伊藤くん A to E (2017)
Ito-kun A to E
Genre: TV Drama, Netflix original series
Country: Japan
Director: Ryuichi Hiroki, Yasutaka Mori
Duration: 1 season, 8 episodes ( ความยาวแต่ละตอนโดยประมาณ24 นาที)
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์*
หากคุณเป็นแฟน Netflix อย่าเพิ่งโกรธที่เราหยิบเรื่องนี้มาเล่า
แม้ The Many Faces of Ito จะไม่ใช่ซีรีส์ใหม่ล่าสุด เพราะออกอากาศพร้อมซับไตเติลภาษาไทยตั้งแต่พฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่เราก็อยากแนะนำให้คุณได้ดูเรื่องนี้อยู่ดี
โดยเฉพาะ คุณผู้หญิงทั้งหลาย
จริงๆ ถ้าพื้นที่คำโปรยไม่ได้จำกัดที่ 80 ตัวอักษร เราอยากจะเขียนคำแนะนำใหม่ว่า ซีรีส์เรื่องนี้เกี่ยวกับนักเขียนสาวกูรูความรัก (ที่ไม่เคยมีรัก) ต้องมาให้คำปรึกษาความรักแก่ 4 สาวที่บังเอิญเล่าเรื่องชายที่ชื่ออิโต้เหมือนกัน และรีวิวโดยนักเขียนสาวจากเดอะคลาวด์ที่สนใจเรื่องความรัก (แต่ไม่เคยมีรัก) นั่นไง ขายซีรีส์ก็เก่ง ขายตัวเองก็เก่ง
ในโอกาสที่เดือนความรักเพิ่งพ้นผ่าน (ฮึ!) จะมีอะไรดีไปกว่าการนอนดูซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่งใช้เวลาเพียงคืนเดียวเท่านั้น คุณก็สามารถติดตามจนจบทั้งซีซั่น อันที่จริง ผู้เขียนรอคอยเรื่องราวตอนต่อไปไม่ไหวแล้ว กลัวใจว่า Netflix จะไม่นำภาคต่อที่เป็นภาพยนตร์เข้ามา ซึ่งฉายที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จึงเลือกหยิบเรื่องนี้มาเล่าให้ทุกคนอินไปด้วย
The Many Faces of Ito ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง Ito-Kun A to E ของ Asako Yuzuki
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในงานเสวนาและแจกลายเซ็นของ ริโอ ยาซากิ (Rio Yazaki) (รับบทโดย Fumino Kimura) อดีตนักเขียนบทละครมือรางวัลที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นกูรูเรื่องความรัก มีผลงานติดอันดับหนังสือขายดี และในช่วงหนึ่งของงานนั้นเอง ริโอเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานส่งคำถามเพื่อรับคำปรึกษาแบบตัวต่อตัวกับเธอ ซึ่ง 4 เรื่องความรักที่เข้าตาเธอที่สุด คือเรื่องความรักแย่ๆ ที่เกิดจากผู้ชายที่บังเอิญชื่ออิโต้เหมือนกัน
คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมเราต้องสนใจว่าอิโต้เป็นใคร ถ้าไม่บังเอิญว่าอิโต้ในคำบอกเล่าของสาวแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ซึ่งเราจะแจกแจงพอเป็นน้ำจิ้มในลำดับต่อไป
สำหรับริโอแล้ว การให้คำปรึกษาความรักและเก็บข้อมูลประสบการณ์จริงจากรักเปิ่นๆ เหล่านั้นแปลงสารเป็นบทละคร ช่างเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวที่แท้จริง เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงเกียรติยศนักเขียนบทละครที่มีเรตติ้งอันดับหนึ่ง ระหว่างที่ฟังเรื่องราวและมุมมองความรักของตัวละครที่ดำเนินไป เราจะได้เห็นมุมมองจากกูรูที่รู้และจับทางการกระทำในความสัมพันธ์ได้ทั้งหมด แน่ล่ะ นักเขียนเบสต์เซลเลอร์มูนเรื่องความรักไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
นางสาว A โทโมมิ ชิมาฮาระ (Tomomi Shimabara) อายุ 28 (รับบทโดย Nozomi Sasaki) ผู้หญิงทางผ่าน พนักงานร้านกระเป๋า เพื่อนสนิทที่หลงรักอิโต้มาตลอด 5 ปี และไม่ว่าอิโต้คนนี้จะเย็นชาแค่ไหนเธอก็ตีความในแง่ดีทั้งหมด
นางสาว B ชูโกะ โนเสะ (Shuko Nose) อายุ 24 (รับบทโดย Mirai Shida) ผู้หญิงเฉื่อยชา พนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์โรงเรียนกวดวิชาที่อิโต้ทำงานอยู่ ผู้กำลังถูกคุกคามจากการตามจีบไม่เลิกของอิโต้ ทั้งที่เธอแสนจะธรรมดา
นางสาว C ซาโตโกะ ไอดะ (Satoko Aida) อายุ 23 (รับบทโดย Elaiza Ikeda) ผู้หญิงเสแสร้ง เธอคือตัวอย่างของผู้หญิงที่ชีวิตดีมีความสุขคนหนึ่ง เธอเป็นที่รักชอบของผู้ชายที่พบเห็นแต่เธอยังโสด ภายใต้หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเธอเป็นผู้หญิงที่แย่งแฟนเพื่อนสนิท
นางสาว D มิกิ จิมโบ (Miki Jinbo) อายุ 23 (รับบทโดย Kaho) สาวบริสุทธิ์มากปัญหา จากรักข้างเดียวที่ตกหลุมรักรุ่นพี่อิโต้มาตลอด 3 ปี เขาก็ตัดสินใจขอคบกับเธอ ก่อนอิโต้จะตีตัวออกห่าง ทำให้มิกิเข้าใจว่าเป็นเพราะเธอยังไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครที่ไหน มิกิจึงนัดพบคูซูเก็น เพื่อนสนิทสมัยเรียนที่แอบหลงรักเธออยู่เหมือนกัน เพื่อขอให้เขาเปิดบริสุทธิ์ เรื่องแสนชุลมุนของมิกิจบลงอย่างไรคงต้องไปติดตามกันเอง จริงๆ นี่ก็เล่าจนจะจบเรื่องแล้ว
ความสนุกของเรื่องนี้คือ ระหว่างสังเกตความรู้สึกของตัวละครในความสัมพันธ์นั้นๆ เราค่อยๆ ทำความรู้จัก อิโต้จากเรื่องเล่าของพวกเธอ ว่ากันว่าเรื่องความสัมพันธ์ไม่เคยเป็นเรื่องของคนสองคน ขณะที่ใครคนหนึ่งแอบรัก เขาคนนั้นก็ดันแอบรักอีกคน บางคนได้รับรักทางกายขณะที่บางคนได้รับทางใจ การเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์ไม่มีชื่อน่าสนใจพอๆ กับความจริงที่ว่าเราเองต่างหากที่ไม่ยอมให้ชื่อเรียกมัน และหลายเหตุการณ์ในซีรีส์ชุดนี้คุ้นเคยโดยไม่ต้องบอกว่าสร้างจากเรื่องจริงใดๆ
จนถึงตอนสุดท้ายเราก็ไม่รู้จริงๆ ว่าอิโต้คนนี้เป็นคนแบบไหน ไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงหรือเป็นการโรยผงยาพิษโดยนางสาว E นักเขียนสาวคนที่หวังจะคืนสังเวียนกลับไปเป็นนักเขียนบทละครโทรทัศน์มือรางวัล เราก็ได้แต่หวังว่าบทความที่เล่าถึงซีรีส์เรื่องนี้จะนำพาให้ภาคต่อของ The Many Faces of Ito ฉบับภาพยนตร์ออกฉายใน Netflix เสียที เพราะปริศนาที่ทิ้งไว้ตอนจบเรื่องสร้างจินตนาการไปไกลมากๆ แล้ว
อย่างน้อยๆ ซีรีส์เรื่องนี้ก็ทำให้เราถอยห่างออกมา สังเกตความสัมพันธ์ของตัวเอง ว่าเราเป็น A B C D หรือ E ของชีวิตใครหรือเปล่า