เมื่อการสูญเสียเป็นอีกสเต็ปที่ทุกชีวิตต้องพบเจอ แต่เรามักหาความสุขเป็นตัวเลือกแรกเสมอ แล้วถ้ามีคนเผยความสูญเสียและโศกเศร้าเอาไว้อย่างงดงามละเมียดละไม ทำไมจะไม่ลองสัมผัสดูสักครั้ง
เรารู้จักงานของ ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ ครั้งแรกจากเรื่อง A Ripe Volcano (2011) มีคนบอกว่าไทกิคือคนทำหนังทดลอง แต่สำหรับเรา เขาคือศิลปินที่สร้างงานศิลปะผ่านสื่อภาพยนตร์ เรื่องนี้จัดฉายที่แกลเลอรี่แห่งหนึ่งบนจอขนาดใหญ่ 2 จอติดกัน ผู้ชมจะยืนดูและรู้สึกไปกับงานภาพและเสียงที่ทรงพลังอย่างมาก สร้างการจดจำจนทำให้ต้องตามดูงานต่อไปของเขา
ครั้งนี้ไทกิสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยหนังอีกแบบที่เราไม่คิดว่าเขาจะทำออกมา การสูญเสียเป็นเรื่องส่วนตัวและเปราะบางมาก มันยากเหลือเกินที่จะกลับไปรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องพวกนั้นได้อีก แต่ไทกิทำความเข้าใจและตีความออกมาเป็นผลงาน 2 ชิ้นในนิทรรศการ Until the Morning Comes ที่ศุภโชค ดิ อาร์ต เซนเตอร์
ภาพยนตร์สั้น 2 เรื่องคือ To the Memory of My Beloved (2018) และ Mental Traveller (2018) นำเสนอส่วนประกอบความทรงจำในอดีตผ่านเหตุการณ์ปัจจุบัน ที่สร้างบทสนทนาให้เราดำดิ่งสู่จักรวาลของโลกความเป็นจริงและโลกมายา ท่ามกลางบรรยากาศของเสียงที่แน่นหนักแต่ให้ความรู้สึกเบาโหวงล่องลอย ฝีมือโดยนักออกแบบและค้นคว้าทางเสียงชาวญี่ปุ่น ยะสึฮิโระ โมรินากะ (Yasuhiro Morinaga) ที่สร้างสรรค์งานด้วยกันมายาวนาน พร้อมชุดภาพถ่ายที่พรินต์ด้วยเทคนิคริโซ่กราฟ คราวนี้นั่งดูกับเก้าอี้เก่าที่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน จอใหญ่อลังการ และแอร์ไม่หนาวจนเกินไป
To the Memory of My Beloved เป็นการประกอบกันของรูปถ่ายรวมหมู่ญาติพี่น้อง ชีวิตวัยเด็ก สภาพในบ้านที่มีรูปปั้นพระเยซูคริสต์และพระแม่มารี ภาพสมัยยังหนุ่มยังสาวของพ่อแม่ ดำเนินไปสู่พิธีกรรมที่โบสถ์คาทอลิก การรอคอยตั้งแต่แดดเช้าจนมืดค่ำ และหมู่แสงเทียนที่จุดขึ้นเป็นท้องทะเลแห่งการรำลึกผืนใหญ่บริเวณสุสาน ไทกิเล่าให้ฟังถึงผลงานชิ้นนี้ว่า
“ผมไปถ่ายทำพิธี Ash Wednesday หรือวันพุธรับเถ้า¹ ของชาวคริสต์ ซึ่งผมรู้จักคำนี้ครั้งแรกจากกลอนของ ที.เอส. เอเลียต ที่เขียนขึ้นในช่วงปลายชีวิต เขาปล่อยให้ภรรยาอยู่สถานบำบัดพักฟื้นทางจิตโดยไม่กลับไปเจอเธออีกเลย แต่ปมของภรรยากลับเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการเขียนกวีของเขา บทกลอน Ash Wednesday (1930) เป็นการตั้งคำถามถึงความเชื่อและความศรัทธาในบางอย่าง ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับความเชื่อของพ่อผมในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตที่ต้องการไถ่บาปที่อยู่ในใจ”
วิธีการซ้อนภาพและตัดภาพอย่างรวดเร็ว เป็นภาพอดีตสลับกับภาพปัจจุบันที่มีสีหน้าของผู้คน แววตา ความชรา เด็ก หนุ่มสาว ต้นไม้ที่ผ่านกาลเวลา แผ่นหินหลุมศพผุหัก เสียงของเข็มนาฬิกาที่เดินซ้ำๆ ถี่ๆ ประกอบกับเสียงเชลโลและเสียงสังเคราะห์อีกหลายชั้นซ้อนกัน เหมือนการรำลึกนึกทวนถึงความสูญเสีย บกพร่อง เว้าแหว่ง และการพรากจาก
ในขณะที่ Mental Traveller เป็นบรรยากาศของห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวช ถ้าคนภายนอกมองเข้าไปต้องรู้สึกถึงความอึดอัด ปราศจากอิสรภาพ แต่ดูเหมือนพวกเขาก็แค่อยู่ในโลกของตัวเอง ยืนและนั่ง นอนแล้วตื่น เหมือนไม่มีพันธะเวลา ไม่มีการล็อกแขนขาพันธนาการ เหมือนการใช้ชีวิตตามปกติ
“จริงๆ หมอบอกว่าคนที่เข้าไปเขาต้องการการพักผ่อน การไปอยู่ในนั้นเหมือนกำแพง เป็นเกราะป้องกันเขาจากโลกภายนอกหรือความเป็นจริงบางอย่าง เขาสบายใจ รู้สึกปลอดภัยเวลาไปอยู่ตรงนั้น พอผมไปถึงก็ยังไม่ถ่ายทำทันที ไปปรากฏตัวก่อน มันเหมือนมีการตอบรับพลังงานกันจนคุ้นเคย ไม่ต้องอธิบายว่าเราเป็นใคร มาทำอะไร พอเขาเห็นเรานานขึ้นก็เชื่อใจ เหมือนเขาอนุญาตโดยไม่ต้องใช้คำพูด เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีมากที่ได้ไปถ่ายทอดความรู้สึกในพื้นที่ตรงนั้น รู้สึกมีความสุข แล้วก็ได้ทำความเข้าใจกับความเจ็บป่วยของคนใกล้ตัว งานชิ้นนี้จึงเหมือนเป็นที่ระลึก เป็นของขวัญ”
ไทกิเล่าที่มาของการทำงานทั้งสองชิ้นให้ฟังต่อ “มันเป็นชีวิตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากอุบัติเหตุของแฟนเก่าที่ตกม้าและอยู่ในภาวะใกล้ตาย ต้องรักษาตัวเป็นปีๆ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เห็นความตายที่อยู่ต่อหน้า ไม่นานพ่อก็เริ่มป่วยจากภาวะสมองเสื่อม (Dementia) กลับไปกลับมาระหว่างโลกความเป็นจริงและอีกโลกหนึ่ง ต่อมาแม่ต้องผ่าตัดใหญ่ แล้วเราเป็นคนดูแล และมาช่วงหลังเพื่อนก็เล่าปมชีวิตของเขา ส่วนนักศึกษาที่เราสอนก็มีอาการซึมเศร้าและไบโพลาร์ เรารู้สึกว่าคนเหล่านั้นกล้าหาญมากที่เล่าให้ฟัง เหมือนได้เยียวยากัน ผมเลยอยากทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นผ่านการสร้างงาน”
ภาพยนตร์ทั้งสองไม่มีเส้นเรื่อง ไม่มีจุดจบ แต่ลักษณะของตัวงานกลับทำให้ผู้ชมต้องมนตร์สะกด ชล เจนประภาพันธ์ ภัณฑารักษ์ เล่าว่า “ภาพและเสียงของงานจะทำงานกับสมองเหมือนสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น บรรยากาศคล้ายความฝัน อย่างเรื่อง Mental Traveller ถ้าฟังเสียงดีๆ บางทีจะงงว่าเสียงมาจากทางไหน เล่นกับการรับรู้ของคนดู การตัดต่อภาพก็ใช้เทคนิคค่อยๆ ซ้อนภาพขึ้นมา การดูหนังของไทกิจึงพ้นไปจากเดิมที่พอดูจบจะรู้สึกสนุก จำพล็อตได้ แต่กลับไปสู่การใช้ไวยากรณ์พื้นฐานของหนังที่สำคัญที่สุดคือ ภาพและเสียง”
ไทกิมีผลงานที่เป็นที่รู้จักมากมาย เช่น A Ripe Volcano (2011), Time of the Last Persecution (2012), The Age of Anxiety (2013), Trouble in Paradise (2017)² ความสนใจในงานศิลปะและดนตรีอย่างงานของ ไบรอัน วิลสัน (Brian Wilson) จากวงเดอะบีชบอยส์ และผลงาน Symphonie fantastique ของคีตกวีชาวฝรั่งเศส หลุยส์-แอ็กตอร์ แบร์ลีโยซ (Louis-Hector Berlioz) ที่ก้าวข้ามเส้นแบ่งโลกจริง-โลกเสมือนและประสบการณ์หลอน (Psychedelic Experience) เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากสร้างงานที่ออกไปสู่พื้นที่การทำงานของจิตใต้สำนึก
“ภาพที่เอามาใช้ไม่จำเป็นต้องเป็นภาพที่สวยก็ได้ ภาพไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในเฟรมที่เราถ่ายเท่านั้น แต่มันรวมถึงสิ่งที่อยู่นอกเฟรมด้วย เช่น ตอนโคลสอัพมือคนป่วย ดูเหมือนเขากำลังวาดบางอย่าง แต่จริงๆ คนดูงานจะเห็นสิ่งที่กล้องไม่ได้ถ่ายไว้ คนดูจะสร้างภาพอย่างอื่นในหัวขึ้นมาด้วย” ไทกิเล่าถึงภาพมือคนป่วยที่ไม่สมบูรณ์ ฝ่าเท้าแห้งแตกเป็นร่องลึก การหมุนของพัดลมเพดาน แต่ละภาพค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ สู่อีกภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่ง อีกรูปและอีกรูป
ที่ผ่านมา เราจะเห็นภาพยนตร์ทดลองของไทกิมีทั้งพฤติกรรมของคน การทำงานของเครื่องจักร สภาพแวดล้อมของการเฝ้ามอง รวมถึงจุดเล็กจุดน้อยของสภาพสิ่งของและสถานที่ งานชิ้นนี้ไทกินำเสนอเทียบเคียง (Juxtaposition) จัดวางองค์ประกอบชิ้นส่วนของอดีตและเรื่องส่วนตัวผ่านเหตุการณ์ปัจจุบัน ภาพเคลื่อนไหวและภาพนิ่งเชิงนามธรรม เปรียบเปรยสภาวะอารมณ์และชีวิตเหมือนบทกวี โดยใช้ภาพและเสียงที่สร้างความขัดแย้งและชวนตั้งคำถาม ลวงให้เราตกลงในภวังค์ ไม่ให้ความหมายที่แน่ชัดแต่สร้างความรู้สึกตกตะกอนนอนก้นอยู่ระดับภายในจิตใจ
คนเจ็บ คนป่วย คนตาย ไม่ได้มีแต่แง่มุมทดท้อหดหู่ นิทรรศการนี้แสดงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิต กิริยาท่าทาง สภาพแวดล้อม ทุกอย่างมีแง่งามของในตัวเองที่ซ่อนไว้เสมอ กลายเป็นว่าเปิดมิติประสบการณ์มากกว่าเรื่องพวกนั้นเสียอีก
อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่จบแบบเศร้านิดๆ คงไม่ใช่ตัวเราเท่าไหร่ การพาตัวเองกลับไปเผชิญหน้ากับความโศกเศร้าและสูญเสียของไทกิสำหรับเราได้ช่วยขยายความหมายบางประโยคในหนังสือ De Profundis³ ของออสการ์ ไวลด์ ที่เขียนเอาไว้
“ความจริงในศิลปะคือเอกภาพของสิ่งหนึ่งกับตัวมันเอง เมื่อสิ่งที่ปรากฏภายนอกเป็นการแสดงออกของสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ทำให้วิญญาณมีตัวตนและกายมีชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความจริงใดเทียบได้กับความเศร้า”
* นิทรรศการ Until the Morning Comes โดยไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ จัดแสดงที่ศุภโชค ดิ อาร์ต เซนเตอร์ ซอยสุขุมวิท 39 ถึงวันที่ 29 เมษายน 2561 Facebook | นิทรรศการ: Until the Morning Comes