2 พฤศจิกายน 2020
4 K

อาคารตั้งตระหง่านสไตล์ Liberty สีชมพูอมส้ม ตัดกับท้องฟ้าสีสดไร้เมฆอย่างสะดุดตา โดดเด่นด้วยรูปปั้นช้างสามเศียรประดับเบื้องหน้า คำบรรยายถึงสถานเอกอัครราชทูตและทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี หรือรู้จักกันดีในนาม ‘วิลลาไทย’ อาคารเก่าแก่กว่า 100 ปี งดงามกลางสี่แยกย่าน Nomentano ตั้งอยู่ที่หัวมุมถนน ระหว่างถนน Nomentana และ Ventuno Aprile 

นอกจากสีสันเตะตาชวนมอง ตกแต่งด้วยศิลปวัตถุไทยและอิตาลีหายาก ยังมีเรื่องราวชวนค้นหาซุกซ่อนเบื้องหลังอาคารสำคัญ จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าวิลลาไทยแห่งนี้ มีเรื่องร่ำลือสงสัยกันว่าตั้งอยู่บนสุสานของคริสตชนสมัยโรมัน อีกทั้งยังเคยถูกคณะผู้รักชาติชาวรัสเซียที่เป็นฝ่ายต่อต้านฟาสซิสยึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งเคยเป็นสถานที่รับรองบุคคลสำคัญทั้งของไทยและอิตาลี ทั้งระดับประมุขและระดับผู้นำรัฐบาลมาตลอดทุกยุคทุกสมัย 

ในอดีตมีสนามเทนนิสด้านหน้าอาคาร ซึ่งเคยมีส่วนช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาแล้ว และสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของอาคารแห่งนี้ เป็นสถานเอกอัครราชทูตไทยแห่งเดียวในโลกที่มีสถานที่ทำการตั้งอยู่บนชั้นเหนือทำเนียบเอกอัครราชทูต 

8 เรื่องเบื้องหลังอาคารสีแซลมอน สถานทูตไทยในอิตาลีที่สันนิษฐานว่าตั้งเหนือสุสานโบราณ

เกริ่นเพียงเบื้องต้นเพราะยังมีอีก 8 ภาคต่อที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิลลาไทย สถานที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างไทย-อิตาลี ในมุมที่หลายคนคาดไม่ถึง จากคำบอกเล่าของ คุณเชิดชู รักตะบุตร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโรม

01

 สันนิษฐานว่าสร้างบนหลุมฝังศพของคริสตชนสมัยโรมัน

ย้อนกลับไปสมัยโรมัน บริเวณ Nomentano อยู่นอกกำแพงเมืองโรม บริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่ฝังศพของผู้นับถือศาสนาคริสต์ เดิมทีชาวคริสต์ส่วนมากเป็นผู้ยากจน ไม่มีที่ดินทำกิน ประกอบกับประเพณีของชาวโรมันแต่เดิมไม่อนุญาตให้มีการฝังศพภายในบริเวณกำแพงเมือง ชาวคริสต์ในสมัยนั้นจึงสร้างสุสานในลักษณะเป็นอุโมงค์หลายลำดับชั้นไล่เรียงกันไปอยู่ใต้ดิน หลุงฝังศพลักษณะนี้เรียกว่า Catacomb 

ไม่ไกลจากสถานเอกอัครราชทูต มีสุสานสำคัญอย่าง Mausoleum of Saint Constanza และโบสถ์ Saint Agnes ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงนักบุญหญิง Agnes ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งมี Catacomb ด้วย จึงมีการสันนิษฐานว่าลึกลงไปใต้ผืนแผ่นดินซึ่งเป็นที่ตั้งของวิลลาไทย มีสุสานโบราณของชาวคริสต์อยู่ 

สันนิษฐานว่าสร้างบนหลุมฝังศพของคริสตชนสมัยโรมัน
ภาพวาดโบสถ์ Sant Agnese fuori le Mura ของ Christoffer Wichelm Eckersberg เมื่อ ค.ศ. 1815 เป็นโบสถ์ที่อยู่เยื้องกับสถานเอกอัครราชทูต 

02

วิลล่าของภรรยาดาราผู้โด่งดังในอิตาลี

ด้วยความที่อยู่ห่างจากตัวเมืองโรมไม่มากนัก ช่วง ค.ศ.1900 บริเวณย่านนี้เป็นย่านที่คหบดีชาวโรมนิยมมาสร้างบ้านพักตากอากาศหรือวิลล่าอันโอ่อ่าเรียงรายไปตามถนน Nomentana ซึ่งเป็นบริเวณพัฒนาใหม่ในเวลานั้น

วิลลาไทยคือหนึ่งในอาคารเหล่านั้น เมื่อ ค.ศ. 1915 พระยาพิพัฒน์โกษา (เซเลสติโน ซาเวียร์) อัครราชทูตสยามประจำอิตาลี ขอซื้อบ้านพักหลังหนึ่งที่ถือครองกรรมสิทธิ์โดย Olga Giannini Novelli ภรรยาของ Ermete Novelli นักแสดงละครเวทีอิตาลีผู้โด่งดังในสมัยนั้น ก่อนมาเป็นสถานเอกอัครราชทูตตามที่เห็นในปัจจุบัน 

ปัจจุบันย่าน Nomentano เป็นแหล่งที่พักอาศัย สำนักงาน รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูตหลายแห่ง ทั้งมาเลเซีย อัฟกานิสถาน อิหร่าน และประเทศอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นอาคารเก่าแก่ที่ได้รับการอนุรักษ์ การปรับปรุงซ่อมแซมหรือเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ใดๆ ของอาคาร จะต้องได้รับอนุญาตจากทางการอิตาลีเสียก่อน 

วิลล่าของภรรยาดาราผู้โด่งดังในอิตาลี
หอคอยและโบสถ์บนถนน Nomentana (ถนนที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูต)

03

บุคคลสำคัญในอดีตเคยมาเล่นเทนนิสที่สถานเอกอัครราชทูต

สมัยก่อน สถานเอกอัครราชทูตแห่งนี้มีสนามเทนนิสอยู่ที่บริเวณด้านหน้าของอาคาร ท่านทูตในสมัยก่อนได้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับบุคคลสำคัญถึงระดับหัวหน้ารัฐบาลของอิตาลีในบางยุคบางสมัย ตลอดจนเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระหว่างคณะทูตด้วยกัน การจัดงานเลี้ยง งานเต้นรำ และการกีฬา เป็นกิจกรรมทางการทูตเพื่อการกระชับสัมพันธไมตรีที่ดีระหว่างกัน

ในละแวกสถานเอกอัครราชทูต มีอาคารสำคัญอีกแห่งหนึ่งมีชื่อเรียกว่า Villa Torlonia เป็นบ้านพักของตระกูลขุนนางที่สำคัญในอดีตของอิตาลี ต่อมาได้ใช้เป็นบ้านพักทางการของนายกรัฐมนตรีอิตาลีในบางสมัย ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้สาธารณชนเข้าชมความสำคัญของประวัติศาสตร์ของอาคารหลังนั้นได้ 

วิลล่า Torlonia ที่เป็นที่พำนักและปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะ เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำของพรรคชาตินิยมฟาสซิสต์มักมาขี่ม้าและเล่นเทนนิสที่นั่น
วิลล่า Torlonia ที่เป็นที่พำนักและปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะ เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำของพรรคชาตินิยมฟาสซิสต์มักมาขี่ม้าและเล่นเทนนิสที่นั่น
ภาพสนามเทนนิสในสภาพปัจจุบัน เนื่องจากโบสถ์มี Sports Club และสนามเทนนิสเป็นส่วนหนึ่งอยู่ภายในพื้นที่ของทางโบสถ์
ภาพสนามเทนนิสในสภาพปัจจุบัน เนื่องจากโบสถ์มี Sports Club และสนามเทนนิสเป็นส่วนหนึ่งอยู่ภายในพื้นที่ของทางโบสถ์

ท่านทูตเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จากหนังสือที่ท่านผู้ใหญ่ที่เคยอยู่ที่สถานทูตแห่งนี้บันทึกไว้ ท่านทูตไทยในอดีตได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่นั่นเป็นแขกประจำ มีความสนิทสนมเชิญชวนบุคคลสำคัญของอิตาลีพร้อมคณะทูตมาสังสรรค์ด้วยกันที่วิลลาไทยเสมอๆ และสมัยก่อนมีสนามเทนนิสด้านหน้าอยู่ด้วย

04

สถาปัตยกรรมเก่า 105 ปี บูรณะให้คงสภาพสวยงาม

“วิลลาไทยเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Liberty อาคารทรงสี่เหลี่ยม ประดับตกแต่งสวยงาม สร้างตามแบบสมัยโบราณโดยการใช้อิฐและหินรับน้ำหนักของอาคาร โครงสร้างอาคารไม่มีเสา ไม่มีเหล็ก อาคารหลังนี้ผ่านการบูรณะซ่อมแซมใหญ่มาแล้วหลายครั้ง จนถึงยุคปัจจุบันอยู่ในสภาพที่ดีมาก” เอกอัครราชทูตกล่าวถึงการบูรณะซ่อมแซมอาคาร 

ก่อน ค.ศ.1930 บริเวณพื้นที่หน้าวิลลาไทยถูกเวนคืนเพื่อก่อสร้างถนน Ventuno Aprile ทำให้สนามหญ้ากว้างด้านหน้าเหลือเพียงสวนย่อม ภายหลังต่อเติมปีกด้านตะวันตกของตัวอาคาร และระเบียงบริเวณชั้น 1 ในสมัยพระยาสรรพกิจปรีชา (ชื่น โชติกเสถียร) เป็นอัครราชทูต

เมื่อ ค.ศ.1932 ตัวอาคารฝั่งตะวันออกและโรงรถเกิดทรุดตัว เนื่องจากฐานรากแข็งแรงไม่เพียงพอ ทำให้ต้องบูรณะอีกครั้ง

ช่วงเวลาล่วงเลยกว่า 105 ปี สถานเอกอัครราชทูตแห่งนี้มีการปรับเปลี่ยนหลายครั้ง แต่ยังมีสภาพคงทน สีเดิมของอาคารเคยเป็นอย่างไร ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด แต่น่าจะเคยเป็นสีขาวหรือสีเหลืองตามความนิยมในแต่ละช่วงเวลา ปัจจุบันเป็นสีชมพูอมส้มหรือสีแซลมอน ล้อกับท้องฟ้าสีน้ำเงินของกรุงโรม

“หากคราวใดดวงอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าสีแสด จะสะท้อนสีเดียวกับตึก แต่กรุงโรมในยามเที่ยงวัน ในวันที่ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสไร้เมฆบดบัง สีน้ำเงินของท้องฟ้าตัดกับสีของอาคารจะสวยงามมาก” เหล่านักการทูตเล่าเสริม

ภาพตัวอาคารสีชมพูอมส้มหรือสีแซลมอนของสถานเอกอัครราชทูต
ภาพตัวอาคารสีชมพูอมส้มหรือสีแซลมอนของสถานเอกอัครราชทูต

05

กองบัญชาการของกลุ่มผู้รักชาติชาวรัสเซียในสงครามโลกครั้งที่ 2

“ตึกหลังนี้ผ่านสงครามโลกมาแล้วถึงสองครั้ง ซึ่งในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ายึดกรุงโรม ในเวลานั้นไทยยังไม่ได้อยู่กับฝ่ายสัมพันธมิตร ท่านอัครราชทูตในเวลานั้นก็ได้รับคำสั่งให้เดินทางออกจากอิตาลี จากนั้นอาคารถูกยึดครองโดยกลุ่มผู้รักชาติชาวรัสเซียซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านฟาสซิส และใช้อาคารหลังนี้เป็นกองบัญชาการของกลุ่มผู้รักชาติชาวรัสเซียอยู่เป็นเวลาหลายปี” ท่านทูตเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในคราวนั้น 

ในช่วงนั้นได้เกิดความเสียหายต่อตัวอาคารและเฟอร์นิเจอร์อย่างมาก จน Emilio Florio ผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลสถานเอกอัครราชทูตขอคืนอาคารให้แก่รัฐบาลไทย เรื่องราวเข้าสู่ชั้นศาล จนไทยได้กลับมามีความสัมพันธ์ตามปกติกับอิตาลี ข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์จึงยุติลง อาคารกลับคืนเป็นสมบัติของไทยตามเดิมในที่สุด

06

เอกลักษณ์อาคารแห่งเดียวของไทยในโลกที่มีสถานทำการอยู่เหนือทำเนียบ

“วิลลาไทยมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง คือเป็นอสังหาริมทรัพย์เดียวของรัฐบาลไทยในโลก ที่มีที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตอยู่เหนือทำเนียบเอกอัครราชทูต

“ในยุโรปสมัยนั้นไม่ได้ถือเรื่องที่สูงที่ต่ำมากนัก การออกแบบอาคารถือเอาความสะดวกของเจ้าของบ้านเป็นหลัก คือเจ้าของบ้านจะอยู่ชั้นล่าง (Noble Floor) ไม่ต้องขึ้นบันได้หลายชั้น ส่วนคนงานของบ้านก็จะอยู่ชั้นบน ขึ้นบันไดไปหลายชั้น” ท่านทูตกล่าวถึงลักษณะการใช้งานตามวัฒนธรรมยุโรปที่ยังคงเป็นอยู่จนถึงปัจจุบัน 

บริเวณอาณาเขตสถานเอกอัครราชทูต ประกอบด้วยอาคาร 2 หลัง ได้แก่ ทำเนียบเอกอัครราชทูตซึ่งเป็นอาคารที่ทำการ มี 5 ชั้น (รวมชั้นใต้ดิน) กับอาคารฝ่ายกงสุล 2 ชั้น ที่สร้างขึ้นภายหลังใน ค.ศ.1994

รายละเอียดของอาคารแห่งนี้ประกอบด้วยชั้นใต้ดินเป็นครัวหลักและห้องพักพนักงานผู้ติดตาม ชั้น 1 ประกอบด้วยห้องโถงรับรอง ห้องรับแขก ห้องเต้นรำ ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นห้องพิธีการ ห้องประชุมเล็ก ห้องรับประทานอาหารใหญ่สำหรับงานเลี้ยง และห้องครัวเล็ก ชั้น 2 เป็นส่วนที่พักของเอกอัครราชทูตและห้องพักรับรองแขก ชั้น 3 เป็นที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ชั้น 4 เป็นส่วนพักรับรองแขกอีกส่วนหนึ่งและดาดฟ้า

07

ตกแต่งประณีตอย่างศิลปะไทยประยุกต์อิตาลี

ท่านทูตบอกเล่ามุมโปรดของสถานเอกอัครราชทูต

“ชอบประติมากรรมช้างสามเศียรหน้าอาคาร เมื่อไทยซื้ออาคารหลังนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศสยาม ตราแผ่นดินของประเทศสยามในเวลานั้นประกอบด้วยช้างสามเศียรเป็นส่วนประกอบสำคัญอันหนึ่ง แต่ละเศียรมีความหมายถึงสยามแต่ละภาค รูปปั้นช้างสามเศียรที่ประดับด้านบนของอาคารนี้เป็นประติมากรรมที่สวยงามมาก คาดว่าคงได้แนวคิดการประดับนี้มาจากตราแผ่นดินนั่นเอง”

ประติมากรรมช้างสามเศียร อดีตตราแผ่นดินสยามที่ประดับอยู่หน้าอาคารสถานเอกอัครราชทูต
ประติมากรรมช้างสามเศียร อดีตตราแผ่นดินสยามที่ประดับอยู่หน้าอาคารสถานเอกอัครราชทูต

ไม่เพียงภายนอกที่ปรากฏความงามของสถาปัตยกรรม เพราะเมื่อย่างกรายเข้ามาภายในก็พบกับการตกแต่งอย่างโอ่อ่า ประยุกต์ลวดลายไทยสอดประสานกับสถาปัตยกรรมภายในและเครื่องเรือนแบบตะวันตก แต่ละห้องมีเอกลักษณ์เฉพาะทั้งห้องไทย ห้องเวนิส ห้องโถงรับรอง และห้องจัดเลี้ยง ล้วนมีการตกแต่งที่แตกต่างกันไป

8 เรื่องเบื้องหลังอาคารสีแซลมอน สถานทูตไทยในอิตาลีที่สันนิษฐานว่าตั้งเหนือสุสานโบราณ
บริเวณโถงรับรอง
8 เรื่องเบื้องหลังอาคารสีแซลมอน สถานทูตไทยในอิตาลีที่สันนิษฐานว่าตั้งเหนือสุสานโบราณ
ห้องไทยหรือห้องรับรองแขกที่มีการตกแต่งด้วยศิลปวัตถุไทย
8 เรื่องเบื้องหลังอาคารสีแซลมอน สถานทูตไทยในอิตาลีที่สันนิษฐานว่าตั้งเหนือสุสานโบราณ
ห้องไทยหรือห้องรับรองแขกที่มีการตกแต่งด้วยศิลปวัตถุไทย

ภายในอาคารประดับประดาสวยงามด้วยศิลปวัตถุไทยอันทรงคุณค่า ยกตัวอย่างเช่น รูปปั้นดินเผารูปแม่กับลูก ผลงานศิลปินไทยเลื่องชื่ออย่าง เขียน ยิ้มศิริ และประติมากรรมพระบรมรูปหินอ่อนครึ่งพระองค์ของรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 9 โดย นที เกวลกุล ประติมากรไทยมากฝีมือ อีกทั้งยังมีผลงานเขียนสีน้ำมันชีวิตชาวโรมันและชาวอิตาลี ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินอิตาเลียนหลายคนรวมทั้ง Ettore Forti อีกด้วย

8 เรื่องเบื้องหลังอาคารสีแซลมอน สถานทูตไทยในอิตาลีที่สันนิษฐานว่าตั้งเหนือสุสานโบราณ
ประติมากรรมพระบรมรูปหินอ่อนครึ่งพระองค์ของรัชกาลที่ 9 โดย นที เกวลกุล
8 เรื่องเบื้องหลังอาคารสีแซลมอน สถานทูตไทยในอิตาลีที่สันนิษฐานว่าตั้งเหนือสุสานโบราณ
พรมผืนประดับผนัง (Tapestry)

08 

กิจวัตรสานสัมพันธ์ไทย-อิตาลีของสถานทูต

ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-อิตาลีมีมาเนิ่นนาน หลายคนอาจนึกถึงความสัมพันธ์ด้านศิลปะหรือสถาปัตยกรรม เป็นหลัก เช่น พระที่นั่งอนันตสมาคม ทำเนียบรัฐบาล และสถานีรถไฟหัวลำโพง ล้วนออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลีทั้งสิ้น รวมถึงอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ศิลปินอิตาลีผู้ขับเคลื่อนวงการศิลปะในไทย และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร นอกจากนั้นยังมีอุตสาหกรรมแฟชั่นที่เป็นที่นิยม แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า อิตาลียังมีชื่อเสียงระดับโลกในด้านการแพทย์ วิศวกรรม และวิทยาศาสตร์ อีกด้วย

สถานเอกอัครราชทูตแห่งนี้เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการทูตทุกด้าน ตลอดจนเผยแผ่วัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย สถานทูตให้ความสำคัญกับการเผยแผ่อาหารไทย และกำลังดำเนินกิจกรรมส่งเสริมผ้าไทยให้เป็นที่รู้จักในอิตาลี รวมทั้งอาคารแห่งนี้ยังเป็นศูนย์รวมใจของคนไทยในวาระสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพิธีการที่สำคัญของทางราชการและกิจกรรมทางศาสนา

ช่วงสถานการณ์ COVID-19 ระบาด อิตาลีเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง เจ้าหน้าที่สถานทูตกว่า 15 ชีวิตช่วยกันประสานงานส่งตัวคนไทยกลับอย่างราบรื่นที่สุด รวมทั้งดูแลสารทุกข์สุกดิบคนที่อยู่อย่างเต็มกำลัง

“สิ่งที่สถานทูตต้องทำอยู่ตลอดเวลา คือการส่งเสริมและรักษาความสัมพันธ์กับประเทศเจ้าภาพให้แน่นแฟ้น ความจริงเรียกว่าเป็นกิจวัตรประจำวันก็ได้ การทำความรู้จัก การสร้างความสนิทสนม สร้างความไว้วางใจกับเพื่อนร่วมงานของเรา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศเจ้าภาพ ทั้งข้าราชการในกระทรวงการประเทศและเจ้าหน้าที่ในภาคส่วนต่างๆ ของอิตาลี ตลอดจนเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคณะทูตด้วยกัน”

“งานการทูตไม่ใช่งานที่จะเห็นผลงานเป็นรูปร่างของวัตถุทางกายภาพ ดังเช่นการก่อสร้างที่เราจะเห็นอาคารเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ แต่ในงานการทูตนั้น หลายๆ อย่างเป็นนามธรรม แต่ความรุ่งเรืองและความร่วมมือทั้งหลายกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีต่อกันจะมีได้ ก็ขึ้นอยู่กับความสำเร็จทางด้านการทูตเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ” เอกอัครราชทูต ณ กรุงโรมกล่าวส่งท้ายถึงความสำคัญของหน้าที่ทูต 

ภาพ : สถานเอกอัครราชทูตและทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโรม

Writer

Avatar

จิตาภา ทวีหันต์

ตอนนี้เป็นนักฝึกหัดเขียน ตอนหน้ายังสงสัย ชาติก่อน (คาดว่า) เป็นคนเชียงใหม่ แต่ชาตินี้อยากเป็นคนธรรมดาที่มีบ้านเล็กๆ อยู่ต่างจังหวัด