The Cloud X สารคดีสัญชาติไทย
ในท่ามกลางความมืดมิดของเช้าวันกลางฤดูฝน ผมจอดรถลงข้างทางถนนรอบริมอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากแล้วดับไฟมืดสนิท เพื่อไม่ให้แสงจากไฟหน้ารถไปรบกวนนกกระเรียนที่จับกลุ่มยืนนอนกันในบริเวณกลางน้ำในความมืด แล้วนั่งรอเวลาที่แสงแรกจะจับขึ้นบนปลายฟ้า
บรรยากาศในวันนี้ทำให้ผมนึกหวนไปถึงเมื่อ 2 ปีก่อนที่ผมไปยืนเฝ้าคอยบันทึกภาพแสงแรกของวันกับนกกระเรียนมงกุฎแดงหรือ Red Crowned Crane ในบริเวณสะพาน Otowa Bridge ที่เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น
สิ่งที่ผมจำได้ดีนอกเหนือไปจากความหนาวเหน็บในอุณหภูมิติดลบถึง 15 – 20 องศาเซลเซียส ในช่วงเช้ามืดของเดือนกุมภาพันธ์ที่มือแทบจะเป็นน้ำแข็ง ก็คือบนสะพานเล็กๆ นั้น ผู้คนจากทั่วโลกนับร้อยยืนเบียดเสียดกันแน่นจนแทบจะไม่มีที่ตั้งขากล้อง
ภาพอันงดงามของนกกระเรียนมงกุฎแดงท่ามกลางหมอกหนาทึบและแสงแรกของวันที่ดูสงบงามในเบื้องหน้า ข้างหลังภาพหลังนั้นต้องแลกมาด้วยการไปยืนหนาวเหน็บเฝ้าขาตั้งกล้องตั้งแต่ตี 4 ก่อนที่นักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่หลายสิบคนจะลงจากรถบัสและขนขาตั้งกล้องมาวางจับจองที่กันดูวุ่นวาย เพื่อหามุมภาพที่ดีที่สุดเพื่อรอบันทึกภาพความสงบงามเบื้องหน้า
หากริมอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มากในวันนี้ มีผมเพียงลำพังกับความมืดมิดรอบๆ ตัวเพียงเท่านั้น เมื่อแสงแรกของวันจับปลายฟ้า พอมองเห็นเงานกกระเรียนที่ยืนหลับในน้ำตะคุ่มๆ ผมจึงค่อยๆ เปิดรถออกแล้วหยิบขาตั้งกล้องท้ายรถออก ค่อยๆ เดินขยับหามุมภาพและแสงที่ต้องการ โดยไม่ต้องรีบร้อนหรือแก่งแย่งแข่งขันกับใคร
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเมื่อฝูงนกกระเรียนกว่า 20 ตัวนั้นโผบินขึ้นพร้อมๆ กัน ก่อนจะแยกย้ายกันออกไปหากินในทุ่งเบื้องหน้าในแสงแรกของวันนั้น คือสิ่งที่ชัดเจนที่สุดที่เชื่อมโยงภาพสะท้อนความเหมือนที่แตกต่างกันระหว่าง 2 สายพันธุ์นกกระเรียนที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำห่างกันไปหลายพันไมล์
นกกระเรียนพันธุ์ไทย Sarus Crane (Grus antigone sharpii) เป็นหนึ่งในสัตว์ป่าสงวน 19 ชนิดของประเทศไทย เป็นหนึ่งในนกน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งที่เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงถึง 150 – 167 เซนติเมตร หรือสูงเกือบเท่าผู้ใหญ่ที่มีความสูงเฉลี่ยของคนเอเชีย นกกระเรียนพันธุ์ไทยเคยสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติในเมืองไทยมานานกว่า 50 ปี โดยมีรายงานพบเห็นในธรรมชาติครั้งสุดท้ายใน พ.ศ. 2511 ในบริเวณชายแดนติดประเทศกัมพูชา
ในอดีต จากบันทึกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับลานนกกระเรียน ระหว่างเสด็จไปตรวจราชการหัวเมืองมณฑลอุดรกับมณฑลอีสานใน พ.ศ. 2448 ทรงพบนกกระเรียนพันธุ์ไทยมาทำรังวางไข่ในบริเวณทุ่งนับพันนับหมื่นตัว ก่อนที่พื้นที่ชุ่มน้ำเหล่านี้จะกลายสภาพเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่เกษตรในเชิงพาณิชย์
เมื่อประเทศไทยได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งออกข้าวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก พื้นที่แหล่งอาศัยและทำรังของนกกระเรียนก็กลายสภาพมาเป็นพื้นที่ทำกิน และหลังจากนั้นนกกระเรียนพันธุ์ไทยก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทย โดยยังคงมีเหลืออยู่ในธรรมชาติในบางพื้นที่ของประเทศกัมพูชาและเวียดนาม
โครงการนำนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ พ.ศ. 2525 โดยความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับมูลนิธิอนุรักษ์นกกระเรียนสากล (International Crane Foundation) นำนกกระเรียนสายพันธุ์ Sarus Crane สายพันธุ์ย่อยที่พบในอินโดจีนและที่เคยพบในประเทศไทยนั้นมาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยแรกเริ่มนั้นนำมาเลี้ยงดูอยู่ที่ศูนย์เพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่าบางพระจำนวน 6 ตัว
จนกระทั่งใน พ.ศ. 2540 สวนสัตว์โคราชเริ่มขยายพันธุ์แบบธรรมชาติและการผสมเทียมเป็นผลสำเร็จ จากจำนวนเริ่มต้นเพียง 26 ตัว ได้ลูกนกที่เกิดมารวม 100 ตัว ใน พ.ศ. 2552 จึงได้เริ่มโครงการทดลองปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยที่เพาะพันธุ์ได้คืนสู่พื้นที่ชุ่มน้ำในธรรมชาติใน พ.ศ. 2554 โดยปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยจำนวน 10 ตัวในบริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก อำเภอเมืองฯ จังหวัดบุรีรัมย์ และที่อ่างเก็บน้ำสนามบิน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ และได้ดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มีการปล่อยนกกระเรียนไทยคืนสู่ธรรมชาติแล้วถึง 105 ตัว และมีลูกนกที่เกิดในธรรมชาติแล้วไม่ต่ำกว่า 15 ตัว
ศูนย์อนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและนกกระเรียนพันธุ์ไทยจังหวัด บุรีรัมย์ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณริมอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก คือพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับการติดตามศึกษา และเฝ้าบันทึกภาพนกกระเรียนพันธุ์ไทยที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติในเมืองไทย
โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูฝน เป็นช่วงที่นกกระเรียนจะมารวมตัวกันเต้นรำ จับคู่ ก่อนแยกย้ายกันออกไปทำรังวางไข่ในพื้นที่ซึ่งเป็นทุ่งนาของชาวบ้าน ทางองค์การสวนสัตว์และสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยจึงได้ร่วมกันจัดทำโครงการกระเรียนอุปถัมภ์ขึ้น เพื่อชดเชยค่าเสียหายแก่เจ้าของที่นาในช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่นกกระเรียนเข้าไปทำรัง และเพื่อให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครดำเนินงานติดตามลูกนกกระเรียนที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ เพราะว่าลูกนกกระเรียนที่เกิดขึ้นในธรรมชาตินี้ คือตัวแปรหลักชี้วัดความยั่งยืนของสายพันธุ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยที่จะกลับมาสู่ภูมิภาคนี้อีกครั้ง
เมื่อลูกที่เกิดจากธรรมชาติในรุ่นที่ 2 จับคู่และทำรังเองในธรรมชาติได้ ก็หมายถึงว่า วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ก็ใกล้จะสัมฤทธิ์ผล และคงเหลือแต่เวลาที่จะให้จำนวนของประชากรนกกระเรียนในธรรมชาตินั้นเพิ่มจำนวนขึ้นมาเองทีละน้อย
นอกเหนือไปจากความพยายามรักษาพื้นที่ทำรังและวางไข่ของนกกระเรียนแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ก็คือการจะทำให้นกกระเรียนที่เคยสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาตินั้นอยู่ร่วมกันกับชาวบ้านและชุมชนได้
นอกเหนือไปจากการทำความเข้าใจกับพื้นที่และชุมชนแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนมากที่สุด ก็คือการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวจากเกษตรเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ เพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่คนและสัตว์จะอาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนกันได้อย่างยั่งยืน และนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ข้าวหอมมะลิในชื่อ ‘ข้าวสารัช’ หรือ ‘Sarus Rice’ ที่มีนกกระเรียนพันธุ์ไทยเป็นสัญลักษณ์ นอกจากสร้างคุณค่าให้การเกษตรอินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยบรรเทาผลกระทบจากนาข้าวที่นกกระเรียนพันธุ์ไทยไปทำรัง และสร้างพื้นที่อาศัยที่ปลอดภัยของนกกระเรียนพันธุ์ไทยให้คงอยู่ร่วมกันกับชุมชนได้ตลอดไป