แม้ปัจจุบันเชียงใหม่มีร้านอาหารตะวันตกเกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก หากถามคนเชียงใหม่ถึงร้านอาหารฝรั่งที่อยู่ในความทรงจำของพวกเขา ‘Sandwich Bar’ เป็นร้านที่ถูกพูดถึงเป็นลำดับแรก

ร้านอาหารอายุมากกว่า 50 ปีแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมคูเมืองฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือหรือบริเวณแจ่งหัวลิน ได้บรรจุความทรงจำของผู้คนเชียงใหม่ไว้มากมาย หลายคนลองกินอาหารตะวันตกครั้งแรกก็ที่นี่ ซึ่งย้อนกลับไปได้ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ที่จูงมือรุ่นพ่อแม่ (ของเรา) มากิน และส่งต่อมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ภาพที่ผมมักเห็นเป็นประจำในร้านแห่งนี้จึงเป็นภาพของคน 3 – 4 เจเนอเรชันมานั่งกินข้าวด้วยกันเป็นครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า พนักงาน และเจ้าของร้าน ที่เจอหน้ากันมานานนี่เองทำให้ Sandwich Bar มีความเป็นกันเองและอบอุ่น ผู้คนแวะมาทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันฉันพี่น้อง ที่นี่จึงมีบรรยากาศโฮมมี่ อันเกิดจากความผูกพันของผู้คนกับร้านที่ค่อย ๆ สั่งสมมาตามกาลเวลา
เพียงความผูกพันคงไม่อาจทำให้ร้านอาหารหนึ่งอยู่มาได้นานกว่าครึ่งศตวรรษ หากไม่มีรสชาติอาหารที่ดีเป็นต้นทุน เพราะแต่ละคนต่างก็มีเมนูโปรดเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเมนูแซนด์วิชต่าง ๆ ปลาอบซอสขาว สตูลิ้นวัว ซุปหางวัว ซุปเห็ด ซุปข้าวโพด สเต๊ก สปาเกตตีซอสต่าง ๆ จนถึงอาหารไทย อาหารพื้นเมือง และอีกจำนวนมาก แต่ไม่ว่าทุกคนจะสั่งเมนูไหน ก็ต้องปิดท้ายด้วยของหวานกันทั้งนั้น ถ้าไม่สั่งไอศกรีมกล้วยหอมทอด ก็ต้องสั่งคัสตาร์ดที่ลูกค้าของร้านทุกคนโปรดปรานชนิดพลาดไม่ได้


ปัจจุบันร้านเก่าแก่ประจำจังหวัดค่อย ๆ ลดน้อยหายลงไปทุกที ผมค้นพบว่าร้านเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าต่อเมือง ต่อความทรงจำ และต่อความรู้สึกของผู้คนในเมืองนั้น ๆ ด้วย ผมว่ามันเป็นคุณค่าที่จำนวนดาวจากคำวิจารณ์สำนักไหนก็ไม่อาจวัดได้ ในฐานะที่ผมเป็นคนเชียงใหม่คนหนึ่ง วันนี้ผมอยากนำเสนอเรื่องราวของ Sandwich Bar ร้านที่อยู่ในความทรงจำและเป็นที่รักของคนเชียงใหม่ให้หลาย ๆ คน ได้ลองรู้จัก ลองมาชิม และหลายคนที่รู้จักอยู่แล้วได้กลับมาคิดถึงและทำความรู้จักกับร้านนี้ให้ดียิ่งกว่าเดิม
เช่นนั้นแล้ว ผมขอต้อนรับทุกคนสู่ Sandwich Bar ครับ
จุดเริ่มต้นของร้านอาหารฝรั่งแรก ๆ ของเชียงใหม่
จุดเริ่มต้นของ Sandwich Bar นั้น ต้องย้อนกลับไปถึงช่วงสงครามเวียดนาม ช่วงเวลานั้นประเทศไทยเปิดให้กองทัพจากสหรัฐฯ มาตั้งฐานทัพชั่วคราวตามจังหวัดต่าง ๆ คนไทยรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาจำนวนมาก ทั้งวิทยาการต่าง ๆ ความบันเทิง การแต่งกาย ดนตรี ภาพยนตร์ และแน่นอน อาหาร
“Sandwich Bar เกิดขึ้นจากคุณลุง (จิตรเสน ศุขะวณิช) กับคุณยาย (สุทธิพรรณ สุทธแสง) ของเราและเพื่อนฝรั่งของแกอีก 2 คนค่ะ” หนิง-ปนัดดา สุขคลุม ทายาทรุ่นสองที่รับช่วงต่อดูแลร้านเปรย


“ย้อนกลับไปช่วง 50 กว่าปีที่แล้ว ตอนที่กองทัพฝรั่งเข้ามาตั้งในประเทศไทย ตอนหลังพอเขาถอนทัพออกไปก็ยังมีทหารอเมริกันบางส่วนที่ยังค้างอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีอยู่ 2 คนชื่อ เบน กับ เฮนรี่ ที่คุณลุงของเราไปรู้จัก ตอนนั้นคุณลุงเปิดร้านอาหารอยู่แล้วชื่อ ‘ศรีสุรางค์’ อยู่ตรงโค้งฝั่งตรงข้าม”
ศรีสุรางค์ ถือเป็นอีกหนึ่งร้านเก่าแก่ในอดีตของเชียงใหม่ ขายเมนูอาหารไทยภาคกลาง จัดโต๊ะให้นั่งตามศาลาท่ามกลางบรรยากาศในสวน ถ้าในคำเรียกปัจจุบันก็ถือเป็นสวนอาหารแรก ๆ ของเชียงใหม่ ต่อมาย้ายร้านมาเปิดใกล้กับโรงแรมศรีโตเกียว (ปัจจุบันคือโรงแรม เดอคูเวียง) ใกล้กับโรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม ก่อนเปลี่ยนและย้ายมาฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Sandwich Bar ถึงปัจจุบัน


“ตอนช่วงที่ทหารอเมริกันถอนทัพออกไป เพื่อนฝรั่งของลุง ซึ่งก็คือเบนกับเฮนรี่ เขาบ่นว่าไม่มีร้านอาหารฝรั่งในเชียงใหม่ให้พวกเขากินเลย เขาเลยชวนคุณลุงกับคุณยายทำร้านอาหารฝรั่งด้วยกัน แล้วเดี๋ยวทางเขาจะเป็นคนคอยส่งวัตถุดิบให้ และเมนูแรกที่สอนให้ทำก็คือพวกแซนด์วิชค่ะ ซึ่งไหน ๆ ก็เริ่มจากขายแซนด์วิชแล้ว ฝรั่ง 2 คนเขาก็เลยตั้งชื่อให้ว่า Sandwich Bar นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของร้านค่ะ”
เมนูที่เกิดมาจากความชอบและจำมาใช้
“หลังจากเบนกับเฮนรี่มาสอนทำแซนด์วิช เขาทั้งคู่ก็กลับประเทศ ยกให้คุณลุงกับคุณยายดูแลต่อ ทั้ง 2 ท่านก็ค่อย ๆ คิดเมนูเพิ่มค่ะ คุณลุงเป็นคนมีวิสัยทัศน์ดี ด้วยความที่เขาเกิดในวงศ์ตระกูลผู้ดี เรียนจบมาจากประเทศญี่ปุ่น มีประสบการณ์ได้กินอาหารดี ๆ จากที่นั่นที่นี่และในแวดวงสังคม คุณลุงคอยบอกคุณยายให้ลองทำเมนูนั้นเมนูนี้ดูสิ คุณลุงมีหน้าที่ชิมและบอกว่าต้องปรับ-ต้องปรุงตรงไหน
“ส่วนคุณยายเคยทำงานในครัวของโรงแรมปริ๊นซ์ที่เชียงใหม่มาก่อน เขาทำอาหารเก่ง ต้องเรียกว่าคุณยายมีพรสวรรค์ในการทำอาหารเลยล่ะค่ะ เพราะเวลาทั้ง 2 ท่านไปเที่ยวต่างประเทศแล้วได้ชิมอาหารที่ไหนแล้วชอบ ก็จะจำรสชาตินั้นมาทดลองทำที่ร้าน โดยใช้วัตถุดิบเท่าที่หาได้ตอนนั้น คิดค้นเป็นสูตรของตัวเอง ให้รสชาติใกล้เคียงกับที่เขาเคยลองกินกันมากที่สุด อย่างเมนูปลาอบซอสขาวที่ลูกค้าชอบกันมาก ๆ ก็มาจากการที่ทั้งคู่ได้ไปชิมเมนูนี้จากร้านอาหารแห่งหนึ่งในฝรั่งเศสแล้วชอบ จึงลองกลับมาทำ
“เมนูของร้านก็เกิดขึ้นจากแบบนี้ล่ะค่ะ” หนิงย้อนความหลังถึงที่มาของอาหารในร้าน


“แม่นาย (คุณยาย) มีพรสวรรค์ทางการทำอาหารมากเลยเจ้า สมัยก่อนเชียงใหม่ยังไม่มีของฝรั่งให้ซื้อหาได้ง่ายเหมือนปัจจุบัน เมนูต่าง ๆ แม่นายก็ทดลองทำเองทั้งนั้นเลยเจ้า” ป้าทอง เล่าเสริม
“สมัยก่อนวัตถุดิบไม่ได้หาง่ายเหมือนตอนนี้เนอะป้าทอง พอฝรั่งที่คอยหาวัตถุดิบให้เราเขากลับไป ช่วงแรก ๆ เราก็ซื้อวัตถุดิบเอาจากเกษมสโตร์ พวกเมนูโยเกิร์ต คัสตาร์ด เราต้องทำกันเองหมดเลย”
บรรยากาศของร้านช่วงแรก ๆ
ป้าทองเป็นพนักงานของร้านตั้งแต่เริ่มแรก หนิงที่ตอนนั้นยังเด็กและคอยมาช่วยงานที่ร้านเป็นประจำ เขาทั้งคู่กำลังผลัดกันเล่าถึงบรรยากาศร้านตอนเปิดแรก ๆ ให้ผมฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่มีลูกค้าคนไทยเลยค่ะ เพราะราคาถือว่าแพง ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ” หนิงเล่า
“ต่อมาก็เริ่มมีทัวร์มาที่ร้าน ฝรั่งบ้าง จีนบ้าง ฮ่องกงบ้างเจ้า ถ้าเป็นลูกค้าคนไทยก็จะเป็นคนที่เขามีสตางค์นักหน่อยเจ้า เป็นเพื่อน ๆ ของคุณลุง สมัยตอนที่คุณลุงยังอยู่แกเป็นคนอัธยาศัยดี พูดภาษาอังกฤษเก่ง แกคอยมาต้อนรับแขกต่าง ๆ ที่มาร้าน เพื่อนแกเองก็เยอะ ก็มาหาแกกันที่ร้านบ่อย ๆ”


“ต่อมาก็เริ่มมีกลุ่มอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มากินที่ร้านบ่อย ๆ ค่ะ” หนิงเล่าต่อ “ถ้าเป็นลูกค้าคนไทยมักชอบมากินที่ร้านเวลามีงานเลี้ยงสำคัญ โดยเฉพาะช่วงรับปริญญาหรือโอกาสสำคัญต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันลูกค้ากลุ่มนักศึกษาตอนนั้นก็กลับมาจัดงานเลี้ยงรุ่นที่ร้านบ่อย ๆ”
“ลูกค้าที่ร้านนักขนาดนะเจ้า” ป้าทองเล่าย้อนความหลัง “ตอนนั้นที่ร้านเคยมีพนักงานมากกว่า 30 คนเลยเจ้า แม่นายจะวางไว้เลย 2 คนนี้ดูแขกตรงห้องด้านบนนะ 2 คนนี้ดูแลส่วนนี้นะ คอยประกบเลย แม่นายจะสอนพนักงานทุกคนเลยว่าต้องดูแลลูกค้าทุกคนให้ดีที่สุด เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ”

ร้านที่ใส่ใจลูกค้าเป็นอันดับแรก
หนึ่งในจุดเด่นของ Sandwich Bar ที่ทุกคนได้รับทันที คืออัธยาศัยที่ดีของพนักงาน และพนักงานทุกคนยังจดจำรายละเอียดเล็ก ๆ และความต้องการเฉพาะบุคคลของลูกค้าประจำได้เป็นอย่างดี
“คุณยายสอนเสมอว่าลูกค้าต้องมาก่อนค่ะ” หนิงเล่ากระบวนการทำงานบริการของร้าน “พวกเราจำได้ว่าคนนี้กินแบบไหน คนนี้ไม่ใส่หัวหอมใหญ่ คนนี้มาแล้วเตรียมเสิร์ฟชาจีน พวกเราใส่ใจถึงขั้นนั้นเลย และเรามีทริกในการช่วยจดจำลูกค้าแต่ละคนด้วยนะคะ โดยเราจะตั้งชื่อเล่นให้ลูกค้ากันค่ะ”


ป้าทองช่วยอธิบาย “เช่น วันนี้พี่คนสวยมา เราก็รู้กันว่าต้องทำไข่ดาวน้ำ ไม่ใช้น้ำมัน หรือวันนี้อ้ายสะอาดมา เราก็ลวกช้อนส้อมให้อุ่นก่อนเสิร์ฟ วันนี้ครอบครัวนี้มา ต้องสั่งพิซซ่าใส่พริกขี้หนู ซึ่งแม่นายกับคุณลุงจะคอยสอนวิธีการจดจำรายละเอียดของลูกค้าแต่ละคนให้พนักงานที่ร้านทุกคนเลยเจ้า”
“ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก ๆ นะคะ แต่ถ้าเราจดจำลูกค้าได้ หรือการที่เราใส่ใจลูกค้าแต่ละคน เขาก็จะประทับใจ เราเชื่อว่าร้านอาหารก็เป็นงานบริการอย่างหนึ่ง ไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติอย่างเดียว เราต้องทำให้เขาประทับใจทั้ง 2 อย่างเขาถึงจะกลับมาที่ร้านเราอีก” หนิงสรุปการทำงานของร้าน
ความใส่ใจลูกค้าในระดับนี้เองที่เป็นส่วนสำคัญทำให้ Sandwich Bar อยู่มาได้ถึง 53 ปี
รสชาติในความทรงจำที่ไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
สิ่งหนึ่งที่ลูกค้าสัมผัสได้เมื่อมาเยือน Sandwich Bar คือรสชาติอาหารไม่เคยเปลี่ยน แม้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน หากกลับมากินเมื่อไหร่ รสชาติในความทรงจำก็ยังคงเป็นรสเดิมกับที่เคยกิน ที่เป็นเช่นนั้น โก้-ธนาวุฒิ สุขคลุม สามีของหนิงที่คอยช่วยดูแลร้านอธิบายให้ฟังว่า เพราะที่นี่มี ‘น้ำหน้าเตา’

“ร้านอาหารต้องมีการรักษามาตรฐานของรสชาติใช่ไหมครับ ต่อให้พ่อครัวหรือแม่ครัวเราเปลี่ยนคนไป หรือปัจจุบันคุณยายแกก็แก่จนทำไม่ไหวแล้ว เราก็ต้องทำให้รสชาติของอาหารทุกเมนูเหมือนเดิมตลอด คุณยายเขาเลยคิดทำ น้ำหน้าเตา ขึ้นมา ไว้ราดเวลาผัดเมนูต่าง ๆ เป็นสูตรที่ชัดเจนของทางร้าน รสชาติของเราจึงเหมือนเดิมตลอด นี่เป็นสิ่งที่คุณยายคิดไว้เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วนะครับ
“ถ้าอธิบายง่าย ๆ มันก็คือซอสเฉพาะของทางร้านหรือพวกน้ำสต็อกของเชฟแหละครับ แต่ยายแกก็คิดของแกขึ้นมาเอง แล้วก็ตั้งชื่อว่า น้ำหน้าเตา เป็นระบบที่ร้านเราใช้มาถึงปัจจุบัน”


“ขนมปังต่าง ๆ ที่เราเสิร์ฟภายในร้านก็เหมือนเดิมนะคะ” หนิงช่วยเสริม “เราใช้ขนมปังของพี่คนหนึ่งที่ทำให้เรามานาน สมัยก่อนเขาเคยทำให้กับโรงแรมรินคำ (ปัจจุบันคือ One Nimman) แล้วออกมา ซึ่งเขาไม่ขายสูตรให้คนอื่น และไม่ทำให้คนอื่นนอกจากส่งให้ร้านของเรา แกเคยบอกกับเราว่า ถ้าไปเจอขนมปังของเขาที่อื่นให้ด่าเขาได้เลย ตอนหลังเขาก็ส่งต่อให้ลูกสะใภ้ทำส่งให้กับเราจนถึงปัจจุบัน ขนมปังของที่ร้านเราจึงเป็นเจ้าเดิม และมีรสชาติเหมือนเดิมมาตลอดเช่นเดียวกัน”
ความสุขและคุณค่าของร้านเก่าแก่
“ในฐานะคนทำงานที่ร้าน ความสุขของป้าทองคือเวลาเราเดินไปเก็บจานลูกค้า แล้วเห็นว่าทุกจานลูกค้ากินหมดเกลี้ยงค่ะ หรือลูกค้ากลับไปด้วยรอยยิ้ม เราเห็นลูกค้ามีความสุข คนทำงานเองก็มีความสุข และทุกคนที่ทำงานด้วยกันในร้าน พวกเราอยู่ด้วยกันมานานจนเป็นครอบครัวไปแล้วเจ้า”
“อย่างที่บอกว่างานร้านอาหารคืองานบริการ คนที่จะทำงานตรงนี้ได้ดีต้องมีใจรักบริการจริง ๆ ถ้าลูกค้ามีความสุขเราก็มีความสุขไปด้วย ถ้าเห็นลูกค้ากินหมดเกลี้ยงทุกจาน เราจะมีความสุขมาก ๆ เลย ตรงกันข้าม ถ้าเราเห็นลูกค้ากินไม่หมด ต้องไปถามแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น รสชาติมีปัญหาหรือเปล่า เราจะได้ปรับปรุง แต่จริง ๆ บางทีลูกค้าเขาก็แค่หน้ามืดสั่งเยอะไป” หนิงเล่าพร้อมหัวเราะ ก่อนเล่าต่อว่า

“เราอยู่ช่วยงานที่ Sandwich Bar มาตั้งแต่เด็ก ๆ จนตอนนี้ใกล้จะเกษียณแล้ว ร้านนี้เหมือนบ้านหลังที่ 2 พนักงานทุกคนอยู่ด้วยกันจนเหมือนเป็นพี่น้อง ลูกค้าเก่าแก่ที่มาที่ร้านก็เช่นกัน เป็นความผูกพัน เห็นกันมานาน เหมือนกับว่าเราอยู่กันเป็นครอบครัว เวลาลูกค้าคนไหนมา เราก็เข้าไปทักทาย
“บางครั้งลูกค้าขอฝากลูกไว้กับเราแป๊บหนึ่ง เราก็ดีใจนะ แสดงให้เห็นว่าเขาไว้ใจเรา เขาเห็นว่าร้านแห่งนี้เป็นที่ปลอดภัยสำหรับเขา ที่สำคัญ บ้านหลังที่ 2 นี้ยังทำให้บ้านหลังแรกของพนักงานแต่ละคนมั่นคงด้วย เพราะทุกคนส่งลูกเลี้ยงจนจบ หาเลี้ยงชีพตัวเองกันได้ ก็เพราะบ้านหลังที่ 2 หลังนี้”
อนาคตของ Sandwich Bar ที่ต้องปรับตัว
ในวันที่ร้านเก่าแก่หลายร้านเริ่มทยอยปิดหายกันไป สำหรับ Sandwich Bar หนิงเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่เธอรับช่วงต่อมาจากคุณยาย เธอมีแผนที่จะพัฒนาร้านต่อไปภายหลังจากที่เธอเกษียณจากงาน
“เรามาช่วยงานที่นี่ตั้งแต่เด็ก ๆ และได้ค่าตอบแทน ทำให้เราหาเงินเองได้ ที่สำคัญเราได้ภาษาจากร้านนี้เลยนะ เวลาลูกค้าฝรั่งถามอะไร เราต้องโต้ตอบให้ได้ ที่โรงเรียนเราสอนก็จริง แต่การได้อยู่ที่ร้าน ได้ใช้ภาษาจริง ๆ ทำให้เราได้พื้นฐานทางภาษาไปด้วย เรื่องของงานบริการต่าง ๆ ซึ่งต่อมามีประโยชน์ต่อหน้าที่การงานของเราอย่างมากค่ะ เมื่อเราได้ทำงานเป็นผู้จัดการของธนาคาร ขณะเดียวกันเราก็ได้เรียนรู้จากระบบการบริการของธนาคาร แล้วเราก็นำมาใช้ปรับปรุงงานบริการของร้านเราเช่นกัน
“แต่พูดตามตรงนะคะ เราเคยคิดว่าจะเลิกทำร้านนี้” หนิงเปรย
“เพราะเราเหนื่อย งานหลักเราทำงานธนาคาร พอทำงานเสร็จก็มาช่วยดูแลร้าน แต่ด้วยความผูกพันกับร้านและคุณยายท่านไว้ใจ เราเลยตัดสินใจกลับมาช่วย แม้จะเหนื่อยแต่ก็ทำใจทิ้งร้านนี้ไปไม่ได้ เรารักร้านนี้จริง ๆ บางปีร้านไม่มีกำไร เราก็เอาเงินโบนัสที่เราได้จากการทำงานมาแบ่งจ่ายโบนัสให้พนักงานที่ร้าน อย่างที่บอกว่าที่นี่คือบ้านหลังที่ 2 ของเรา พนักงานที่ร้านก็คือครอบครัวของเรา

“พอตัดสินใจว่ากลับมาทำร้าน เราก็เห็นแล้วว่าธุรกิจธนาคารที่เราทำมีการปรับตัวอย่างมาก เพราะเจอ Disrupt จากออนไลน์ต่าง ๆ ธุรกิจอาหารหรือ Sandwich Bar เองก็ต้องเจอเหมือนกัน เราต้องปรับตัว ด้วยการเริ่มเปิดรับบริการส่งอาหาร ให้ลูกชายช่วยโปรโมตผ่านทางออนไลน์มากขึ้น
“เราเริ่มศึกษาดูข้อดีของร้านอาหารใหม่ ๆ ว่าเขาทำอย่างไร เพื่อมาปรับใช้กับร้านเรา ตามหลักการตลาดเลยค่ะ ถ้าเราเกษียณ เราจะเข้ามาทำที่ร้านเต็มตัว โดยแผนแรกที่เราตั้งใจทำคือการปรับปรุงร้านให้ดีขึ้นโดยคงกลิ่นอายเดิมไว้ แต่ทำให้ดูดีขึ้น เราเห็นแล้วว่าคนสมัยนี้ชอบถ่ายรูป เราจะซื้อจาน ตกแต่งร้านให้ดูดี แล้วก็คิดว่าจะเริ่มโปรโมตให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ หรือรุ่นถัดมาได้รู้จัก Sandwich Bar มากขึ้นค่ะ”
สำหรับลูกค้าประจำ ถ้าได้อ่านมาถึงตรงนี้คงอุ่นใจกันแล้วว่าร้านนี้ยังไม่หายไปไหน แถมมีแผนพัฒนาต่อไปให้ดียิ่งขึ้น ส่วนผู้อ่านที่ยังไม่เคยมีโอกาสมาที่ Sandwich Bar ทั้งคนเชียงใหม่และที่กำลังจะมาเชียงใหม่ ผมอยากชวนทุกคนมาที่ร้านแห่งนี้ มาสัมผัสความพิเศษที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมผ่านกาลเวลามาเท่านั้นแห่งนี้ดูสักครั้ง และอย่าลืมสั่งคัสตาร์ดหรือไอศกรีมกล้วยหอมทอดปิดท้ายกันด้วยนะครับ!
