อ่านเถิดหนา เป็นชื่อกิจกรรมพี่ใหญ่ที่มีมาตั้งแต่แรกตั้งของ The Cloud เริ่มต้นด้วยอ่านเถิดหนา 00 อ่านเถิดหนา 01 : นานแล้วหนา อ่านเถิดหนา 02 : รักนักหนา และมาถึงอ่านเถิดหนา 03 : ยืมเพื่อนอ่าน แม้ความคิดตั้งต้นของกิจกรรมแต่ละครั้งจะต่างกันไปนิดหน่อย แต่สิ่งที่เหมือนกันมากๆ คือตารางกิจกรรมของอ่านเถิดหนาที่ถ้าจะเรียกว่า ‘ไม่มีอะไรเลย’ ก็คงไม่ผิดนัก
อ่านเถิดหนาเป็นการรวมตัวกันของคนรักการอ่านหนังสือ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร อายุเท่าไหร่ ขอเพียงคุณวางทุกอย่างในมือและในใจลง พร้อมหยิบหนังสือเล่มที่ถูกชะตาขึ้นมาอ่าน เพียงเท่านี้ คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอ่านเถิดหนาได้อย่างเต็มตัวแล้ว
สถานที่อ่านหนังสือของเราคือค่ายเยาวชนอนุรักษ์ดอยหลวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ การได้อ่านหนังสือท่ามกลางวิวภูเขาโอบล้อม มีเสียงน้ำจากลำธารไหลเอื่อยๆ เป็นดนตรีประกอบ บ้างก็มีเจ้าถิ่นสี่ขาวิ่งไปมาให้ได้พักสายตา ทั้งหมดนี้คือฟังก์ชันที่สถานที่แห่งนี้มีให้อย่างครบถ้วน ที่นี่จึงเป็นสถานที่อ่านหนังสือที่เหล่านักอ่านลงคะแนนความพึงพอใจและยินดีหากได้กลับไปซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เราชวนเพื่อนนักอ่านออกเดินทางอีกครั้งเมื่อวันที่ 17 – 21 มกราคม พ.ศ. 2563
กิจกรรมอ่านเถิดหนารอบนี้เริ่มต้นชวนคนมาอ่านหนังสือด้วยชื่อกิจกรรม ‘ยืมเพื่อนอ่าน’ เริ่มต้นจากความคิดที่ว่า มีคนอ่านหนังสือ 50 คน แต่ละคนหยิบหนังสือไปคนละ 3 เล่ม รวมแล้วเราจะได้หนังสือกว่า 150 เล่ม กลายเป็นห้องสมุดขนาดย่อมที่รวมหนังสือแสนรักของใครหลายคนเอาไว้ แถมให้นักอ่านติดบัตรยืม-คืนหนังสือที่มีช่องสำหรับลงวันยืม ชื่อผู้ยืม และวันคืน มีทั้งคนที่โน้ตข้อความน่ารักๆ ถึงเจ้าของหนังสือ หรือใครถนัดสื่อสารด้วยวาจาและสายตา ก็เรียกเจ้าของหนังสือมานั่งคุยกันได้อย่างออกรส
ตารางกิจกรรมในแต่ละวันของอ่านเถิดหนา คือทานข้าว อ่านหนังสือ ล้อมวงสนทนา และทำแบบนี้ตลอดทั้ง 3 วัน 2 คืน แม้กิจกรรมจะมีเท่านี้ แต่สิ่งเหล่านักอ่านได้พกติดกระเป๋ากลับบ้านกลับมีมากมาย เราไม่ได้คิดไปเอง นี่คือสิ่งที่ได้รับการยืนยันจากเพื่อนร่วมเดินทางแล้วว่าทุกคนได้บางอย่างกลับมาจริงๆ
‘บางอย่าง’ ที่เหล่านักอ่านจากกิจกรรมอ่านเถิดหนา 03 : ยืมเพื่อนอ่าน ลงความเห็นกันว่าได้รับติดไม้ติดมือและติดใจกลับมาหลังจากเขียนใบลาไปอ่านหนังสือที่เชียงดาวคืออะไร เราขอนำส่วนหนึ่งจากบันทึกที่อัดแน่นไปด้วยความทรงจำของชาวอ่านเถิดหนามาประกอบการเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าตลอด 3 วัน 2 คืนท่ามกลางบรรยากาศดีๆ แบบนั้น มีอะไร ‘บางอย่าง’ เกิดขึ้นกับพวกเราชาวอ่านเถิดหนาบ้าง
แรกพบ
เราเดินทางไปเชียงใหม่ด้วยรถไฟขบวนรถด่วนพิเศษ อุตราวิถี ออกจากสถานีหัวลำโพงตอนพระอาทิตย์ตก และไปถึงจุดหมายคือสถานีเชียงใหม่ตอนพระอาทิตย์ขึ้น วิวนอกหน้าต่างค่อยๆ เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับสมาชิกบนรถไฟที่ค่อยๆ ทำความรู้จักกัน กิจกรรมแรกพบของเราคือการพาทุกคนย้อนไปสู่ห้องสมุดยุคแอนะล็อกด้วยการติดซองสีขาวที่บรรจุบัตรยืม-คืนไว้ด้านหลังหนังสือ แค่ขั้นตอนการเลือกเทปสีให้ถูกใจก็นำพาให้เกิดบทสนทนาระหว่างกัน ช่วงเวลาระหว่างพระอาทิตย์ตกไปสู่พระอาทิตย์ขึ้นของวันใหม่ที่ทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าบนรถไฟไปด้วยผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ
การทำความรู้จักอย่างเป็นทางการเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ณ ค่ายเยาวชนเชียงดาวฯ นักอ่านแต่ละคนผลัดกันแนะนำตัวเองพร้อมกับแนะนำหนังสือที่เดินทางไกลมาด้วยกัน บางคนทำตามโจทย์ เอาหนังสือมาครบ 3 เล่ม บางคนใจดีหยิบมามากหน่อย มีทั้งหนังสือเล่มโปรดที่หยิบอ่านอยู่บ่อยๆ หนังสือที่เพิ่ง Spark Joy และอยากรู้จักกันให้มากกว่านี้ รวมถึงหนังสือเก่าที่อัดแน่นไปด้วยความทรงจำ นับเลขคร่าวๆ เราได้หนังสือมากกว่า 150 เล่ม ซึ่งทั้งหมดคือหนังสือที่เหล่านักอ่านตั้งใจให้เพื่อนๆ ได้ยืมอ่าน
หูก็ตั้งใจฟังเพื่อนแนะนำหนังสือ มือก็หาอุปกรณ์มาบันทึกชื่อหนังสือ การได้ฟังเรื่องราวของหนังสือจากปากผู้อ่านที่หลงรักหนังสือเล่มนั้นจนอยากบอกต่อ ทำให้เพื่อนๆ รอบวงสนทนาได้รายชื่อหนังสือที่คิดว่าหากพลาดการอ่านเล่มนี้ไปจะน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับที่สาวพนักงานรัฐวิสาหกิจผู้มาพร้อมรอยยิ้มและมุกตลกตลอดเวลาบันทึกเอาไว้ว่า
“มันคือทริปส่งเสริมปริมาณกองดองชัดๆ!
แม้เจ้าโว้ย! ต่อให้มีเวลาชีวิตเกินกว่าหนึ่งร้อยปี เราก็อ่านหนังสือไม่หมดโลก แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้อ่านเล่มที่จดไว้จากทริปนี้มากที่สุดก็แล้วกัน”
แพรวา ศรีนวล
เห็นจะจริง
สบตา
แม้หลายคนจะนิยามกิจกรรมอ่านเถิดหนาว่าเป็นกิจกรรมที่ ‘ไม่มีอะไรเลย’ แต่ความน่ายินดีคือนอกจากเพื่อนร่วมเดินทางของเราจะเป็นนักอ่านที่ดี พวกเขายังเป็นนักหากิจกรรมประกอบการอ่านที่สร้างสรรค์สุดๆ อีกด้วย ค่ายเยาวชนเชียงดาวฯ สถานที่อ่านหนังสือของเรามีธรรมชาติที่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับตารางกิจกรรมที่ไม่ได้กำหนดตายตัว เหล่านักอ่านจึงได้ใช้เวลาอ่านหนังสือพร้อมกับสัมผัสผืนหญ้า ลำธาร ภูเขา อากาศหนาว และดวงดาวบนฟ้ามืด
แต่จะอ่านหนังสือคนเดียวก็คงน่าเสียดาย นักอ่านของเราจึงขยับขยายย้ายสถานะมาเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟัง ผลัดกันสบตาและพูดคุยเรื่องหนังสือ เรื่อยไปจนถึงเรื่องความคิด ชีวิต และอนาคต รู้ตัวอีกที จากคนแปลกหน้า หนังสือก็พาให้พวกเขากลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว
เหมือนที่เพื่อนนักอ่านที่แนะนำตัวกับเราด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจว่าเธอคือนักปรุงคราฟต์โคล่าบันทึกเอาไว้
“ดูพระอาทิตย์ตก ดูพระจันทร์ ดูดวงดาว (หรือดาวตกก็ได้นะ) เดินบนผืนหญ้า เอาเท้าจุ่มในลำธาร แล้วอ่านหนังสือ (ของเพื่อน) คนแปลกหน้าที่อาจจะเจอกันเพียงครั้งเดียว และบางทีอาจจะไม่เจอกันอีกแล้ว แต่ดีมากเพียงใดที่เราได้รู้จักกัน”
ณัฐธิดา วงศ์มหาศิริ
นี่ก็จริง
อยากบอกว่า
ยิ่งรู้จัก ก็ยิ่งเปิดใจ ห้องสมุดเคลื่อนที่ของกิจกรรมอ่านเถิดหนายังมีเหล่านักอ่านมาใช้บริการไม่ขาดสาย หลายคนเปิดใจหยิบหนังสือแปลกหน้าที่ไม่เคยคิดว่าจะหยิบอ่านมาก่อน หนังสือบางเล่มรั้งตำแหน่ง Best Seller และมีหนังสืออีกหลายเล่มที่เป็นจุดเริ่มต้นบทสนทนาระหว่างเจ้าของหนังสือกับคนยืมหนังสือ จนถึงตอนนี้กิจกรรมการยืม-คืนหนังสือก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยมีตะกอนความคิดมากมายเกิดขึ้น ณ ค่ายเยาวชนเชียงดาวฯ
จุดประสงค์ในการลางานมาอ่านหนังสือที่เชียงดาวของนักอ่านแต่ละคนมีหลากหลาย บางคนอยากอยู่กับหนังสือที่ครั้งหนึ่งเคยถูกใจจนอยากได้มาครอบครองแต่ยังไม่มีเวลาเปิดอ่าน บางคนตั้งใจมาหาเพื่อนใหม่ที่รักในหนังสือเหมือนกัน บางคนอยากหลีกหนีความวุ่นวายจากสิ่งรอบข้าง รวมถึงอีกหลายคนที่อยากใช้หนังสือและธรรมชาติเป็นตัวช่วยเติมพลังใจให้ชีวิต
เมื่อจุดเริ่มต้นของการเดินทางต่างกัน จึงไม่แปลกถ้า ‘บางอย่าง’ ที่เหล่านักอ่านจากกิจกรรมยืมเพื่อนอ่านได้รับจะต่างกันไปด้วย แต่สิ่งหนึ่งเพื่อนร่วมเดินทางในครั้งนี้คิดและเชื่อเหมือนกัน คือหนังสือจะพาเรามาพบกันในวันและเวลาที่เหมาะสม เหมือนที่เราได้พบกันในครั้งนี้
ไว้ไปอ่านหนังสือด้วยกันนะ
ขอบคุณบันทึกการเดินทางจากศศธร ยิ้มบุญลือ เพื่อนนักอ่านที่แนะนำตัวกับเราว่าเธอคือนักศึกษาทั้งในและนอกรั้วมหาวิทยาลัย สำหรับวัตถุดิบของความทรงจำในการเดินทางครั้งนี้