“นั่งก่อนเลย เดี๋ยวชงกาแฟให้กิน”
คำทักทายแรกอย่างเป็นมิตรของ ระเด่น หลงสวาสดิ์ หรือ ครูเก่ง ครูดนตรีไทยชำนาญการที่ตัดสินใจวางมือจากอาชีพการสอนกว่า 20 ปี กลับมาเปลี่ยนแปลงพื้นที่หลังบ้านให้กลายเป็น ‘เรือนระเด่น’ โฮมสเตย์เรือนไทยขนาด 2 ห้องนอน และครูดนตรีไทยคนนี้ยังแบ่งปันพื้นที่บางส่วนของเรือนเป็นห้องเรียนดนตรีไทยเล็กๆ ให้กับเด็กๆ ในชุมชนคลองเขิน สมุทรสงคราม พ่วงร้านกาแฟขนาดน่ารักไว้นั่งพักจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ครูเก่งลงมือสร้างเองทั้งหมด

เสียงเครื่องดนตรีไทยคลอเคล้าบรรยากาศร่มรื่น คูน้ำสีใสสะท้อนเงาใบไม้สีเขียวโอบล้อมทั่วบริเวณบ้านอย่างอบอุ่น แดดยังแผดจ้า ครูเก่งชวนเราเข้ามานั่งพักในร้านกาแฟคั่วละมุน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าตัวเรือน เขาปลีกตัวเข้าไปด้านหลังเคาน์เตอร์สักครู่ และกลับออกมาพร้อมกาแฟเย็นหลายแก้ว แค่เห็นก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มคลายความร้อน
“กินก่อน เดี๋ยวคุยกันไม่รู้เรื่อง”
ชายตรงหน้ายื่นขนมกลีบลำดวนและคุกกี้สิงคโปร์กล่องโตฝีมือคุณแม่ให้เราเป็นเครื่องเคียงเคล้าคาเฟอีน ทำให้บทสนทนาลื่นคอขึ้นมาเป็นกอง แถมความเป็นกันเองของครูเก่งก็สร้างความประทับใจตั้งแต่เริ่มทำความรู้จัก
ชวนจิบกาแฟหอมกรุ่นแกล้มเรื่องราวของครูดนตรีไทยที่หลงใหลเสน่ห์บ้านเรือนไทย จนเก็บหอมรอมริบสร้างโฮมสเตย์ริมคลอง เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนต่างถิ่น และปันความรู้ที่มีให้เด็กเล็ก-เด็กโต ผ่านเครื่องดนตรีไทย

กลับบ้าน สร้างเรือนไทย
“เมื่อก่อนวิถีชีวิตแถวนี้เป็นบ้านเรือนไทยทั้งหมด เราเคยอยู่บ้านของคุณย่า ซึ่งเป็นบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ ส่วนบ้านของพ่อแม่ตั้งอยู่ริมน้ำ ขายกาแฟและอาหารตามสั่ง จนกระทั่งเข้ามาเรียนและทำงานในกรุงเทพฯ บ้านมันก็เริ่มทรุด เราเลยมีความคิดว่าอยากจะปลูกบ้านหลังใหม่” ครูเก่งเล่าจุดเริ่มต้นที่อยากสร้างบ้านเรือนไทยของตัวเอง
นอกจากประสบการณ์วัยเด็กที่คุ้นเคยกับบ้านเรือนไทยเป็นอย่างดี ครูเก่งเล่าว่าตนเองนั้นเห็นเรือนไทยที่ไหนเป็นไม่ได้ จะต้องขอเข้าไปสำรวจ นั่ง นอน บางครั้งก็พกตลับเมตรเข้าไปวัดขนาดด้วยว่าฝาบ้านกว้างยาวเท่าไหร่ ความหลงใหลยังพาครูเก่งเข้าสู่โลกบ้านเรือนไทย ทั้งลงมือศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและร่างแบบบ้านในฝันขึ้นมา
“ครูปลูกบ้านแบบหยอดกระปุก หมายถึงว่าซื้อของทีละอย่าง ซื้อทีละชิ้นส่วน ทำงานไปก็ซื้อเก็บไป ตอนแรกซื้อเสามากองไว้ก่อน แล้วก็ซื้อฝาบ้านมากองไว้บ้าง ท้ายสุดคือซื้อหลังคา แล้วก็ประกอบกันให้เป็นตัวเรือน
“ไม้เก่าใช้ทำฝ้ากับพื้น ส่วนพวกระแนง จันทัน ลอด แปรต่างๆ เป็นของใหม่ทั้งหมด”


แรกเริ่มเดิมที เรือนระเด่นควรมีขนาดเล็กกว่านี้เกือบเท่าตัว แต่ด้วยความคลาดเคลื่อนในขั้นตอนการก่อสร้าง จึงทำให้เรือนไทยหลังย่อมในจินตนาการกลายเป็นเรือนหลังใหญ่เกือบครึ่งสนามฟุตบอล นี่เป็นจุดเริ่มต้นให้ครูเก่งเปิดประตูเรือนต้อนรับแขก ทำเป็นโฮมสเตย์ตากอากาศแบบเป็นกันเอง เพราะหากอยู่คนเดียว ก็อาจเงียบเหงาไปเสียหน่อย
“ลูกค้าที่มาพัก ตอนเดินเข้ามายังไม่รู้จักกัน แต่พอกลับออกไป ลูกค้าจะกลายเป็นเพื่อนเราทุกคน”
กาแฟพร่องไปครึ่งแก้ว แดดเริ่มร่มลงแล้ว ครูเก่งอาสาพาเราเดินสำรวจรอบบ้าน
มีเรือนไทยสองชั้นขนาดใหญ่สมกับที่ครูเก่งเล่าไว้ไม่มีผิด ชั้นล่างเป็นโถงขนาดกว้าง ยึดโยงโครงสร้างด้วยเสาปูน และมีห้องพักสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่สะดวกเดินขึ้นบันไดไปพักบนเรือนไทย เราสังเกตชุดโต๊ะเก้าอี้เล็กๆ ที่ถูกจัดไว้เรียงรายไว้รอบบ้านสำหรับนั่งจิบกาแฟและเป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ และแน่นอนว่าครูเก่งลงมือสร้างเองทั้งหมดอีกเช่นเคย


“เราทำมุมนั่งกินกาแฟเต็มไปหมด แต่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีปัญญาได้นั่งเองเลยนะ ได้แต่กวาด
“ตอนที่ยังสอนหนังสืออยู่ ต้องขับรถไปกลับจากบ้านไปโรงเรียนที่สมุทรปราการ วันละเกือบสองร้อยกิโล ก็เริ่มคิดแล้วว่าถ้าเราอยากให้คนมาที่นี่ได้รับความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เราก็ต้องมีความรู้สึกว่าเราได้พักอยู่ที่บ้านก่อน”
หากนับขวบปีที่ครูเก่งทำหน้าที่เป็นพ่อพิมพ์ให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนก็เข้าปีที่ 20 แบบพอดิบพอดี
ส่วนธุรกิจโฮมสเตย์เพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อ 8 ปีให้หลังนี้เอง ซึ่งครูเก่งเพิ่งวางมือจากการสอนหนังสือ มาดูแลเรือนระเด่นอย่างเต็มตัวเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ถึงแม้จะท้าทายและมีความเสี่ยงต่องบประมาณในกระเป๋าสตางค์อยู่บ้าง แต่ครูเก่งย้ำกับเราว่า การลงมือทำย่อมได้อะไรบางอย่างกลับมาเสมอ และการได้กลับมาอยู่บ้าน เป็นสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้
อยู่บ้านท่าน นอนนั่งสบาย
ชั้นสองของตัวเรือน เป็นที่ตั้งของเรือนไทยขนาด 5 หมู่ หลังคาจั่วไม้ชูยอดเด่นเป็นสง่า ในสุดตรงกลางคือเรือนดนตรี ขนาบข้างด้วยห้องครัวและศาลานั่งเล่น ส่วนปีกซ้ายขวาคือเรือนนอนสองห้องที่มีป้ายไม้แขวนอยู่
ซ้ายห้องบุษบา ขวาห้องสารถี

“เราตั้งชื่อตามสิ่งที่เราชอบ สารถีเป็นชื่อเพลงไทยในวรรณคดี ขุนช้างขุนแผน และที่นี่คือเรือนระเด่น ก็เลยต้องมีบุษบา เป็นพระกับนาง แต่ตอนนี้ยังอยู่คนเดียวอยู่เลย” ครูเก่งทำทีเขินเล็กน้อยเมื่อพูดถึงนางบุษบาในชีวิตจริง
เรือนนอนทั้งสองห้องตกแต่งคล้ายกัน เตียงขนาดใหญ่พอให้นอนได้ 2 – 3 คนแบบสบายๆ ส่วนตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ล้วนเป็นของเก่าที่ครูเก่งสะสมไว้และซื้อหามาประดับเพิ่มเติม มองภาพรวมแล้วทุกอย่างดูเข้ากันแบบไม่หลุดธีม ช่างน่าเสียดายที่วันนี้ไม่ได้แต่งชุดไทยสไบเฉียงมาด้วย ไม่อย่างนั้นคงเข้ากับบรรยากาศน่าดู
แต่สิ่งที่แปลกไปจากโฮมสเตย์ทั่วไป คือ 2 ห้องพักไม่มีเครื่องปรับอากาศเลยสักตัว

“บ้านเรือนไทยแบบโบราณไม่มีระบบปรับอากาศ อาศัยความเย็นจากช่องลมของบ้านแทน เราเลยคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ดีกว่า เอาแบบธรรมชาติ ใครอยากมาสัมผัสธรรมชาติก็มานอนที่นี่” เจ้าบ้านเล่าเหตุผล
ครูเก่งพาเราเดินมาหยุดที่เรือนดนตรี ใช้เป็นที่พำนักของเครื่องดนตรีชิ้นน้อยใหญ่ละลานตา ชนิดที่ว่าถ้าตั้งวงปี่พาทย์ ที่นี่ก็มีให้คุณพร้อมสรรพโดยไม่ต้องสรรหาอะไรเพิ่ม ซึ่งครูเก่งเล่นเป็นทุกชนิดยกเว้นจะเข้ แกบอกว่าไม่คิดจะเริ่มฝึกแล้ว เพราะมือด้านเกินกว่าจะหัด แต่เครื่องดนตรีที่ชำนาญมากที่สุดคือระนาด ขิม และอีกอย่างคือ ขับร้อง
ที่สำคัญ ครูเก่งยังเปิดสอนดนตรีไทยให้กับเด็กๆ ในชุมชนทุกวันเสาร์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายด้วย

“จังหวัดนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งดนตรี ตัวเราคลุกคลีกับดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เริ่มจากพ่อเป็นคนสอน แล้วก็ส่งไปเรียนดนตรีที่บ้านไทยบรรเลง จากนั้นก็เรียนจบด้านดนตรีมาโดยเฉพาะ เราเลยคิดว่าถ้าทำพื้นที่ตรงนี้ให้เด็กๆ มาเรียนก็น่าจะดี
“บางคนเราหัดให้ตั้งแต่ศูนย์จนเล่นคล่องเลยก็มี ใครอยากเรียนก็มาเลย เครื่องดนตรีมีให้แล้ว แค่คุณมาเรียนและมีความตั้งใจเท่านั้นเอง แต่เด็กบางคนไม่ยอมเรียน วิ่งรอบบ้านเลยก็มี กะจะจับผูกเชือกกับเครื่องดนตรีแล้ว ไม่ให้ไปไหน พูดเล่นครับ” คำบอกเล่าเคล้าเสียงหัวเราะของครูเก่ง ช่วยขับเน้นความหรรษาที่เคยเกิดขึ้นในเรือนแห่งนี้
ความตั้งใจในอนาคตอันใกล้ ครูเก่งอยากเชิญชวนให้ผู้สูงอายุละแวกใกล้เคียงมาเรียนดนตรีด้วยกัน เพราะด้วยข้อจำกัดของเด็กๆ ที่อาจเดินทางมาเรียนได้แค่วันเสาร์และวันอาทิตย์ ต่างกับผู้สูงอายุที่มีเวลาว่างมากกว่า
“มีดนตรี ก็ต้องมีคนเล่นนะ ไม่อย่างนั้นก็วางทิ้งเปล่า ดนตรีช่วยทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ขึ้นระหว่างผู้เล่นด้วยกันเอง มันไปได้ไม่สิ้นสุด เริ่มตั้งแต่พื้นฐาน แล้วต่อยอดไปเล่นเพลงยากๆ เล่นเป็นอาชีพ สอนลูกสอนหลานต่อไปได้อีก
“เราอยากทำให้ที่นี่เป็นที่เรียนดนตรี ที่สังสรรค์ดนตรีสำหรับคนดนตรี เพราะเราก็ยังอยากสอน
“ความเป็นครูมันยังอยู่” อดีตครูดนตรีไทยประสบการณ์มากกว่า 20 ปีย้ำด้วยแววตามุ่งมั่น

จิบกาแฟ ทำขนม ชมหิ่งห้อย
นอกจากนอนพักโฮมสเตย์และเล่นดนตรีไทย ที่นี่ยังมีบริการล่องเรือเที่ยวตลาดน้ำท่าคาตอนเช้า และลัดเลาะรอบคลองชมแสงหิ่งห้อยยามค่ำคืน ซึ่งผู้รับหน้าที่ฝีพายมือฉมัง ก็คือครูเก่งแห่งเรือนระเด่นอีกเช่นเคย
ส่วนขนมกลีบลำดวนและคุกกี้สิงคโปร์ ที่บทสนทนายังดำเนินมาไม่ถึงครึ่งทางก็หมดไปแล้วเกือบครึ่งกล่อง เป็นฝีมือของคุณแม่ครูเก่ง หรือที่ครูเก่งเรียกว่า ยายหวาน หากใครติดใจในรสชาติ อยากลงคอร์สทำขนมแบบสั้นๆ คุณยายหวานก็ยินดีสอนให้ นอกจากนี้ยังมีไฮไลต์อยู่ที่คอร์สสอนทำกาแฟที่ครูเก่งลงมือสอนด้วยตัวเอง (อีกเช่นเคย)

“หลังจากเรือนระเด่นสร้างเสร็จ โจทย์ต่อไปคือ ทำอย่างไรเราถึงจะกลับมาอยู่บ้านได้ เราชอบดื่มกาแฟ ก็ลองหางานเกี่ยวกับกาแฟด้วยดีมั้ย เพราะโดยพื้นฐานบ้านเราเคยทำกาแฟขายอยู่แล้ว แค่เปลี่ยนเครื่องมือการชงจากเตาถ่าน มาเป็นเอสเปรสโซ่แมชชีน นอกนั้นคือทักษะเดียวกัน” บาริสต้าเล่าถึงที่มาที่ไปของร้านกาแฟ ‘คั่วละมุน’
กว่าจะเป็นกาแฟแต่ละแก้ว ครูเก่งจับต้นชนปลายอย่างพิถีพิถัน เดินทางเรียนรู้เรื่องกาแฟกับชาวเขาด้วยตัวเองถึงจังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก บ่มหมัก จนถึงการคั่วและบดเมล็ดกาแฟ โดยครูเก่งจะขับรถขึ้นดอยเพื่อรับเมล็ดกาแฟด้วยตนเอง หลักฐานยืนยันคือกระสอบเมล็ดกาแฟกว่า 500 กิโลกรัมที่แผ่หลาอยู่บนท้ายรถกระบะ จากนั้นจึงนำมาคั่วและบด บ้างก็ชงให้ลูกค้าที่แวะเวียนมาอุดหนุน บ้างก็ส่งขายร้านกาแฟ บ้างก็ส่งกลับขึ้นไปขายบนดอยก็มี

มีคนพักก็ดี ไม่มีก็บ้านเรา
แม้กิจการรีสอร์ตและโฮมสเตย์ในละแวกนี้อาจซบเซาลงไปบ้างเพราะสถานการณ์โรคระบาด แต่เรือนระเด่นไม่ได้มีแค่ที่พักเพียงอย่างเดียว แต่เสริมทัพจัดกระบวนธุรกิจในถิ่นบ้านเกิดด้วยร้านกาแฟคั่วละมุน ทำแบรนด์เมล็ดกาแฟคั่วออกขาย และมีขนมไทยของคุณยายตบท้าย สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เรือนระเด่นประคับประคองตัวมาได้ในวิกฤตนี้
“มีคนมาพักก็ดี ถ้าไม่มีมันก็บ้านเรา มันแค่ห้องว่างที่มีไว้รับรองแขกเท่านั้นเอง แน่นอนว่าเราได้รับผลกระทบ แต่ถ้าเราจะกลับมาอยู่บ้าน เราก็ต้องมองหาลู่ทางอื่นๆ ด้วย มันเป็นบทพิสูจน์ว่า โควิด-19 รอบแรกเราก็รอด รอบที่สองเราก็รอด รอบที่สามนี้ ลาออกเลยแล้วกัน” ครูเก่งเล่าพลางหัวเราะ ก่อนจะเสริมว่า “เราเริ่มมั่นใจว่าธุรกิจที่ทำอยู่ตรงนี้ มันจะเลี้ยงเราได้ ถ้าเราไม่เปิดร้านหรือร้านเราไม่มีลูกค้าเลย เราจะขาดทุนแค่น้ำแข็งละลาย นอกนั้นเราไม่เสียอะไร”

หลังบทสนทนาสิ้นสุดลง ครูเก่งจัดแจงเช็ดถูระนาดเอกที่ตั้งเด่นอยู่กลางเรือนดนตรีจนมันวาว พนมมือขึ้นจรดหัวคิ้ว ก่อนจะหยิบไม้ตีด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ตวัดปลายไม้เสียงเจื้อยแจ้วลงไปบนผืนระนาด เพลงของครูเก่งดังก้องไปทั่วเรือนระเด่นและอาจดังแว่วไปไกลถึงคุ้งน้ำด้านหน้า เป็นสัญญาณกระซิบว่า เรือนระเด่นยังคงยินดีต้อนรับทั้งขาจรและแขกขาประจำ ให้เข้ามานอนพัก เล่นดนตรี จิบกาแฟ ทำขนม และสร้างมิตรภาพใหม่ๆ อยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน
จากบทสนทนาตอนต้น ครูเก่งบอกว่า จากลูกค้าจะกลายเป็นเพื่อนดูท่าจะจริง เพราะยังไม่ทันได้นอนค้างอ้างแรมสักคืน เราก็รู้สึกสนิทสนมกับครูเก่งและเรือนระเด่นเสมือนเป็นเพื่อนกันเสียแล้ว ว่าแล้วก็อยากแพ็กกระเป๋าเสื้อผ้า หลบมานอนพักผ่อนในเรือนไทยหลังโต ลงทะเบียนเรียนระนาดเอกสักคอร์สกับเขาบ้างอยู่เหมือนกัน

เรือนระเด่น
ที่ตั้ง : 65 หมู่ 9 ตำบลคลองเขิน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม (แผนที่)
โทรศัพท์ : 09 9132 7476
Facebook : เรือนระเด่น Raune Raden Homestay