ธุรกิจ : SHOESHOUSE, UPCYDE

ประเภทธุรกิจ : โรงงานผลิตรองเท้าและสินค้าเครื่องหนังส่งออกต่างประเทศ, โรงงานผลิตหนังเทียมจากวัสดุธรรมชาติส่งออกต่างประเทศ

ปีที่ก่อตั้ง : พ.ศ. 2504

อายุ : 61 ปี

ผู้ก่อตั้ง : ณัฐเวศ การุณงามพรรณ

ทายาทรุ่นสอง : เกรียงไกร การุณงามพรรณ

ทายาทรุ่นสาม : มาย การุณงามพรรณ

เราอ่านเรื่องราวของ SHOESHOUSE บนโพสต์สปอนเซอร์ในอินสตาแกรม

โพสต์นั้นเล่าถึงการรับจ้างผลิตของโรงงานแห่งนี้ ที่ให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนเป็นอันดับแรก โดยพยายามแก้ปัญหาของอุตสาหกรรมการผลิตรองเท้าที่ในแต่ละปีสร้างขยะจำนวนมหาศาล

หลังจากติดต่อหา มาย การุณงามพรรณ ทางโทรศัพท์ ก็ได้รู้ว่าธุรกิจนี้เป็นผลงานของทายาทรุ่นสามโรงงานรับจ้างผลิตรองเท้า (Original Equipment Manufacturer : OEM) อายุกว่า 60 ปี ผลิตรองเท้าให้แบรนด์ต่างประเทศดัง ๆ หลายเจ้าอย่าง Birkenstock จากประเทศเยอรมนี ต่อยอดมาเป็นธุรกิจ OEM และ ODM (Original Design Manufacturer) ที่มีจุดเด่น 3 เรื่อง

หนึ่ง ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ใช้ การออกแบบ หรือกระบวนการผลิต

สอง สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศ ด้วยการรับผลิตขั้นต่ำในจำนวนน้อย ลูกค้าจะได้ไม่ต้องสั่งสินค้าเกินความจำเป็น เกิดเป็นขยะที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์

สาม มองภาพรวมของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) จนสามารถต่อยอดเป็นอีกธุรกิจ เกิดเป็น UPCYDE สตาร์ทอัพผลิตวัสดุหนังเทียมที่ทำจากวัตถุดิบทางการเกษตร

SHOESHOUSE สตาร์ทอัพผลิตหนังเทียมจากผลไม้ของทายาทโรงงานรองเท้า ต่อยอดธุรกิจ OEM ยั่งยืน

01

มายทำงานเป็นภูมิสถาปนิกตั้งแต่เรียนจบ เพราะสนใจเรื่องงานออกแบบ ประสบการณ์ของมนุษย์ และความยั่งยืน โดยตั้งใจว่าจะให้สิ่งที่ทำเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่มากก็น้อย

ทำงานได้สักพักจึงตัดสินใจมองกลับมาที่ธุรกิจครอบครัว

SHOESHOUSE สตาร์ทอัพผลิตหนังเทียมจากผลไม้ของทายาทโรงงานรองเท้า ต่อยอดธุรกิจ OEM ยั่งยืน

โรงงานรองเท้าของที่บ้านมีอายุเกือบ 60 ปีตอนมายเข้ามารับช่วงต่อ ก่อตั้งโดย อากงณัฐเวศ การุณงามพรรณ ช่างทำรองเท้าฝีมือดี มีจุดเด่นที่งานละเอียด พอเริ่มมีชื่อเสียงก็สร้างทีม มีลูกน้อง จนสุดท้ายเปิดโรงงานรับจ้างผลิตขึ้นมา โดยมีลูกค้าในเป็นแบรนด์ในประเทศทั้งหมด

อากงส่งไม้ต่อให้ คุณพ่อเกรียงไกร การุณงามพรรณ ผู้เริ่มพาโรงงานแห่งนี้ไปโชว์ตัวที่งานแฟร์ในต่างประเทศอย่างน้อย ๆ 2 เดือนครั้งติดต่อกันอยู่หลายปี จนเป็นที่รู้จักในหมู่ลูกค้าทั้งฝั่งอเมริกาและยุโรป จากที่เคยผลิตให้แบรนด์ไทย ก็เปลี่ยนไปส่งออกให้ต่างชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ 

SHOESHOUSE สตาร์ทอัพผลิตหนังเทียมจากผลไม้ของทายาทโรงงานรองเท้า ต่อยอดธุรกิจ OEM ยั่งยืน
SHOESHOUSE สตาร์ทอัพผลิตหนังเทียมจากผลไม้ของทายาทโรงงานรองเท้า ต่อยอดธุรกิจ OEM ยั่งยืน

02

มายเริ่มทำ SHOESHOUSE ในช่วงโควิด-19 เพราะต้องการช่วยธุรกิจครอบครัวอีกแรงหนึ่ง

โรคระบาดทำให้ไม่มีการเดินทางข้ามพรมแดน เศรษฐกิจชะลอตัว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการส่งออก ออเดอร์จากลูกค้าต่างประเทศลดลงจนกระทบการดำเนินงานของธุรกิจ

เธอใช้เงินก้อนเดียวของที่บ้านสร้างหน้าร้านขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อกับลูกค้า และตั้งใจให้ธุรกิจใหม่นี้แก้โจทย์ 3 ข้อ

ข้อแรก เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าในประเทศ โดยเฉพาะแบรนด์ที่เพิ่งเริ่มต้นและมองหาผู้ผลิตที่จะโตไปพร้อมกับเขา การจะขยายไปเป็นแบรนด์ใหญ่ก็ต้องเริ่มจากก้าวเล็ก ๆ ก่อน มายอยากสนับสนุนผู้ประกอบการหล่านี้ ลูกค้าหลายคนผลิตกับมายตั้งแต่จำนวนแค่ 50 คู่ จนปัจจุบันเป็นหลักหลายพัน

ข้อสอง เมื่อกลุ่มเป้าหมายคือผู้ประกอบการรายย่อย จำนวนขั้นต่ำในการผลิตจึงต้องลดลงไปด้วย จากโรงงานคุณพ่อเกรียงไกรที่เข้าข่ายการผลิตจำนวนมาก (Mass Production) ที่รับขั้นต่ำ 10,000 คู่ให้คุ้มค่ากับต้นทุนที่เสียไป SHOESHOUSE เริ่มต้นที่ 50 คู่เท่านั้น

การผลิตในจำนวนน้อยลงนำมาสู่โจทย์ข้อที่สาม 

ปัญหาใหญ่ของการผลิตจำนวนมากคือ วัสดุที่เหลือทิ้งไม่ได้ใช้งานจนหมดอายุไข ทุกครั้งที่มีออเดอร์ลูกค้าต่อเนื่องทุกเดือน โรงงานต้องประมาณการและสั่งวัสดุเผื่อไว้ในกรณีที่ Supplier ส่งของไม่ตรงเวลา ทำให้เกิดเป็นขยะ 

เมื่อผลิตจำนวนน้อยได้ แบรนด์เล็ก ๆ ก็ไม่ต้องเจอกับปัญหาจำนวนสินค้าเกินความจำเป็น 

และนอกจากการผลิตที่เกินความต้องการแล้ว อีกปัญหาที่มายเห็นจากการทำงานของโรงงานคือ ทรัพยากรเหลือทิ้ง ลองนึกภาพแผ่นหนังหรือ PU ที่นำมาตัดแพตเทิร์น มักมีส่วนเหลือทิ้งที่ไม่ได้ใช้งาน เพราะการตัดด้วยเครื่องจักรไม่ละเอียดเท่าการตัดมือ ต้องเผื่อพื้นที่ เธอจึงนำความรู้ด้านการออกแบบมาช่วยลูกค้าแก้ปัญหาตรงนี้อีกทาง ขณะเดียวกันก็นำเสนอวัสดุ Deadstock จากโรงงานที่บ้านให้เป็นทางเลือกให้ลูกค้า ซึ่งเขานำไปสื่อสารเรื่องความยั่งยืนกับลูกค้าของตัวเองได้อีกที

SHOESHOUSE สตาร์ทอัพผลิตหนังเทียมจากผลไม้ของทายาทโรงงานรองเท้า ต่อยอดธุรกิจ OEM ยั่งยืน

03

หนังแท้ใช้เวลาย่อยสลายนานกว่า 20 ปี

ส่วนหนัง PU ใช้เวลานานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบ

การขยับตัวของ SHOESHOUSE ทำให้คู่ค้าเริ่มเห็นแนวทางยั่งยืนของตัวเอง โรงงานผลิตหนังที่คุ้นเคยกันดีมาหลายสิบปี ช่วยหาวิธีนำวัสดุเหลือใช้มาเข้ากระบวนการแปรรูปเป็นสิ่งใหม่ แทนที่จะเอาหนังไปเผาหรือฝังกลบ ก็นำมาเปลี่ยนเป็นแผ่นหนังอีกรูปแบบหนึ่งแล้วนำกลับมาใช้ผลิตรองเท้าต่อ นอกจากจะได้วัสดุที่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำลายทิ้งด้วยเช่นกัน

SHOESHOUSE สตาร์ทอัพผลิตหนังเทียมจากผลไม้ของทายาทโรงงานรองเท้า ต่อยอดธุรกิจ OEM ยั่งยืน

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทายาทรุ่นสามคนนี้ต้องทำงานหนักเพื่อแสดงฝีมือให้คนรุ่นก่อนเห็น ว่าสิ่งที่คิดเป็นเรื่องจริง

“ตอนแรกไม่มีใครที่บ้านเห็นด้วยเลย เขาไม่เชื่อว่ามีกลุ่มลูกค้ารายย่อยอยู่ จึงไม่ยอมรับเพราะการผลิตจำนวนน้อยไม่คุ้มกับทรัพยากรและแรงงานที่เสียไป เพราะในการผลิตครั้งหนึ่ง เราต้องทำเกินไว้เผื่อเกิดความผิดพลาดด้วย 

“วิธีผลิตจำนวนหมื่นคู่กับ 50 คู่ก็ไม่เหมือนกัน หมื่นคู่เข้าข่ายการผลิตแบบ Mass Production ดังนั้นเขาจะแยกคนทำงาน แต่ละคนทำแต่ละส่วนของตัวเอง คนทำส้นทำส้นไป คนเย็บพื้นก็ทำพื้นไป แยกกันเป็นส่วน ๆ พอผลิตในสเกลเล็กลง เราจึงฝึกให้รองเท้าหนึ่งคู่จบงานได้ด้วยคนคนเดียว

“คุณพ่อมองว่า คนที่เราดึงมาทำ เขาผลิตให้โรงงานเดิมได้ไม่รู้เท่าไหร่ แต่สุดท้ายเขาก็เริ่มเห็น จากที่เราเข้าไปหาตลาด ไม่ว่าจะในกรุ๊ปที่หาคนผลิต หรือแม้กระทั่งนำโปรดักต์เราไปขายที่โรงงานผลิตวัสดุ ถ้าใครสนใจก็รับนามบัตรไป”

ไม่ใช่แค่ทายาทรุ่นก่อนที่ไม่เข้าใจ พนักงานรุ่นก่อนก็ไม่ยังเห็นภาพ

“ไม่มีใครชอบการเปลี่ยนแปลง จากที่เขาเคยทำหน้าที่เดียว เคยชินกับวิธีแบบนั้น ช่วงแรกท้อมาก ต้องพยายามทำให้เขาเห็นว่าเราหวังดีกับธุรกิจ ให้เข้าใจว่าทำไมบริษัทและพนักงานต้องปรับตัวไปด้วยกัน เราพิสูจน์ตัวเองด้วยการอยู่ทำงานกับเขาทั้งวัน ตั้งแต่เข้างานจนเลิกงาน ให้รู้ว่าเราเป็นทีมเดียวกับเขา

“จากที่เคยผลิตแบบเดิม ๆ เขาก็ต้องเรียนรู้เทคนิคใหม่ แพตเทิร์นใหม่ สำคัญคือต้องให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เขาทำมันมีความต้องการในตลาด และการปรับเปลี่ยนของเขาจะช่วยให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ โดยที่ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

ธุรกิจ OEM ของทายาทโรงงานรองเท้าอายุ 60 ปีที่ให้ความสำคัญสิ่งแวดล้อม จนต่อยอดผลิตหนังเทียมจากขยะผลไม้
ธุรกิจ OEM ของทายาทโรงงานรองเท้าอายุ 60 ปีที่ให้ความสำคัญสิ่งแวดล้อม จนต่อยอดผลิตหนังเทียมจากขยะผลไม้

04

หลังจาก SHOESHOUSE เปิดตัว มายก็เจออีกปัญหาใหญ่คือ วัสดุ

โรงงานผลิตวัสดุในประเทศไทยเหลือน้อยมาก ผู้ผลิตส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศจีน ซึ่งเกิดปัญหาบ่อยครั้ง เมื่อผิดพลาดจึงต้องแก้ไข เมื่อแก้ไขก็ทำให้เกิดขยะจากการผลิตเพิ่มขึ้น

“ยังไงอุตสาหกรรมนี้ก็ต้องมีอยู่ แต่จะมีอยู่ยังไงให้สร้างขยะน้อยที่สุด ถ้าเกิดขยะแล้วก็ต้องย่อยสลายได้เร็วที่สุด หรือแม้กระทั่งวิธีการย่อยสลาย ก็ต้องสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเช่นกัน”

เกิดเป็น UPCYDE สตาร์ทอัพผลิตวัสดุหนังเทียมจากวัตถุดิบทางการเกษตรที่เข้ามาอุดช่องโหว่นี้ มายและเพื่อนนักออกแบบลองผิดลองถูกจนสำเร็จ พวกเขาเริ่มจากมองหาขยะที่ใกล้ตัวที่สุด ไปเจอผลไม้ที่กินทุกวัน วางขายในห้างสรรพสินค้าหรือตลาด อย่างรถขายผลไม้เองก็ทิ้งเศษขยะผลไม้ข้างถนนอยู่ทุกวัน

ธุรกิจ OEM ของทายาทโรงงานรองเท้าอายุ 60 ปีที่ให้ความสำคัญสิ่งแวดล้อม จนต่อยอดผลิตหนังเทียมจากขยะผลไม้

“จากนั้นเราย้อนกลับไปดูใน Ecosystem พบว่าเกษตรกรต้นน้ำมีขยะเหลือทิ้งจากพืชผลทางการเกษตรเยอะมาก อย่างผลไม้บางชนิดที่เกษตรกรขาย 1 ลูก มีเนื้อที่ขายต่อได้ส่วนหนึ่ง ที่เหลือต้องทิ้งหมด เขาเลยโดนคนรับซื้อกดราคา เพราะโรงงานแปรรูปต้องมีต้นทุนเพิ่มเพื่อกำจัดขยะตรงนี้ 

“พอมี UPCYDE เราก็เข้าไปรับซื้อส่วนนั้นมาผลิตต่อเป็นหนังเทียม เกษตรกรก็มีรายได้เพิ่มขึ้น ขยะที่ปกติทิ้งไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็กลับมาใช้ผลิตสินค้าต่าง ๆ อีกที”

มายรับทุนก้อนแรกจากการเข้าโครงการของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ก่อนจะร่วมอีกหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นของมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานรัฐ อย่างสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) จนได้มีโอกาสไปเจอกับนักลงทุนที่สิงคโปร์และได้เงินทุนกลับมาต่อยอด โดยตอนนี้กำลังทำโปรเจกต์ร่วมกับหลาย ๆ บริษัทที่มีอุดมการณ์เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนเหมือนกัน ขณะเดียวกันก็สนับสนุน SHOESHOUSE ในด้านวัสดุการผลิตไปด้วย

ธุรกิจ OEM ของทายาทโรงงานรองเท้าอายุ 60 ปีที่ให้ความสำคัญสิ่งแวดล้อม จนต่อยอดผลิตหนังเทียมจากขยะผลไม้

05

แม้ใคร ๆ จะบอกว่าธุรกิจ OEM กำลังอยู่ในขาลง เริ่มมาตั้งแต่ที่จีนเปิดประเทศและรับผลิตในราคาต่ำ โรงงาน OEM หลายแห่งจากหลายอุตสาหกรรมในไทยต้องปิดตัวลงเพราะสู้ราคาไม่ไหว หลายโรงงานปรับตัวมาสร้างแบรนด์ของตัวเอง เพื่อให้อยู่รอดกับราคาผลิตต่อชิ้นที่ลดลงทุกปี

จากการคุยกับมายวันนี้ ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมทั้งโรงงานของคุณพ่อและ SHOESHOUSE ยังดำเนินงานต่อได้ 

นอกจากหมั่นพัฒนาฝีมืออยู่เสมอ เพราะถ้ายังทำแบบเดิมก็พัฒนาทั้งคุณภาพและราคาไม่ได้ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ผู้บริหาร อีกส่วนขึ้นกับความพร้อมที่จะปรับตัว และยอมรับการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน ลูกค้าหลายเจ้าของคุณพ่อเคยย้ายไปลองผลิตที่จีน แต่สุดท้ายก็กลับมาเพราะฝีมือและความละเอียด 

ที่สำคัญ ต้องเปิดใจให้กับเทรนด์ธุรกิจใหม่ ๆ ในปัจจุบันที่แบรนด์ต่างชาติให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อม ธุรกิจทำความเข้าใจความต้องการลูกค้า และหาวิธีการแก้ปัญหาให้ตอบโจทย์นั้น ๆ จนเกิดเป็น UPCYDE ที่อยู่ใน Supply Chain ของธุรกิจขึ้น

ทายาทคนนี้ยังใช้วิธีการคิดแบบสถาปนิกในการบริหารธุรกิจทั้งสอง มองภาพรวมให้ออก แล้วค่อย ๆ ลงลึกในรายละเอียดเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการ นำความรู้และความเชี่ยวชาญเรื่องการออกแบบมาแก้ปัญหาให้ลูกค้า พร้อมนำแนวทางในการทำธุรกิจของคุณพ่อ ผู้พยายามเข้าใจลูกค้าและหาจุดกึ่งกลางที่ทุกฝ่ายพอใจ

“โลกของเราเปลี่ยนไปเยอะ อยู่ดี ๆ ไม่กี่วันก่อน อากาศเย็นขึ้นมาทั้งที่ควรจะเข้าหน้าร้อนแล้ว

“SHOESHOUSE จะช่วยอุตสาหกรรมผลิตรองเท้า ส่วน UPCYDE จะไปอยู่ในทุกอุตสาหกรรมที่ใช้แมททีเรียลหนังเทียม เราอยากเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลง โดยเริ่มจากธุรกิจที่มีนี่แหละ”

ธุรกิจ OEM ของทายาทโรงงานรองเท้าอายุ 60 ปีที่ให้ความสำคัญสิ่งแวดล้อม จนต่อยอดผลิตหนังเทียมจากขยะผลไม้

Writer

พิมพ์อร นทกุล

พิมพ์อร นทกุล

บัญชีบัณฑิตที่พบว่าตัวเองรักหมามากกว่าคน

Photographer

Avatar

เธียรสิน สุวรรณรังสิกุล

ปัจจุบันกำลังหัดนอนก่อนเที่ยงคืน