เห็น ‘ตัวฉันในเธอ’ มนุษย์ที่ขัดแย้งและแตกแยก คงเพราะเชื่อมถึงกันน้อยไป
เธออยากให้เกิดบทสนทนาระหว่างผู้คนที่พบเจอกันเป็นครั้งแรกขึ้นที่พาวิเลียนของเธอ เธอจัดเตรียมคนหนึ่งไว้และจะสนทนาทางไกลผ่านมาทางจอ อีกคนหนึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าชมงานรอบนั้น ๆ ส่วนเรื่องที่คุยจะจัดเตรียมหัวข้อประจำวันไว้ 184 หัวข้อ ตามจำนวนวันที่จัด
เธอหมายให้เกิดความเข้าใจและก้าวข้ามความแตกต่างในชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ ผ่านการสนทนาโดยผู้คนต่างเชื้อชาติ ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างวัฒนธรรม ผู้ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย
การออกแบบสถานที่ เธอเลือกย้ายอาคารเก่าของโรงเรียนที่ปิดไปแล้ว 3 หลัง (จากเมืองนารา เมืองที่เธอเกิด เติบโต และอยู่อาศัย) มาจัดวางในพื้นที่สวน โอบล้อมต้นแปะก๊วยใหญ่ ให้บรรยากาศสามัญและเป็นธรรมชาติ

เมื่อการสนทนาบนเวทีจบลง เธอเตรียมภาพยนตร์ปิดท้าย 6 เรื่องโดยผู้กำกับ 6 คน จาก 6 ประเทศ เปิดหนึ่งเรื่องให้ชมหลังจบการสนทนา ด้วยหวังว่าความรับรู้ความเข้าใจใหม่ ๆ จะเกิดขึ้น ในบทสนทนาระหว่างคนแปลกหน้า หรือที่ผู้เข้าชมสนทนากับตนเองไปพลางระหว่างที่รับฟัง รวมถึงการสนทนาระหว่างผู้เข้าชมกันเอง หลังจากจบ Dialogue Theater
Dialogue Theater – sign of life –
ธีม : Embracing Lives
โปรดิวเซอร์ : Naomi Kawase
expo2025-inochinoakashi.com/en
05
ชีวิตมนุษย์จะเป็นอย่างไร ในโลกที่ดิจิทัลหลอมรวมกับทุกสิ่ง
ฉันเป็นใคร ความตระหนักรู้คืออะไร ความหมายของการดำรงชีวิตอยู่คืออะไร
เหล่านี้เป็นคำถามสำคัญของมนุษย์มาช้านาน ทว่าในโลกปัจจุบันและอนาคต โลกที่ดิจิทัล คอมพิวเตอร์ และเอไอ แทรกซึมเข้าไปในแทบทุกสิ่ง จนดูเหมือนว่าธรรมชาติรอบตัวมนุษย์เปลี่ยนไปไม่หวนกลับ (สภาพที่ Ochiai Yoichi โปรดิวเซอร์พาวิเลียน null2 เรียกว่า Digital Nature ยุคสมัยที่ความเป็นจริงทางกายภาพและดิจิทัลหลอมรวมอย่างไร้รอยต่อ) สภาพแวดล้อมเช่นนี้ยิ่งทำให้มนุษย์สับสนและว้าวุ่นกับชีวิตยิ่งขึ้นทุกวัน
แล้วเราจะอยู่กับสภาพเช่นนี้อย่างไร Ochiai อยากชวนผู้เข้าชมใคร่ครวญถึงอัตลักษณ์ การดำรงอยู่ และความสัมพันธ์ของมนุษย์ โดยสร้างพาวิเลียนนี้ให้ก้าวข้ามพรมแดนระหว่างดิจิทัลและกายภาพ ผ่านความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีสื่อสารโต้ตอบ ในงานระดับใหญ่ที่ถ้าไม่ใช่ EXPO 2025 ก็คงไม่เกิดขึ้น

Ochiai เป็นโปรดิวเซอร์ที่อายุน้อยที่สุดอย่างใน 8 คน (อายุ 38 ในปีนี้) ได้ชื่อว่าเป็น ‘พ่อมดน้อย’ หรือนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งยุคดิจิทัลผู้มากความสามารถ เขาริเริ่ม Digital Nature Group กลุ่มวิจัยที่มหาวิทยาลัย Tsukuba (College of Knowledge and Library Sciences) ทว่าเขานิยามตัวเองเป็น Media Artist
จากเด็กช่างสงสัยที่สนใจไฟฟ้า ทดลองไปมาอยากเห็นไฟฟ้าชัด ๆ จนเกือบจับต้องได้ นั่นพาตัวเขามาตรงพรมแดนระหว่างสิ่งที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรม และเขาพบว่ามันสร้างสรรค์ผลงานหรือแสดงตัวตนผ่านชิ้นงานศิลปะที่เชื่อมโยงกับไฟฟ้าได้
‘ศิลปะที่สร้างจากไฟฟ้า’ คือนิยามของ Media Art ในมุมมองเขา “เป็นสาขาซึ่งขยายขอบเขต Canvas ให้เราแสดงออกถึงตัวตนผ่านเทคโนโลยี”
จากไฟฟ้าก็มาสู่คอมพิวเตอร์ สู่ดิจิทัล สู่เทคโนโลยีต่าง ๆ สู่เอไอ เขาใช้ทรัพยากรก้าวหน้าเหล่านั้นแทบทุกอย่าง เพื่อสร้างงานที่ล้ำหรือทะลุขอบเขตเดิม ๆ ของแต่ละหัวเรื่อง เขาปรารถนาที่จะทำลายพรมแดน ผสมผสานสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างงานก้าวไปอีกระดับ นี่คือลายเซ็นสำคัญของ Ochiai
ในฐานะ Media Artist เขาผลิตงานหลากหลายรูปแบบต่อเนื่องมาตลอด 10 กว่าปี แต่นี่จะเป็นงาน ‘ชิ้นที่ใหญ่ที่สุด’ ที่เขาเคยทำ เป็นทั้งพัฒนาการของงานที่เคยพัฒนามาก่อนหน้า (เช่น Mirrored Body) และเป็นก้าวใหม่อย่างสถาปัตยกรรมพื้นผิวสะท้อนอย่างกระจกแต่ยืดหดได้ หวือหวาน่าทึ่ง เขาทำให้ภายนอกและภายในกลายเป็น 2 ชิ้นงานที่สื่อ 2 ความคิดหลัก ซึ่งเมื่อบรรจบประกบกันจะนำไปสู่คำถามสำคัญและการค้นหาความหมายที่น่าสนใจ
‘The Two Mirrors of Physics and Digital’ คือแนวคิดหลัก
กระจก เป็นเครื่องมือ (และสัญลักษณ์) ที่เขาเลือกใช้เพื่อสะท้อนให้เราเห็นอะไรบางอย่าง (ชื่อเล่นของพาวิเลียนนี้ บางทีเห็นเขาเรียกว่าพาวิเลียนกระจก)
พาวิเลียนภายนอกสร้างจากวัสดุพิเศษที่พัฒนาขึ้นในครั้งนี้ ให้สะท้อนเหมือนกระจก แต่ยืดหยุ่น ขยาย หด ได้ เพื่อสะท้อนภาพภายนอกที่แปลก พิสดาร ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน (เป็นการพัฒนาวัสดุอย่างใหม่ เป็นฟิล์มสะท้อนแสงชนิดพิเศษที่บางเฉียบขึ้นเป็นครั้งแรกในงานนี้)
พาวิเลียนภายในเล่นกับตัวตนมนุษย์ภายใน ผ่านการสร้าง Mirrored Body ของผู้เขาชม ดึงให้ปรากฏตัวออกมาผ่านข้อมูล
“Mirrored Body จะเป็นเหมือนฝาแฝดดิจิทัลของเราที่สะท้อนออกมา แต่ก็ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ ผู้เข้าชมจะเผชิญคำถามสำคัญว่า ความหมายที่แท้จริงของอัตลักษณ์ และ ชีวิต คืออะไรกันแน่”

null2
ธีม : Forging Lives
โปรดิวเซอร์ : Ochiai Yoichi
expo2025.digitalnatureandarts.or.jp/indexen.html
06
มนุษย์แต่ละคนมีศักยภาพวิเศษอยู่ภายใน ปลุกและปล่อยออกมาด้วยการเล่นและการเรียนรู้
Sachiko Nakajima เป็นตัวอย่างของมนุษย์ที่พัฒนาศักยภาพออกมาได้อย่างโดดเด่น เก่งทั้งเลขและดนตรี เป็นนักคณิตศาสตร์โอลิมปิกเหรียญทอง นักเปียโนแจ๊ส นักพัฒนาการเรียนรู้ น่าจะเห็นตัวอย่างอื่น ๆ อีกมากมายเสริมเข้ากับประสบการตรงของเธอเอง
เมื่อจะทำพาวิเลียน เธอและทีมก็ทบทวนว่า อะไรสำคัญสำหรับชีวิตและความคิดสร้างสรรค์ ก่อนตัดสินใจว่ามันคือ ‘การเล่นแบบปล่อยไหล’ (Flowing Play)
เพื่อจุดประกายสร้างสรรค์ การเล่นต้องไม่เป็นกิจวัตรแบบซ้ำซากจำเจ แต่ต้องเป็นแบบเพลิน ๆ ปล่อยให้ทอดไปเรื่อย ๆ หรือพูดอีกแบบคือต้องเริ่มจากสภาวะว่าง ๆ ไม่มีคำสั่งหรือกฎระเบียบอะไรมากำหนดบังคับ “เราต้องการทำพื้นที่สำหรับการเล่นแบบปล่อยไหล ให้รู้สึกมีชีวิต แต่ละคนเข้ามาปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ของตนได้” เธอยังเชื่ออีกว่าสิ่งสำคัญบางครั้งอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ต้องรับรู้ผ่านร่างกายหรือประสาทสัมผัสทั้ง 5
“จู่ ๆ ภาพแมงกะพรุนก็ผุดขึ้น” ต่อมาเธอและทีมได้ไปชม ‘ต้นไม้แห่งชีวิต’ (Tree of Life) ภายใน Tower of the Sun (ที่ Expo’70 Commemorative Park) พวกเธอประหลาดใจมากที่พบแมงกะพรุนและ Polyp (แมงกะพรุนน้อย) ที่พื้นสมุทร “แมงกะพรุนเป็นสัญลักษณ์ของความคิดสร้างสรรค์และชีวิตภายในเรา ซึ่งก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน”
การออกแบบเป็นพื้นที่กึ่งกลางแจ้งไม่มีผนังกั้น ทำเป็นเนินดินขึ้นมา และมีพาวิเลียนทรงแมงกะพรุนวางอยู่บนนั้น พื้นที่หลักจัดกิจกรรมจะอยู่ใต้หลังคารอบ ๆ ‘ต้นไม้แห่งกำเนิด (ความคิดสร้างสรรค์)’

หลังคาเมมเบรนกันแสงแดดและปรับทิศทางลม ใช้องค์ประกอบของน้ำปรับอุณหภูมิและความชื้นของลมก่อนเข้าอาคาร ใช้ระบบปรับอากาศด้วยสารดูดความชื้นเหลว (Liquid Desiccant System) มีการวางท่อน้ำเย็นใต้พื้นเพื่อกระจายความเย็น เกิดเป็นพื้นที่กึ่งกลางแจ้งที่รู้สึกสบายคล้ายอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่

Playground of Life: Jellyfish Pavilion
ธีม : Invigorating Lives
โปรดิวเซอร์ : Sachiko Nakajima
07
มนุษย์วิวัฒนาการผ่านการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Hiroshi Ishiguro อาจจะเป็นนักวิจัยและพัฒนาด้านหุ่นยนต์ที่ดังที่สุดในโลก แต่เขาก็เป็นคนที่พูดว่า “การวิจัยหุ่นยนต์ คือการเรียนรู้มนุษย์อย่างลึกซึ้ง” ถึงกับเขียนหนังสือ หุ่นยนต์และมนุษย์: อะไรคือมนุษย์ ว่าด้วยเรื่องนี้
‘ชีวิต’ ที่เขาสนใจ คือชีวิตตรงส่วนที่มนุษย์และหุ่นยนต์ปฏิสัมพันธ์กัน เขาเป็นเหมือนทูต หุ่นยนต์/แอนดรอยด์’ แห่งประเทศญี่ปุ่น (และ Japan Foundation ก็ให้ทุนสนับสนุนการเดินสายเลกเชอร์ของเขาไปทั่วโลก)
สังคมอนาคตสำหรับเขา มนุษย์จะอยู่ร่วมกับหุ่นยนต์อย่างเกื้อหนุนพึ่งพาอาศัยซึ่งกัน (Symbiosis Relationship)


พาวิเลียนออกแบบโดยใช้ ‘น้ำ’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนการก่อกำเนิดของชีวิต (และอีกด้านคือบริบทของเมืองโอซาก้าในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นบนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นทะเลมาก่อน และในสมัยปลายยุคกลางจนตลอดสมัยเอโดะ ก็ได้ชื่อว่าเป็น ‘เมืองแห่งน้ำ’ เป็นศูนย์กลางแห่งการค้าการขายทางน้ำ) และเมื่อน้ำมาเจอกับ ‘ชายฝั่ง’ จึงเป็นการก่อกำเนิดชีวิตอีกมากมาย
ส่วนจัดแสดงหลักได้ Curator ของ Miraikan หรือ National Museum of Emerging Science and Innovation อย่าง Maholo Uchida มาดูแล โดยจำลองชีวิต ข้าวของ และหุ่นยนต์ ในโลกอีก 50 ปีข้างหน้า (ปี 2075) ซึ่งจะแสดงงานแกนหลักของ Ishiguro คือหุ่นยนต์และแอนดรอยด์แบบต่าง ๆ ร่วมกับสิ่งของ เครื่องใช้ บริการ โซลูชัน ที่ได้ Co-create กับอีก 7 พันธมิตรใน 7 แง่มุมชีวิต (Future Project)
ที่ท้าทายกว่าคือการสร้างภาพจินตนาการถึงโลกในอีก 1,000 ปีข้างหน้า ซึ่งอยู่ในส่วนจัดแสดงสุดท้าย
Ishiguro มีมุมมองว่า “มนุษย์ไม่เพียงแต่พึ่งพาวิวัฒนาการทางชีววิทยาอย่างสัตว์อื่น ๆ แต่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อวิวัฒน์ได้ด้วย นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์”
Future of Life
ธีม : Amplification of lives
โปรดิวเซอร์ : Hiroshi Ishiguro
08
การจัดการข้อมูลอย่างเหมาะสม จะสั่นกังวานและเปล่งประกายมนุษย์
“ชีวิตมนุษย์กำลังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของอารยธรรม ในโลกแห่งอนาคต แต่ละคนจะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีคุณค่าที่แตกต่างหลากหลายได้ (ไม่จำเป็นต้องยึดแบบใดแบบหนึ่งแบบเดียว เหมือนในอดีตที่ผ่านมา เช่น คุณค่า = เงิน) ดำรงอยู่ร่วมกันได้ นี่จะเป็นประชาธิปไตยแบบใหม่”
Hiroaki Miyata เป็น Data Scientist ที่มองเห็นโยงใยของข้อมูลกับสังคมและมนุษย์ เขาเป็นอาจารย์ ทำงานในแวดวงสาธารณสุข และเป็นผู้นำทางความคิดคนหนึ่งของญี่ปุ่น ตอนโควิด-19 แพร่ระบาด เขาใช้ข้อมูลของ National Clinical Database (กว่า 5,000 โรงพยาบาล) LINE และ Ministry of Health, Labour and Welfare ติดตามการแพร่ระบาดทั่วประเทศ นำไปสู่มาตรการตอบสนองที่แม่นยำและทันท่วงที
กุญแจอยู่ที่ ‘ข้อมูล’ ทั้งการใช้ การแชร์ การเก็บสะสม อย่างเหมาะสม (ที่เขาเรียกว่า DFFT – Data Free Flow with Trust) เขาเขียนหนังสือ (ในภาษาญี่ปุ่นซึ่งแปลชื่อให้เราพอนึกออก) อย่าง Resonating Future: the future created by the data revolution (ปี 2020) และ Data-based Nation Theory (ปี 2021) ซึ่งนำเสนอวิสัยทัศน์ของสังคมแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘Resonating Society’ และเป็นแก่นความคิดของพาวิเลียนนี้
แต่ความคิดที่ค่อนข้างเป็นนามธรรมของ Miyata นี้ จะแปลงเป็นพาวิเลียนเพื่อสื่อสารชัด ๆ ได้อย่างไร Miyata เจาะจงเลือก SANAA มาเป็นสถาปนิก เพราะชอบงานที่ผ่านมา และเห็นว่าน่าจะสื่อสารความคิดหลักในครั้งนี้ได้
“ผลงานอย่าง 21st Century Museum of Contemporary Art ในเมือง Kanazawa หรือ Louvre-Lens เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมที่เปิดพรมแดนให้ผู้คนมาพบปะกัน เชื่อมต่อกัน และสร้างวัฒนธรรมใหม่ ๆ”

ความคิด ‘พาวิเลียนที่ปราศจากผนังและเพดาน’ ก็เกิดขึ้น และด้วยตำแหน่งที่ติดกับ ‘ป่าแห่งความเงียบ’ ตรงศูนย์กลางงาน Miyata ต้องการให้พาวิเลียนของเขาเชื่อมต่อกลมกลืนกัน งั้นก็ทำอาคารให้ ‘เหมือนป่า’ ไปเลยไหม – Kazuyo Sejima 1 ใน 2 พาร์ตเนอร์แห่ง SANAA คิดอย่างปักธงในใจ คนเดินเข้าออกได้อิสระ แดดลมฝนก็เข้าได้ มันไม่ใช่หลังคา แต่เป็นโครงสร้างอันละเอียดอ่อนประหนึ่งก้อนเมฆที่ติดตั้งบนความสูงระดับเดียวกับต้นไม้

ยิ่งกว่านั้นยังได้ Curator มือเอกแห่งวงการอย่าง Yuko Hasegawa มาร่วมแปลงเนื้อหาความคิด สู่ชิ้นงานและกระบวนการภายในพาวิเลียนด้วย
ที่ผ่านมา Yuko และ SANAA ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานสำคัญหลายครั้ง ตั้งแต่ 21st Century Museum of Contemporary Art, Kanazawa (ที่ Yuko เป็น Chief Curator และ SANAA เป็นสถาปนิก) หรือโปรเจกต์ Art House บนเกาะ Inujima (ที่ Yuko เป็น Curator และ SANAA เป็นสถาปนิก)

Better Co-Being Pavilion นำเสนอผ่าน 3 ประสบการณ์
1) ระหว่างผู้คนกับผู้คน
2) ระหว่างผู้คนกับโลก (สายรุ้งจะถูกสร้างผ่านแสง น้ำ และการเคลื่อนไหวของผู้เข้าชม เพื่อสื่อสารว่าไม่ได้เกิดโดยบังเอิญ แต่จากเจตจำนงและการร่วมมือ)
3) ระหว่างผู้คนกับอนาคต (สร้าง Vision for the Future ร่วมกัน ผ่านการจับการเคลื่อนไหวของผู้เข้าชม และข้อมูลสภาพอากาศในเวลานั้น) โดยมีเครื่องมือเสริมอีก 2 อย่าง นั่นคือก้อนหินมหัศจรรย์นำทาง Echorb และแอปฯ Better Co-Being
“เราหวังว่าผู้ชมจะกลับไปพร้อมกับมุมมองใหม่ ๆ และถักทอมันเข้ากับชีวิตประจำวันของตนเอง” Miyata หวัง
คำถามสำคัญที่ว่าเราจะสร้างคุณค่าอย่างไรในโลกแห่งการเชื่อมต่อ มีคำตอบหนึ่งถูกนำเสนอผ่านความพยายามสื่อสารเรื่องยาก ๆ ให้เห็นภาพชัดขึ้นผ่านพาวิเลียนนี้
“การดำรงอยู่ร่วม (Coexistence) ไม่ใช่คำสวย ๆ และทุกคนถูกบังคับให้ขบคิด ไม่ว่าจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม”
Better Co-Being
ธีม : Resonance of Lives
โปรดิวเซอร์ : Hiroaki Miyata