“พกขวดน้ำมันสำรองไปด้วย”
“เจอปั๊มเมื่อไหร่ ถ้าเติมได้ก็เติมให้เต็มอยู่ตลอดนะ”
“ถ้าเขาไม่เติมน้ำมันให้ ก็ลองบอกว่าไม่ต้องเอาใบเสร็จ”
“ถ้าพนักงานคนแรกที่เราคุยด้วยบอกว่าไม่ขาย ให้ลองเดินไปคุยกับอีกคน”
“ถ้าเขาบอกน้ำมันที่ปั๊มหมด ลองเอารถไปจอดไกลๆ ปั๊ม แล้วเดินถือขวดเปล่ากลับขอซื้อน้ำมันอีกรอบ”

นี่เป็นบางส่วนของคำแนะนำที่ได้จากการนั่งคุยกับเพื่อนหลายคน หลายวาระ เมื่อเราถามถึงการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ในประเทศโบลิเวีย ตอนแรกเราก็นึกว่าเป็นมุกตลก จนกระทั่งวันที่มายืนอยู่หน้าด่านชายแดนประเทศเปรู-โบลิเวีย และเห็นรถมอเตอร์ไซค์อีกคันที่จอดอยู่ก่อนหน้าเรา มีถังน้ำมันสำรองขนาดใหญ่ผูกติดอยู่กับกล่องสัมภาระ
ระหว่างที่เรากำลังชะโงกมองรถคันที่ว่าอยู่ เจ้าของรถก็เดินออกมาพอดี

“นั่นถังน้ำมันสำรองเหรอคะ” เคยตั้งคำถามที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่ก็หวังลึกๆ ว่าคำตอบจะเป็นอย่างอื่นไหมคะ
“ใช่ครับ พวกคุณเพิ่งมาแถวนี้ครั้งแรกใช่ไหม”
เรารู้สึกได้ว่ามือเราเย็นเฉียบขึ้นมาทันที “ครั้งแรกค่ะ ต้องมีน้ำมันสำรองไว้ขนาดนี้เลยเหรอคะ ปั๊มน้ำมันหายากอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ เหรอ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ผมวนเวียนอยู่แถวนี้หลายเดือน พวกคุณจะอยู่ในโบลิเวียนานแค่ไหน”
เพื่อนใหม่คนนี้ชื่อเดวิดค่ะ เป็นชาวออสเตรียที่ทำงานประจำอยู่ที่ออสเตรียปีละ 6 เดือน แล้วก็ใช้เวลาอีก 6 เดือนที่เหลือของทุกปีมาขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวอยู่ในอเมริกาใต้ เดวิดใช้ชีวิตแบบนี้ติดต่อกันมาเกือบ 5 ปีแล้ว ช่วง 2 ปีแรกเดวิดเช่าโกดังเก็บรถไว้ที่เปรู แต่ 3 ปีหลังมาเริ่มมีเพื่อนที่คุ้นเคยกันมากขึ้น ก็เลยฝากรถเอาไว้ที่บ้านเพื่อนเวลาบินกลับไปทำงาน
“ไม่กี่วันหรอกค่ะ จะเข้าไปดูทะเลเกลือเฉยๆ แล้วก็ลงไปอาร์เจนตินาเลย”

“ที่โบลิเวีย รัฐบาลเป็นเจ้าของสัมปทานปิโตรเลียมทั้งหมดในประเทศ น้ำมันที่นี่มีสองราคา คือราคาของรถป้ายทะเบียนท้องถิ่นที่ถูกมากๆ กับราคาของรถป้ายทะเบียนต่างชาติที่บวกไปอีกประมาณสามเท่าตัว ปั๊มที่เติมน้ำมันให้รถทะเบียนต่างชาติได้ถูกกฎหมายคือปั๊มในเครือวายพีเอฟบี (YPFB) เท่านั้น”
ฟังดูไม่น่าจะยุ่งยากมาก ราคาน้ำมันป้ายทะเบียนต่างชาติที่ว่าอาจจะต่างกับราคาของคนท้องถิ่นจริง แต่ไม่ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเงินเป็นดอลลาร์ฯ กลั้นใจจ่ายไม่กี่วันก็น่าจะไหวอยู่
“ปัญหาคือปั๊มวายพีเอฟบีมีอยู่น้อยมาก และบางสาขาก็ไม่เติมให้เรา เพราะขั้นตอนมันเยอะ คนที่ขายจะต้องกรอกรายละเอียดหลายอย่าง ทั้งเลขพาสปอร์ต เลขทะเบียนรถ ทำผ่านระบบคอมพิวเตอร์แล้วก็ต้องออกใบเสร็จเฉพาะอีก รวมๆ แล้วเสียเวลา ไม่ถนัด บางปั๊มก็เลยตัดปัญหาด้วยการไม่ขายน้ำมันให้รถทะเบียนต่างชาติ ผมเข้าออกชายแดนเปรู-โบลิเวียบ่อย ก็เลยซื้อน้ำมันจากเปรูมาไว้ใช้ จะได้ไม่ต้องปวดหัว”
เราหันไปมองขวดน้ำมันที่วางอยู่บนเบาะรถเดวิด แล้วหันมามองกระป๋องน้ำมันสำรองขวดน้อยขนาดหนึ่งลิตรที่เสียบอยู่ข้างรถตัวเองแล้วก็นึกสงสัย จนต้องหันไปถามคริสเตียนว่า “เปลี่ยนใจกลับไปทางชิลีตอนนี้ยังทันไหม”
เดวิดได้ยินแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เสน่ห์ของโบลิเวียไม่ได้มีแค่ทะเลเกลือหรอก มาถึงนี่แล้วก็เข้าไปเถอะ ผมเคยน้ำมันหมดและไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยลากรถคันนี้ไปจอดนอนหน้าปั๊มน้ำมัน สุดท้ายเขาก็ยอมเติมให้ หวังว่าพวกคุณจะไม่เข้าตาจนถึงขนาดนั้น… ยินดีต้อนรับสู่บ้านหลังที่สองของผม ยินดีต้อนรับสู่โบลิเวีย”

ทะเลเกลือที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
“แค่เอื้อม” ในที่นี้คือ 25 กิโลเมตรค่ะ ถ้าเดินไปแต่ตัว ใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงครึ่งก็น่าจะถึง แต่ถ้ามีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่พร้อมสัมภาระเต็มอัตราที่จะต้อง ‘เข็น’ ไปด้วย จะบอกว่าใช้เวลา 4 ชั่วโมงก็ยังเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป
สถานการณ์น้ำมันหมดในวันนั้นเกิดขึ้นเพราะหนึ่งในปั๊มน้ำมันที่เราเห็นเป็นจุดโดดเดี่ยวอยู่บน Google Maps ได้ปิดกิจการไปแล้ว เราก็เลยต้องจำใจไปต่อและภาวนาขอให้มีปั๊มน้ำมันอีกแห่งอยู่ใกล้ๆ จนมาถึงจุดหนึ่งที่น้ำมันในถังหลักหมด ก็ต้องเปิดน้ำมันในถังสำรองมาใช้ ไม่นานหลังจากนั้นก็ตามด้วยน้ำมันในขวดลิตรฉุกเฉิน ถึงตอนนั้นเราสองคนก็เตรียมใจแล้วว่ามันจะหมดก่อนถึงแน่ๆ เพราะตัวเลขบนหลักกิโลกับปริมาณน้ำมันที่มีอยู่ ช่างห่างไกลกันมากเหลือเกิน

5 กิโลเมตรแรกคริสเตียนบอกว่าจะลองเข็นเอง ส่วนเรามีหน้าที่พาตัวเองที่สวมเสื้อและกางเกงติดเกราะสำหรับขี่มอเตอร์ไซค์พร้อมรองเท้าบูตและหมวกกันน็อกไปให้ถึงจุดหมาย กับคอยโบกมือขอความช่วยเหลือเป็นระยะ พอเข้ากิโลเมตรที่ 6 ก็ลองเปลี่ยนไปใช้วิธีให้เราเป็นคนบังคับมอเตอร์ไซค์ ส่วนคริสเตียนดันรถจากด้านหลัง ซึ่งก็ไปได้ไม่ไกลหรอกค่ะเพราะรถมันหนักมาก ไหนจะน้ำหนักเราเพิ่มเข้าไปอีก
ในระหว่างที่เข็นมอเตอร์ไซค์กันไป ก็มีรถอื่นๆ ผ่านมาบ้างเป็นระยะ เราโบกมือขอความช่วยเหลือก็แล้ว หยิบขวดน้ำมันสำรองมาชูก็แล้ว ไม่มีทีท่าว่าใครจะจอดเลย
อันที่จริงก็มีความคิดที่จะให้คนหนึ่งเฝ้ารถและอีกคนเดินไปหาปั๊มนะคะ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าปั๊มที่เราตามหาอยู่นั้นมันอีกไกลแค่ไหน ถ้าเรานั่งเฝ้ารถคนเดียวข้างถนน คริสเตียนก็กลัวว่าจะอันตรายเกินไป เพราะกว่าจะเดินไปเดินกลับก็น่าจะมืด ถ้าจะให้เราเดินเข้าเมืองไปหาน้ำมัน ภาษาสเปนของเราก็มีไว้เพื่อสั่งอาหารกินเองได้อย่างเดียวจริงๆ ด้วยความซับซ้อนของการเติมน้ำมันที่นี่ เราอาจจะไปแล้วเสียเที่ยว จึงเป็นอันว่าต้องเล่นบทสองคนเพื่อนตายกันไปพลางๆ ก่อน
“ดีนะที่ไม่ปวดท้องเข้าห้องน้ำเอาตอนนี้ ไม่อย่างนั้นนะ จะทิ้งทุกอย่างเลย ใครอยากได้อะไรก็เอาไปเลย โน้ตบุ๊ก นาฬิกา กล้องถ่ายรูป เงินกี่บาทก็…”
จังหวะนั้นมันเหมือนในหนังเลยค่ะ เวลาที่ตัวละครนึกอะไรออกขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วมีแสงสว่างวาบ เราที่กำลังบ่นเรื่อยเปื่อย อยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่ามองข้ามอะไรไป
“คริสเตียน! เงินไง ยูเอสดอลลาร์!”
ตลอดเวลาที่ออกทริปนี้ ไม่ว่าจะเดินทางเข้าประเทศไหน เราสองคนจะมีเงินดอลลาร์ติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะคิดว่าสักวันหนึ่งเราอาจจะได้ใช้เงินนี้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า และเหตุผลที่เลือกสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เพราะคิดว่ามันมีโอกาสที่จะถูกปฏิเสธน้อยกว่าเงินสกุลอื่น ฟังดูเหมือนเป็นความคิดที่รอบคอบใช่ไหมคะ แต่พอมาอยู่หน้างานจริงๆ ก็เสียเวลาไปแล้ว 3 ชั่วโมงกว่าจะคิดได้
แบงก์ 20 ดอลลาร์ฯ โบกสะบัดอยู่บนปลายนิ้วเราได้ไม่ถึง 5 นาที ก็มีรถยนต์คันหนึ่งที่ชะลอจอดและเลี้ยวรถย้อนกลับมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณพี่เจ้าของรถคันนั้นบอกว่า อีก 30 กิโลเมตรมีปั๊มน้ำมัน เดี๋ยวจะให้ติดรถไปเติมน้ำมันใส่กระป๋องสำรองก่อน แล้วค่อยเอามอเตอร์ไซค์ไปเติมที่ปั๊มน้ำมันเองอีกที
คริสเตียนหายไปไม่ถึง 20 นาทีก็กลับมาพร้อมกับคุณพี่คนเดิม ทั้งที่ก่อนไปเราคุยกันแล้วว่าเดี๋ยวคริสเตียนจะหาทางกลับจากปั๊มเอง แต่เขาก็บอกว่าวนกลับมาส่งดีกว่าเพราะเห็นเราเฝ้ารถอยู่คนเดียว
คุณพี่ขับรถกระบะออกไปแล้ว แต่ในมือเรายังมีขวดน้ำเปล่าที่พี่เขาให้มา และแบงก์ 20 ดอลลาร์ฯ ที่ยับยู่ยี่ เพราะต่างคนต่างพยายามยัดใส่มืออีกคนจนเราต้องยอมแพ้


ก่อนพระอาทิตย์ตกดินที่ซาร์ลา เด อูยูนี
วันนั้นกว่าเราจะเอารถไปเติมน้ำมันได้ก็ 4 โมงกว่าแล้วค่ะ แต่ก็ตัดสินใจเข้าไปที่ทะเลเกลือต่อ เพราะถ้าไปแล้วชอบก็จะได้หาที่พักใกล้ๆ และจะได้กลับไปอีกรอบในเช้าวันถัดไป
จริงๆ แล้วโบลิเวียเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกติดกับทะเลเลย การมีที่ราบเกลือที่กว้างใหญ่ขนาดนี้อยู่ในประเทศ จึงเป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่ง คาดกันว่าในยุคโบราณ พื้นที่บริเวณนี้น่าจะเคยเป็นทะเลสาบมาก่อน แต่เพราะสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล จึงทำให้น้ำค่อยๆ เหือดหายไป จนเหลือไว้แต่เกลือ
ส่วนความกว้างใหญ่ระดับ ‘ที่สุดในโลก’ นั้น ถ้าเราขับรถเข้าไปในทะเลเกลือไกลมากพอ จะมองเห็นวิว 360 องศาเป็นทะเลเกลือที่ไกลสุดลูกหูลูกตาไปจนถึงเส้นขอบฟ้าได้ และเมื่อถึงหน้าฝน พื้นเกลือส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยน้ำและกลายเป็นกระจกบานยักษ์ที่มีเงาสะท้อนของท้องฟ้า จนกลายเป็นภาพที่สวยงามจนใครๆ ก็อยากมาเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง

ทะเลเกลืออูยูนีที่ได้เราเห็นในทริปนี้เป็นเวอร์ชันฤดูหนาวค่ะ พื้นเกลือจึงแห้งและแตกระแหง ตอนที่ไปถึงช่วงแรกยังไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า เส้นสายที่แตกเป็นลายล้อกับแสงสีทองทำให้สวยแปลกตาไปอีกแบบ
คนที่ถูกใจกับทะเลเกลือที่แห้งสนิทมากกว่าเราน่าจะเป็นคริสเตียน เพราะเจ้าตัวกังวลว่า ถ้ามีน้ำขังและถ้าต้องเอารถมอเตอร์ไซค์ไปลุยน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นสูงขนาดนี้ ก็น่าจะสร้างความเสียหายในระยะยาวให้มอเตอร์ไซค์ลูกรักได้ไม่น้อย แม้แต่ในวันนั้น ก่อนเอามอเตอร์ไซค์ลงไปโลดแล่นในทะเลเกลือได้ คริสเตียนก็ต้องใช้สเปรย์กันสนิมฉีดจนทั่วเพื่อความสบายใจก่อนอยู่ดี

อันที่จริงทะเลเกลือไม่ได้มีแค่พื้นที่โล่งๆ แต่มีจุดให้แวะถ่ายรูปหรือลงไปเดินเล่นได้กระจายกันอยู่หลายแห่งเลยค่ะ ทั้งโรงแรมเกลือ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก เกาะภูเขาหินที่มีต้นกระบองเพชรยักษ์ขึ้นมากมาย หรือแม้แต่แหล่งที่อยู่อาศัยของนกฟลามิงโก ฯลฯ แต่ช่วงที่เราไปเป็นช่วงโลว์ซีซั่น บรรยากาศก็จะเงียบเหงาหน่อย วันนั้นนอกจากเราสองคนแล้วก็มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากับบริษัททัวร์อีกแค่ 2 กลุ่มเท่านั้นเอง
หลังจากเดินเล่นกันจนแสงจะหมดแล้ว เราก็เลยชวนคริสเตียนเข้าไปหาที่พักในเมือง เพราะรู้สึกว่าได้เห็นได้ดูจนเต็มอิ่มแล้ว และคงไม่ต้องย้อนกลับมาในเช้าวันถัดไปอีก ถ้าจะเอาให้มากกว่านี้ก็อาจต้องถึงขั้นกางเต็นท์นอนกลางทะเลเกลือ เพื่อสัมผัสบรรยากาศตอนกลางคืนและนั่งดูดาว ดูทางช้างเผือกอะไรทำนองนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่แนวถนัดของเราอีกนั่นแหละ

ทางหลวงสาย 21 ถนนที่ไม่ใช่ถนน
ทะเลเกลือก็ได้ไปมาแล้ว น้ำมันหมดจนต้องเข็นก็ทำแล้ว เรานึกว่าโบลิเวียจะจบลงแค่นี้ แต่เราคิดผิด ในวันที่เดินทางออกจากอูยูนีเพื่อลงใต้ไปชายแดนโบลิเวีย-อาร์เจนตินา ทุกคนแนะนำให้ขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนกลับขึ้นไปที่เมืองโพโตซี (Potosi) แล้วลงไปชายแดนด้วยเส้นทางหลักจากเมืองนั้น รวมระยะทางแล้วเกือบ 600 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราวๆ 7 – 8 ชั่วโมง
ในขณะที่หน้าจอ Google Maps ของเราบอกว่าทางหลวงสาย 21 เป็นเส้นที่วิ่งตรงจากเมืองที่เราอยู่ลงไปที่ชายแดนได้เลย ระยะทางรวมไม่ถึง 200 กิโลเมตรด้วย
“เขาไม่แนะนำสาย 21 เพราะวิวไม่สวยรึเปล่า”
“วิ่งถนนเส้นเล็กๆ ไม่มีรถเยอะก็ดีเหมือนกันนะ จะได้มีอะไรน่าสนใจให้ดูบ้าง”
ปกติแล้วเรากับคริสเตียนมักเลือกใช้เส้นทางรองมากกว่าเส้นทางหลักค่ะ เพราะอยากเห็นบ้านคน อยากเห็นโรงเรียน อยากแวะกินข้าวในร้านที่มีแต่คนท้องถิ่นนั่งกินกัน สรุปว่าก็เลยพร้อมใจกันเลือกทางหลวงที่ไม่ต้องขี่รถย้อนกลับขึ้นไป
วันนั้นออกรถกันมาตั้งแต่ 8 โมงเช้า คุยกันไว้ว่าถ้าไปถึงก่อนเที่ยงจะได้หาอะไรกินแล้วนอนพักสักครึ่งวัน ช่วง 20 กิโลเมตรแรกไม่มีปัญหาค่ะ ถนนยังใหม่เอี่ยมเหมือนเพิ่งทำเสร็จได้ไม่นาน แถมโล่งมากด้วย แทบไม่เห็นใครขับรถผ่านไปหรือผ่านมาเลย

วิ่งไปได้อีกไม่นาน จากถนนลาดยางก็กลายเป็นถนนดินผสมหิน และค่อยๆ กลายเป็นดินแดง จนสุดท้ายเหลือแต่ทรายล้วนและหนามากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องลดความเร็วลงแบบแทบจะคลาน บางจุดเราต้องลงไปเดินข้างรถเพราะล้อจม ทนลากทนไถกันไปสักพักก็กลับมาเป็นถนนดินแดงผสมลูกหินอีก
3 ชั่วโมงผ่านไป ถนนเริ่มจะดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมมากขึ้นและมากเกินไป จนกระทั่งเรามองหาถนนไม่เจอ เพราะมันไม่มีเส้นตัดหรือเส้นแบ่งอะไรอีกแล้ว อารมณ์เหมือนขี่รถอยู่ในทุ่งกว้าง จะเลี้ยวตรงนี้ก็ได้ หรือจะไปอีกหน่อยแล้วค่อยเลี้ยวก็ได้ จะจอดแล้วลงไปนอนเล่นก็ยังทำได้เลย เพราะมันไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าตรงนั้นคือถนนอีกแล้ว ทั้งที่หน้าจอ Google Maps ก็ยังขึ้นเป็นทางหลวงสาย 21 อย่างชัดเจน

เราจำใจค่อยๆ เดินทางตามถนนในจินตนาการของ Google Maps กันไป เพราะถลำลึกมาขนาดนี้แล้ว บางจุดก็ต้องกระโดดลงเพื่อไปเดินหารอยล้อรถคันอื่นๆ ที่ทิ้งไว้บนพื้น เพราะถ้าตรงไปอย่างที่แผนที่บอก ก็เท่ากับว่าเราต้องเอารถข้ามน้ำไป ลังเลกันอยู่พักใหญ่จนคริสเตียนบอกว่าเดี๋ยวจะเดินข้ามน้ำไปดูก่อนว่ามีรอยล้อที่ดินฝั่งนู้นบ้างรึเปล่า ซึ่งก็เจอจริงๆ ค่ะ ก็เลยต้องค่อยๆ ประคองรถข้ามน้ำไปจนได้
ความเร็วเฉลี่ยของวันนั้นน่าจะไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วงไหนที่ทุลักทุเลหน่อยก็ต้องลงเดินและเข็นเอาค่ะ นานๆ ทีก็จะมีรถขับเคลื่อนสี่ล้อผ่านมาบ้าง บางคนก็แวะเปิดกระจกถามแบบงงจริงๆ ว่าเราสองคนมาทำอะไรกันแถวนี้ รถมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้านก็มี จึงช่วยให้อุ่นใจอยู่บ้าง เพราะอย่างน้อยก็ได้รู้ว่ามันเป็นเส้นทางที่คนท้องถิ่นใช้สัญจรจริงๆ เพียงแต่ยังไม่ได้เป็น ‘ถนน’ เท่านั้นเอง


ตอนกลางวันถือว่าวิ่งช้าแล้ว ยิ่งพระอาทิตย์เริ่มลงต่ำก็ต้องยิ่งชะลอความเร็วลงไปอีก ด้วยที่ถนนลื่น มีลูกกรวด ลูกหินขนาดใหญ่เยอะ ที่หนักใจที่สุดคือต้องข้ามทางน้ำในความมืด ทำให้หาจุดตื้นลึกได้ยาก 2 ใน 3 ครั้งเราลงไปยืนอยู่ในน้ำที่มีความสูงครึ่งแข้ง เราใส่ถุงเท้าหนาไว้กันหนาว แต่พอน้ำลงไปเต็มที่ก็แทบอยากถอดรองเท้าทิ้ง
อากาศรอบตัวเย็นลงเรื่อยๆ ตาสีวาวๆ ที่สะท้อนกับไฟหน้ารถสองสามคู่ โผล่ตรงนู้นทีตรงนั้นทีอยู่ข้างทาง และเหมือนจะเคลื่อนที่ตามเรามาแบบไม่ทิ้งห่าง เราเลยต้องชี้ให้คริสเตียนดูว่ามันคือตัวอะไร
“หมาจิ้งจอกน่ะ แถวนี้น่าจะมีเยอะ”
“มันกินคนไหม”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เราก็กินมันได้นะ หิวรึเปล่าล่ะ”
คริสเตียนใช้มือซ้ายตบกระเป๋าข้างที่มีมีดพกเหมือนจะยืนยันคำพูดของตัวเองว่า “กินได้”

4 ทุ่มกว่าแล้วแต่เรายังอยู่บนถนน ตอนนั้นเราเริ่มนั่งคิดเงียบๆ ในใจว่า ถ้าเที่ยงคืนยังไม่ถึง คริสเตียนก็ควรจะได้พักก่อน บางทีเราอาจจะต้องเดินหาจุดที่จอดรถและกางเต็นท์ได้ และหวังว่าจะไม่โดนรถที่ไหนวิ่งเข้ามาเหยียบแบบไม่รู้ตัว ในกล่องท้ายรถก็ยังมีแอปเปิลกับเนยถั่วอยู่ น่าจะพอรองท้องแก้หิวกันไปได้ก่อน ถึงจะนอนไม่หลับแต่ได้นั่งยืดแข้งยืดขาบ้างก็คงจะดี ฟ้าสว่างแล้วค่อยไปต่อ
เรามารู้ทีหลังว่า ขณะที่กำลังพยายามบังคับรถให้หลบลูกหินตรงนั้น หลุมตรงนี้ คริสเตียนก็คิดอยู่ในหัวว่ายังไงคืนนี้ก็จะจอดรถไม่ได้เด็ดขาด เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ถึงช้าแต่ก็น่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด น้ำมันสำรอง 3 ขวดลิตรในกล่องท้ายรถก็น่าจะพออยู่แล้ว ติดอยู่แค่กลัวว่าเราจะผล็อยหลับกลางทางในระหว่างนั่งรถ หรือถ้าบอกเราว่าไม่ถึงก็จะไม่หยุด เราจะโอเคด้วยไหม
โชคยังพอมีเหลืออยู่บ้าง เพราะเราไม่ได้ต้องตัดสินใจเลือกวิธีไหนเลย หลังจากเดินทางกันมายาวนานกว่า 14 ชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดพัก เราก็มองเห็นกลุ่มไฟนีออนสีขาวเป็นกระจุกอยู่ไกลๆ และมันคือเมืองปลายทางที่เราคิดว่าจะมาถึงกันตั้งแต่ก่อนเที่ยง
5 ทุ่ม 20 นาที คุณป้าเจ้าของที่พักเปิดประตูรั้วมาเจอเรากับคริสเตียนและมอเตอร์ไซค์ เดาถูกเป๊ะว่าเราสองคนเพิ่งหลุดออกมาจากทางหลวงสาย 21 สภาพเราในตอนนั้นน่าจะแย่พอดู เพราะคุณป้าเดินตรงไปเปิดห้องและบอกให้เราเข้าพักผ่อนได้เลย แล้วค่อยมาบอกชื่อ จ่ายเงิน ตอนเช้าอีกวัน
ก่อนนอนคืนนั้นคุณป้าก็แวะเอาชาร้อนเอามาให้ และพูดสั้นๆ ก่อนลาไปนอนว่า “ป้าดีใจที่พวกเธอมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย”

เราใช้เวลารวมทั้งหมดในโบลิเวียแค่ 7 วัน เป็นประเทศที่เราใช้เวลาน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ตลอด 2 ปีกว่าที่เดินทางกันมา แต่เป็น 7 วันที่เข้มข้นและครบทุกรสจริงๆ ตอนแรกเราเองเลือกไปโบลิเวียเพราะแค่อยากเห็นทะเลเกลืออูยูนี แต่สุดท้ายก็ได้พบว่ามันเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆ ของความทรงจำเกี่ยวกับโบลิเวียเท่านั้นเอง สมกับที่เดวิดบอกเราเอาไว้ตั้งแต่แรกว่า
“เสน่ห์ของโบลิเวีย ไม่ได้มีแค่ทะเลเกลือนะ” 🙂