21 มิถุนายน 2025
3 K

สันป่าข่อย’ คือชื่อของย่านหนึ่งในตำบลวัดเกต บนถนนเจริญเมือง ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มต้นจากสี่แยกสถานีรถไฟไปสิ้นสุดที่สะพานนวรัฐซึ่งเชื่อมต่อเข้าสู่ถนนท่าแพ สู่ใจกลางเมืองหลวงเก่าแห่งล้านนา

ในยุคที่รถไฟยังเป็นพาหนะหลักของการคมนาคม พื้นที่ที่เคยเป็นสันดินอันหนาแน่นด้วยต้นข่อย จนกลายมาเป็นที่มาของชื่อเรียก ‘สันป่าข่อย’ แห่งนี้เป็นย่านแรกที่ผู้มาเยือนต้องใช้สัญจรเพื่อเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่

และเพราะปลายสุดของดินแดนแห่งนี้คือสถานีรถไฟที่เปิดใช้เมื่อ พ.ศ. 2464 ความเจริญแบบใหม่ที่เคลื่อนมาทางรางจึงเริ่มต้นขึ้นที่นี่ก่อนใคร รถไฟนำพาเทคโนโลยี วัสดุก่อสร้าง และแนวคิดใหม่ ๆ เข้าสู่เมืองเหนือ จาก ‘เฮือนแป’ หรือ เรือนไม้แบบล้านนาเดิม อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กหน้าตาทันสมัยก็เริ่มผุดขึ้นมาแทนที่ เช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของร้านจำหน่ายเครื่องจักรกล เครื่องมือช่าง อะลูมิเนียม ไปจนถึงอะไหล่รถยนต์ กลายเป็นย่านธุรกิจการค้าสมัยใหม่อันแสนคึกคัก

เวลาหมุนไป กิจการต่าง ๆ ในย่านถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น บางร้านขยับขยายจากร้านเล็กของพ่อค้าชาวจีนโพ้นทะเล สู่ธุรกิจค้าส่งขนาดใหญ่ บางร้านยังคงรักษาอัตลักษณ์เดิมก่อนกลายเป็นร้านขึ้นชื่อคู่เมือง ภาพจำเหล่านี้ติดตาคนเชียงใหม่มาหลายทศวรรษ นานเสียจนหลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาภูมิทัศน์ของย่านนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไป

เมื่อธุรกิจของคนรุ่นใหม่อย่างคาเฟ่ ร้านอาหาร สตูดิโอนักออกแบบ และแกลเลอรีศิลปะเริ่มทยอยเปิดตัว เพียงพริบตาสันป่าข่อยก็เป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ร่วมสมัยที่กำลังอยู่ในกระแสขึ้นมาเสียเช่นนั้น

ไม่เพียงความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจใหม่ในอาคารเก่า หากย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์คริสต์หลังแรกในเชียงใหม่ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ที่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองนี้เมื่อร้อยปีก่อน ความหลากหลายของเรื่องเล่า อาคาร และประวัติศาสตร์ จึงขมวดรวมกันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว แฝงฝังในทุกตรอกซอย

“เราเคยคุยกันเล่น ๆ ว่า ถ้าดึงสันป่าข่อยออกจากแผนที่ ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของเมืองเชียงใหม่อาจไม่ได้เป็นเช่นทุกวันนี้” อาจารย์แฟน-อจิรภาส์ ประดิษฐ์ สถาปนิกผังเมือง อาจารย์ประจำคณะศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และนักวิจัยผู้ลงพื้นที่สำรวจความเปลี่ยนแปลงของย่านสันป่าข่อยกล่าว

ด้วยอยากรู้ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เราจึงออกเดินสำรวจไปพร้อมกับอาจารย์แฟน ผู้คลุกคลีอยู่กับย่านนี้ราวกับเป็นบ้านหลังที่ 2 เพื่อหาคำตอบในบทความชิ้นนี้

นาวาวิวัฒน์

เรานัดพบกับอาจารย์แฟนที่เชิงสะพานนวรัฐฝั่งตะวันออก บริเวณหัวถนนเจริญเมือง จุดเริ่มต้นของการเดินทางวันนี้

แม้อาจารย์แฟนไม่ใช่ชาวสันป่าข่อยโดยกำเนิด แต่ในฐานะศิษย์เก่าโรงเรียนดาราวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ ๆ ประกอบกับครอบครัวของเธอเคยทำธุรกิจขายวัสดุก่อสร้าง เธอจึงคุ้นเคยกับย่านนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะมักตามแม่มาซื้อของที่ร้านค้าส่งในละแวกนี้เป็นประจำ

จากความผูกพันนั้น ในอีกหลายสิบปีต่อมาเธอจึงเลือกทำวิจัยในพื้นที่สันป่าข่อย ภายใต้ ‘โครงการบูรณาการทรัพยากรเมืองเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์’ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงใหม่

ไจสันป่าข่อย’ เพจเฟซบุ๊กที่รวบรวมข้อมูล ความทรงจำ และเรื่องเล่าของผู้คนในย่านนี้คือหนึ่งในผลลัพธ์ของงานวิจัยดังกล่าว

คำว่า ‘ไจ’ ไม่ได้มาจาก ‘หัวใจ’ หากแต่เป็นคำเมืองที่แปลว่า ‘เยี่ยมเยือน’ – ชื่อโครงการนี้ตรงไปตรงมาในการชวนทุกคนมาเยี่ยมเยือนสันป่าข่อย พร้อมสำรวจพลวัตของสถาปัตยกรรมและวิถีของย่านที่มีจุดเริ่มต้นมาจากแม่น้ำปิง เส้นเลือดใหญ่ในอดีตของชุมชน รวมถึงเมืองเชียงใหม่ทั้งเมือง

“ก่อนจะมีรถไฟแม่น้ำปิงคือเส้นทางหลักในการขนส่ง และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ย่านวัดเกตและสันป่าข่อยเป็นย่านที่หลากหลายอย่างทุกวันนี้” อาจารย์แฟนเล่าพลางชี้ไปยังคุ้งน้ำใต้สะพานนวรัฐ มีฉากหลังเป็นทิวอาคารบนถนนท่าแพและดอยสุเทพที่ทอดตัวอยู่ที่ปลายฉากทัศน์

พ.ศ. 2407 คือหมุดหมายสำคัญ เมื่อเมียนมาดินแดนเพื่อนบ้านของอาณาจักรล้านนาตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ บริษัทบริติช บอร์เนียว จึงเริ่มขยายธุรกิจเข้ามาในเชียงใหม่ ตามมาด้วยบริษัทต่างชาติอีกมากมายที่ต่างมาทำสัมปทานไม้สักกับรัฐบาลสยาม

ผลที่ตามมาคือแม่น้ำปิงกลายเป็นเส้นทางขนส่งหลักในอุตสาหกรรมไม้ ซึ่งยังดึงดูดให้ชาวต่างชาติทั้งอังกฤษ เมียนมา อินเดีย และจีน ต่างเข้ามาสร้างบ้านเรือนริมแม่น้ำ โดยเฉพาะในชุมชนรอบวัดเกตการาม ก่อนขยายมาถึงย่านสันป่าข่อยที่เรายืนอยู่

เช่นเดียวกับคริสต์ศาสนาที่เดินทางมาถึงเชียงใหม่ในอีก 3 ปีต่อมา (พ.ศ. 2410) เมื่อมิชชันนารีกลุ่มเพรสไบทีเรียน (นิกายโปรเตสแตนต์) จากสหรัฐอเมริกาเดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนา ก่อนจะได้รับอนุญาตจากเจ้าเมืองเชียงใหม่ในเวลานั้นให้ตั้งโบสถ์คริสต์แห่งแรกบริเวณเชิงสะพานนวรัฐ (สร้างเมื่อ พ.ศ. 2434) ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของศิลปวิทยาการสมัยใหม่จากโลกตะวันตกที่หลั่งไหลสู่ล้านนา

“การเข้ามาของศาสนาคริสต์ทำให้เชียงใหม่เกิดโรงพยาบาลสมัยใหม่แห่งแรก คือโรงพยาบาลแมคคอร์มิค มีโรงเรียนสตรีแห่งแรกอย่างดาราวิทยาลัย ซึ่งแต่เดิมตั้งอยู่เชิงสะพานนวรัฐบนที่ดินเดียวกับโบสถ์คริสต์ (เดิมชื่อโรงเรียนพระราชชายา ปัจจุบันย้ายไปอยู่บนถนนแก้วนวรัฐ – ผู้เขียน) รวมถึงการมีโรงเลื่อย โรงสี อู่ต่อเรือ ไปจนถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอื่น ๆ” อาจารย์แฟนกล่าว

และใช่ ศิลปะวิทยาการสมัยใหม่ในเมืองเชียงใหม่ก็ได้เริ่มต้น ณ ที่แห่งนี้

คาเฟ่ในคริสตจักร

หากสิ่งปลูกสร้างที่อาจารย์แฟนเล่าคือภาพสะท้อนของภาวะสมัยใหม่เมื่อกว่าร้อยปีก่อน ‘McCLANAHAN Coffee (แมคคานาฮาน คอฟฟี่)’ คาเฟ่ที่ตั้งอยู่ในรั้วเดียวกับโบสถ์คริสตจักรที่หนึ่ง จังหวัดเชียงใหม่ ก็อาจเป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความร่วมสมัยของชุมชนเมืองแห่งนี้

อาคาร 2 ชั้นสไตล์โคโลเนียลอายุ 100 ปี (สร้างเมื่อ พ.ศ. 2468) เดิมเป็นศูนย์สุขภาพของโรงพยาบาลแมคคอร์มิค (ก่อนที่โรงพยาบาลจะย้ายไปตั้งบนถนนแก้วนวรัฐ) และได้รับการปรับปรุงให้เป็นร้านกาแฟ แต่ยังคงอนุรักษ์โครงสร้างดั้งเดิมไว้อย่างสมบูรณ์

“จะบอกว่านี่คืออาคาร 2 ชั้นก็ไม่ถูกนัก มันเป็นอาคารชั้นเดียวที่มีใต้ถุน หรือชั้นใต้ดินที่ค่อนข้างสูงมากกว่า” อาจารย์แฟนเล่า

“ในมุมของสถาปนิก ความพิเศษของอาคารหลังนี้คือการมีผนังรับน้ำหนัก (Bearing Wall) ขนาดใหญ่ในชั้นใต้ดิน รูปแบบนี้พบได้มากในอาคารที่ได้รับอิทธิพลการก่อสร้างจากฝั่งตะวันตกและสหรัฐอเมริกา แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีความยืดหยุ่นสำหรับการต่อเติม จึงไม่ค่อยปรากฏในอาคารยุคปัจจุบัน อนุมานได้ว่าอาคารหลังนี้น่าจะเป็นหนึ่งในหลักฐานของการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านสถาปัตยกรรมตะวันตกสู่เชียงใหม่เป็นครั้งแรก ๆ”

อาจารย์แฟนเล่าเสริมอีกว่า เมื่อปีที่แล้ว อาจารย์ป๋อง-ผศ.ดร.วรสิทธิ์ ตันตินิพันธุ์กุล ชวนศาสตราจารย์ด้านสถาปัตยกรรมจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐอเมริกา มาเยือนที่นี่ รวมถึงอาคารอีกหลายหลังในละแวกที่เคยสร้างโดยกลุ่มมิชชันนารีจากสหรัฐอเมริกาในยุคเดียวกัน เช่น โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โรงเรียนดาราวิทยาลัย หรืออาคารเก่าที่ปัจจุบันเป็น ‘โรงแรม 137 Pillars House

ผู้มาเยือนจากอีกซีกโลกบอกกับอาจารย์ป๋องว่า ไม่น่าเชื่อว่าองค์ความรู้ด้านสถาปัตยกรรมบางอย่างที่ค่อย ๆ เลือนหายไปในสหรัฐอเมริกากลับยังได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดีที่เชียงใหม่”

นั่นล่ะ ไม่เพียงเพราะเส้นสายหรือรูปทรงของอาคาร แต่เฉพาะเจาะจงไปถึงกลุ่มเสาต้นหนาที่ทำหน้าที่เป็นผนังรับน้ำหนักใต้คาเฟ่แห่งนี้

โบสถ์คริสตจักรที่หนึ่ง ซึ่งมี 2 หลัง

ก่อนจะไปต่อ มีเกร็ดอยากเล่าเสริมเล็กน้อยเกี่ยวกับโบสถ์คริสตจักรที่หนึ่งเชียงใหม่

หลายคนอาจสงสัยว่าโบสถ์คริสต์หลังแรกของเชียงใหม่อยู่ตรงไหนกันแน่ เพราะเมื่อมองจากสะพานนวรัฐ บริเวณสี่แยกปากทางถนนเจริญเมือง จะเห็นทั้งอาคารโบสถ์ไม้สักที่มีหอระฆังของโรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียนทางขวามือ (ถนนเชียงใหม่-ลำพูนสายเก่า) ขณะเดียวกันเมื่อมองไปทางจะเห็นอาคารทรงสามเหลี่ยมยอดแหลมที่มีป้ายด้านหน้าระบุว่าเป็น ‘ช่องคริสตจักรที่หนึ่งเชียงใหม่’ ซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกับ McCLANAHAN Coffee (ถนนเจริญราษฎร์)

คำตอบคือทั้ง 2 แห่งคือโบสถ์คริสตจักรที่หนึ่งเชียงใหม่ เช่นเดียวกัน

ข้อมูลจากสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่าอาคารไม้สูงโปร่งของโรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน เดิมคืออาคารโบสถ์หลังแรกที่ออกแบบและสร้างโดย หมอชีค-มาริออน อลองโซ ชีค (Marion Alonzo Cheek) ตามแนวคิดของ ศาสนาจารย์ดาเนียล แมคกิลวารี (Daniel McGilvary) ผู้นำมิสชันนารีที่เข้ามาในเชียงใหม่

โบสถ์หลังนี้เปิดใช้งานเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2434 และใช้เป็นสถานที่นมัสการเรื่อยมา กระทั่งเมื่อศาสนิกชนในเชียงใหม่เพิ่มมากขึ้นและอาคารหลังเดิมไม่อาจรองรับความจุได้ต่อไป ใน พ.ศ. 2511 จึงมีการสร้างโบสถ์หลังใหม่บนพื้นที่ที่เป็นบ้านพักของมิชชันนารีและโรงเรียนสตรีคริสเตียนแห่งแรก ‘โรงเรียนพระราชชายา’ บนถนนเจริญราษฎร์ (ปัจจุบันคือโรงเรียนดาราวิทยาลัย – ซึ่งย้ายไปอยู่บนถนนแก้วนวรัฐ)

โดยอาคารโบสถ์หลังใหม่ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันหลังนี้ ออกแบบโดย ศาสนาจารย์เทเลอร์ พอตเตอร์ (Taylor Potter) ซึ่งเป็นแบบที่ชนะเลิศการประกวดของสถาบันสถาปนิกแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา และถือเป็นอาคารที่ล้ำสมัยมากในยุคนั้น

ภายหลังมีการเปิดใช้อาคารโบสถ์หลังใหม่ อาคารหอระฆังหลังเก่าก็ตกไปอยู่ในการดูแลของโรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน และนี่คือที่มาของโบสถ์คริสตจักรที่หนึ่งซึ่งมี 2 หลัง อยู่ริมแม่น้ำปิงฝั่งตะวันออกของเมืองนั่นเอง

ความรุ่มรวยของคอนกรีต

พลันออกจากคริสตจักร เลี้ยวซ้ายตรงต้นฉำฉาบริเวณสี่แยกเชิงสะพานนวรัฐ ถนนเจริญเมืองต้อนรับเราด้วยแนวอาคารพาณิชย์ทอดยาวสุดสายตา นี่คือหลักฐานของศิลปะและวิทยาการสมัยใหม่ที่เดินทางมาถึงเชียงใหม่พร้อมรางรถไฟ

“เจ้าของอาคารส่วนใหญ่ในย่านนี้เป็นลูกหลานชาวจีนที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานในเชียงใหม่เมื่อร้อยปีก่อน สมัยก่อนพวกเขาจะเดินทางมาทางเรือ แต่สิ่งปลูกสร้างที่เราเห็นในปัจจุบัน ทั้งปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น และกระเบื้อง คือวิวัฒนาการที่มาพร้อมรถไฟ” อาจารย์แฟนเล่า

ด้วยความที่เจ้าของอาคารส่วนใหญ่เป็นชาวจีนที่มาตั้งรกรากในเมืองเชียงใหม่ เราจึงเห็นร่องรอยของสถาปัตยกรรมห้องแถวแบบจีน ผสานกับรูปทรงโมเดิร์นที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก และการตกแต่งด้วยลวดลายฉลุไม้พื้นถิ่นปนเปกันไปอย่างมีเสน่ห์

ไม่ว่าจะเป็นอาคารกานดา วิบุลสันติ ที่มีเส้นสายคล้ายเก๋งจีน อาคารบริษัท เทพวริศ จำกัด และร้านจังหย่งเฮงเส็ง ที่เปิดชั้นล่างโปร่งโล่งสำหรับทำการค้า และมีตรอกด้านข้างสำหรับขนถ่ายสินค้าหรือร้านออยโอ๊ดหมูกระทะที่กรอบซุ้มทางเข้าเป็นโค้งแบบตะวันตก ประดับด้วยกรอบไม้ฉลุลายเถาวัลย์ที่มีการสลักตัวอักษรย่อไว้ด้านหน้า (ซึ่งเราว่าเป็นหนึ่งในร้านหมูกระทะที่เท่ที่สุดในเมือง)

และที่อาจถือได้ว่าเป็นดังแลนด์มาร์กของย่าน คืออาคารหัวมุมถนนสันป่าข่อย (ปัจจุบันคือร้านสุขใจ) ซึ่งเป็นอาคารทรงโค้งรับหัวมุมถนน สะท้อนอิทธิพลสถาปัตยกรรมในรูปแบบ อาร์ตเดโค (Art Deco) ลักษณะเดียวกับอาคารริมถนนราชดำเนินที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ปฐมบทของอิทธิพลจากตะวันตกที่เคลื่อนไหลมาปักหมุดในไทย

ทั้งนี้ องค์ประกอบที่อาจารย์แฟนมองว่าเป็นเสน่ห์ที่สุดของย่านนี้ คือส่วนห่อหุ้มอาคาร หรือ ฟาซาด (Facade) ที่สะท้อนรสนิยมในด้านความงามของเจ้าของ ผ่านการหล่อคอนกรีตเป็นลวดลายหรือรูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ อย่างเพลินสายตา

เมื่อปีที่แล้วอาจารย์แฟนได้เชิญ รศ.ดร.สันต์ สุวัจฉราภินันท์ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาเป็นวิทยากรในกิจกรรมเดินชมสถาปัตยกรรมโมเดิร์นของย่าน อาจารย์สันต์ชี้ให้เห็นว่าฟาซาดของอาคารพาณิชย์ในย่านนี้ รวมถึงถนนท่าแพ (ซึ่งเป็นย่านที่อาจารย์จุดประกายให้เกิดการศึกษาสถาปัตยกรรมโมเดิร์นของเมืองเชียงใหม่) เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2490 – ต้น 2500 ร่วมสมัยกับการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (พ.ศ. 2507) ดังจะเห็นได้จากอาคารเรียนหลายแห่งที่มีอิทธิพลแบบเดียวกัน

“อาจารย์สันต์เล่าให้ฟังว่าฟาซาดคอนกรีตที่ปกคลุมผิวหน้าของอาคารเหล่านี้เป็นสิ่งที่ ‘ไม่จำเป็นต้องมี’ ก็ได้” อาจารย์แฟนกล่าว

“หน้าที่ของมันอาจมีแค่การกรองแสงและส่งเสริมสุนทรียภาพของตัวอาคาร เช่นเดียวกับคานคอนกรีตที่ยื่นรองรับชายคา รวมไปถึงงานฉลุไม้ที่แฝงตัวอักษรชื่อตระกูลที่ประดับอยู่บนกรอบประตูคอนกรีต องค์ประกอบเหล่านี้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสะท้อนความงามและรสนิยมของผู้สร้าง ขณะเดียวกันก็เป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของย่าน รวมถึงเมืองเชียงใหม่ทั้งเมืองในอดีต”

โกดังและกองกีด

นอกจากอาคารพาณิชย์ที่เรียงรายสองฝั่งถนนเจริญเมือง อีกหนึ่งสิ่งปลูกสร้างที่ฝังตัวแนบเนียนอยู่ในภูมิทัศน์ของย่านก็คือ ‘โกดังสินค้า’ ทั้งในรูปแบบโกดังที่อยู่ร่วมกับอาคารร้านค้าดั้งเดิม ไปจนถึงอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นโกดังโดยเฉพาะ

การเป็นย่านการค้าก็เรื่องหนึ่ง หากคำอธิบายด้านภูมิศาสตร์ก็ยืนยันถึงการมีอยู่ของโกดังเหล่านี้ได้ดี

“อย่างที่บอกว่าเมื่อสถานีรถไฟมาถึง สถานที่เก็บหรือพักสินค้าอย่างโกดังจึงเป็นสิ่งจำเป็น และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ย่านสันป่าข่อยพัฒนาขึ้นมา” อาจารย์แฟนเล่า

“หรือถ้าพิจารณาที่ตั้งของมันที่เชื่อมถนนท่าแพซึ่งเป็นย่าน CBD (ศูนย์กลางธุรกิจ) ดั้งเดิมของเมือง ซึ่งอยู่ถัดจากสันป่าข่อยโดยคั่นกลางด้วยแม่น้ำปิง เราจึงอาจมองได้ว่าท่าแพมีบทบาทเหมือนโชว์รูม ส่วนสันป่าข่อยทำหน้าที่เป็นคลังสินค้าก็ไม่ผิด”

อาจารย์แฟนยังเปิดแผนที่ ชี้ให้ดูทำเลที่อยู่ปลายฝั่งตะวันออกของตัวเมืองเชียงใหม่พลางเล่าว่าย่านสันป่าข่อยถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมการขนส่งไปยังอำเภอรอบนอก ทั้งสันกำแพง แม่ออน ดอยสะเก็ด ไปจนถึงจังหวัดเชียงราย ที่นี่จึงเป็นทั้งย่านที่คนต่างถิ่นเข้ามาซื้อสินค้า และยังเป็นจุดพัก-เก็บสินค้า เพื่อส่งขายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ไปพร้อมกัน

ทั้งนี้ ภูมิศาสตร์ดังกล่าวยังช่วยอธิบายได้อีกว่า ทำไมย่านในเมืองเช่นนี้จึงมีครบตั้งแต่ร้านจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภคทั่วไป ไปจนถึงอุปกรณ์การเกษตร เครื่องจักรหนัก หรือแม้กระทั่งโรงสี

‘อาคารลิ้มศักดากุล’ คืออาคารที่แม้ดูภายนอกเหมือนร้านค้าทั่วไป แต่เมื่อเดินเข้าไปจะพบแวร์เฮาส์ขนาดใหญ่ซ่อนตัวอยู่ ที่นี่เคยเป็นทั้งโรงสีข้าว โกดังเก็บไม้ ไปจนถึงร้านจำหน่ายสินค้าแอนทีก ก่อนที่ ปิแอร์-พฤฒิพล อักษรกุล จะมาเช่าเปิดเป็นร้านกาแฟสโลว์บาร์ flo coffee brewers กลายมาเป็นจุดเช็กอินของคอกาแฟเชียงใหม่ในปัจจุบัน

นอกจากได้ลิ้มรสกาแฟหอม ๆ ฝีมือปิแอร์ การมาเยือน flo coffee brewers ยังทำให้เราเห็นพลวัตร่วมสมัยของย่าน ทั้งโครงสร้างของอาคารพาณิชย์และโกดังเก็บไม้ดั้งเดิม สินค้าแอนทีกจากธุรกิจก่อนหน้าซึ่งจัดวางอยู่ภายในโกดัง ไปจนถึงการแบ่งสรรพื้นที่ภายในเพื่อรองรับธุรกิจใหม่ โดยมี ‘Haan studio’ สตูดิโองานคราฟต์ตั้งอยู่ที่ด้านหลังของอาคาร

ออกจากประตูด้านหลังของอาคารลิ้มศักดากุล อาจารย์แฟนพาเราเดินผ่านตรอกเล็ก ๆ กว้างไม่ถึง 3 เมตร ซึ่งเชื่อมไปยังบ้านเรือนหลังต่าง ๆ รอบ ๆ เธอเล่าว่าตรอกที่คนเมืองเรียกว่า ‘กองกีด’ เป็นดังเส้นเลือดฝอยที่เชื่อมคนในชุมชนเข้าด้วยกันด้วยการเดินเท้า เป็นเหมือนทางลัดไปยังเพื่อนบ้าน ทั้งยังเชื่อมไปถึงประตูด้านหลังของวัดสันป่าข่อย วัดที่เป็นดังศูนย์กลางของย่านนี้

“จะเห็นได้ว่าตรอกเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของชุมชนในย่านเมืองเก่าที่กระจายอยู่ทั่วเมือง แทบทุกชุมชนจะมีตรอกแคบ ๆ แบบนี้เชื่อมต่อบ้านเรือนต่าง ๆ รวมถึงวัดหรือสถานที่สำคัญโดยไม่ต้องสัญจรผ่านถนนใหญ่” อาจารย์แฟนอธิบาย

เช่นเดียวกับตรอกที่เราเดินกันอยู่สายนี้ เมื่อเราเดินผ่านวัดสันป่าข่อย จะพบตลาดสันป่าข่อยและแหล่งขายอาหารดั้งเดิมของชุมชน ในขณะเดียวกัน ถ้าเดินไปอีกทิศทาง ยังเชื่อมไปถึงโกดังอีกแห่งที่ปัจจุบันกลายมาเป็นแหล่งไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ของย่าน

อาคารอนุสาร’ คือพื้นที่ที่ว่า อาคารความสูง 2 ชั้นรูปแบบโคโลเนียล ที่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2477 หลังนี้ สร้างโดย หลวงอนุสารสุนทร (สุ่นฮี้ ชุติมา) คหบดีเชื้อสายจีนผู้บุกเบิกสาธารณูปโภคและความเจริญให้กับเมืองเชียงใหม่เมื่อศตวรรษที่แล้ว

อาคารหลังนี้เคยเป็นทั้งโกดังเก็บสินค้าและร้านจำหน่ายเครื่องจักรกลการเกษตรและอะไหล่อุตสาหกรรม ก่อนปรับให้เป็นสำนักงาน บริษัท อนุสาร จำกัด ควบคู่ไปกับการแบ่งพื้นที่ให้ผู้ประกอบการเช่า ในยุคทายาทรุ่นที่ 4 สมยศ นิมมานเหมินท์ ซึ่งยังจุดประกายให้ลูกสาวของเขา มิกกี้-อริษา นิมมานเหมินท์ ทายาทรุ่นที่ 5 มาต่อยอดเป็น Sharing Space เต็มรูปแบบ

ปัจจุบันอาคารอนุสารถือเป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงของย่าน เมื่ออาคารเก่าแก่ขนาดใหญ่ใจกลางย่านกลายมาเป็นแหล่งรวมคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านเสื้อผ้า ไปจนถึงงานออกแบบ แกลเลอรี และโรงเรียนศิลปะ รวมถึงยังเปิดพื้นที่ทางเท้าหน้าอาคารให้กลายเป็นตลาดนัดชุมชนทุกเช้าวันอาทิตย์แรกของเดือนอย่าง ‘Sanpakoi Street Market จุดเช็กอินใหม่ของคนรุ่นใหม่ในเมืองและนักท่องเที่ยว

“แม้มีผู้ประกอบการรุ่นใหม่เข้ามาฟื้นฟูอาคารเก่าจนเกิดเป็น flo coffee brewers, GRAPH Contemporary, Brewing Room รวมไปถึงอาคารอนุสารที่เจ้าของทำเอง ถึงอย่างนั้นเสน่ห์ที่แท้จริงในมุมมองของเรา มันไม่ใช่แค่การมีธุรกิจใหม่ในตึกเก่า

“แต่เป็นการที่ธุรกิจดั้งเดิมที่สืบต่อมาหลายรุ่น ยังคงเปิดทำการในย่านได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงองค์ประกอบอีกหลายประการที่เอื้อให้ผู้คนดั้งเดิมยังคงมองสันป่าข่อยว่าเป็น ‘บ้าน’ ของพวกเขาต่อไปได้ สมดุลนี้แหละที่ทำให้สันป่าข่อยยังคงเป็นย่านเก่าที่มีชีวิตชีวา” อาจารย์แฟนกล่าว

โดยหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ย่านสันป่าข่อยยังคงรักษาภูมิทัศน์แบบเดิมไว้ได้จนถึงทุกวันนี้ ก็คือทำเลที่ตั้งของค่ายกาวิละ มณฑลทหารบกที่ 33 (ถนนเชียงใหม่-ลำพูนสายเก่า) ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 1 กิโลเมตร นั่นทำให้พื้นที่บริเวณนี้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยเขตต์ปลอดภัยในราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๗๘ ที่ไม่อนุญาตให้ก่อสร้างตึกสูงในบริเวณนี้

สิ่งนี้ทำให้อาคารคอนกรีตและบ้านเรือนที่สร้างขึ้นตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เช่นเดิม ซึ่งนั่นล่ะ ใครจะไปคิดล่ะว่าค่ายทหารจะมีส่วนในการช่วยอนุรักษ์ย่านเก่าไว้ได้เสียอย่างนี้

ไม่ว่าคุณจะมาเยือนด้วยจุดประสงค์แบบไหน ต่อคิวซื้อซาลาเปาร้านดัง เดินเล่นตลาดเช้าวันอาทิตย์ที่อาคารอนุสาร นัดเพื่อนจิบกาแฟในคาเฟ่เล็ก ๆ ดูงานศิลปะที่แกลเลอรี คุ้ยเสื้อผ้ามือสองที่ตลาดสันป่าข่อย หรือแวะชมมวยในสนามค่ายกาวิละ ไม่มากก็น้อย และไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ คุณจะได้สัมผัสถึงร่องรอยของประวัติศาสตร์แห่งรุ่งอรุณของความทันสมัยที่ยังฝังแน่นอยู่ในตึกราม ซอกซอย และเรื่องเล่าของผู้คน

นี่เอง คือหัวใจของสันป่าข่อย – เสน่ห์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างความทรงจำและการเปลี่ยนแปลง

Writer

จิรัฏฐ์​ ประเสริฐทรัพย์

จิรัฏฐ์​ ประเสริฐทรัพย์

นักเขียนและนักแปล แต่บางครั้งก็หันมาทำงานศิลปะ อาศัยอยู่ที่เชียงใหม่ ผลงานล่าสุดคือรวมเรื่องสั้น 'รักในลวง'

Photographer

Avatar

กรินทร์ มงคลพันธ์

ช่างภาพอิสระชาวเชียงใหม่ ร่ำเรียนมาทางศิลปะจากคณะที่ได้ชื่อว่ามีวงดนตรีลูกทุ่งแสนบันเทิงของเมืองเหนือ มีความสุขกับการกดชัตเตอร์ในแสงเงาธรรมชาติ ชอบแมว หมา และบ้าจักรยานไม่แพ้กิจกรรมกลางแจ้งอื่น ๆ