จะเป็นยังไงเมื่อกลุ่มนักทำกระบวนการเรียนรู้ลุกขึ้นมาจัดทริปท่องเที่ยวระยอง เพราะพวกเขาเห็นว่าการออกไปเที่ยวนี่แหละคือห้องเรียนกว้างใหญ่ไพศาลที่มีเนื้อหามากมาย ที่สำคัญ สนุกด้วย!
เราได้ลองไปร่วมทริปที่มีชื่อว่า ‘ลอง ล่อง แล’ ซึ่งจัดโดยทีมงาน Rare Rayong และคนในชุมชน ก่อนไปเราเห็นกำหนดการคร่าว ๆ แล้วก็แอบตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือการไปลองใช้ชีวิตในสวนผลไม้ออร์แกนิก ซึ่งแน่นอนว่าก็เป็นของขึ้นชื่อของจังหวัด และยังจะได้ไปล่องเรือผ่านลำคลองสายประวัติศาสตร์ที่สุนทรภู่เคยล่องมาก่อน ไปพบเจอชาวบ้านในหมู่บ้านที่ไม่มีในแผนที่ประเทศไทย และไปแลชุมชนเมืองเก่าแก่ที่เป็นชุมชนประมงพื้นบ้านซึ่งเคยเป็นย่านโรงน้ำปลาเก่าอีกด้วย
ความน่าสนใจของทริปนี้ไม่ได้อยู่แค่เส้นทางการท่องเที่ยวระยองเท่านั้น แต่คือการออกแบบทริปให้การเที่ยวกับการเรียนรู้เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะทีม Rare Rayong ต่างจบจากคณะที่ผลิตครูกันมาทั้งนั้น ว่าแล้วก็ทำเอางงไม่น้อยว่าทำไมคนที่เป็นครูจะมาทริปท่องเที่ยวแบบนี้
แต่นั่นแหละ เราเลยได้เจอคำตอบน่าอัศจรรย์ผ่านทริปนี้ไปด้วยกัน

ไม่ได้แค่กินผลไม้อร่อย แต่ได้เข้าใจธรรมชาติไปด้วย
เริ่มต้นทริป เรานัดเจอกันที่ บ้านคนสวน ผลไม้ออร์แกนิค ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอแกลง นี่คือสวนของ พี่ลูกแก้ว และ พี่ดำ สองสามีภรรยาที่ตัดสินใจใช้ชีวิตในสวนออร์แกนิกเล็ก ๆ แต่เน้นความหลากหลาย เมื่อเดินเข้ามาเราเห็นลูกทุเรียนที่กำลังโตโผล่มาทักทายทันที พร้อมกับไอความเย็นที่โชยมา แม้ว่าข้างนอกแดดจะแรงกว่า 40 องศาเซลเซียส
หลังจากแนะนำตัวกันแล้ว พี่แก้วพาเราเดินชมสวน เก็บมังคุด (เสียดายที่ทุเรียนยังไม่โตพอให้เก็บ) ดูพืชพรรณ ต้นไม้ที่อยู่กันแบบพึ่งพาอาศัย พี่แก้วยืนยันว่าที่นี่ไม่มีการใช้สารเคมี 100% และต้นไม้ทั้งหมดที่เห็นว่าเติบโตได้อย่างดี มาจาก ‘จุลินทรีย์’ ที่เป็นองค์ความรู้ง่าย ๆ แต่คนมักหลงลืมกันไปแน่ล่ะ นี่คือการเรียนรู้เรื่องแรกของวันว่า เมื่อเราเข้าใจวิถีชีวิตของต้นไม้ เราก็ดูแลต้นไม้ได้ไม่ยาก

สำหรับเราในฐานะคนที่ชอบปลูกต้นไม้แล้วตายบ่อย ๆ การเรียนรู้นี้สำคัญกับเราไม่น้อย พี่แก้วเล่าให้ฟังว่าต้นไม้แต่ละส่วนที่เห็นกำลังทำงานอะไรกันอยู่ ยอดใบอ่อนนั้นบอกอะไร ใบสีต่าง ๆ หมายถึงอะไร แล้วถ้าอยากให้ต้นไม้โตแบบไหน ก็แค่รู้จักสังเกตและเติมจุลินทรีย์ที่เหมาะสมให้กับพวกเขา เพราะต้นไม้ก็เหมือนกับคนที่ต้องการอาหารหลาย ๆ ประเภท
แต่เอาล่ะ เพราะเนื้อหามันลงลึกมาก และเราอยากให้ทุกคนได้มาฟังพี่แก้วเล่าจากปากเอง เลยขอสปอยล์ไว้เล็ก ๆ ตรงนี้ว่าพี่แก้วใช้จุลินทรีย์เพื่อทำให้ผลไม้งอกรูปทรงได้ตามใจ อยากให้แตงกวาเป็นทรงกลมก็ทำได้ อยากให้มะเขือเทศเป็นทรงยาวก็ทำได้ นี่คือพ่อมดแห่งธรรมชาติโดยแท้ ผ่านการเข้าใจวิถีชีวิตของต้นไม้ที่พี่แก้วสั่งสมมาหลายสิบปีนั่นเอง
หลังจากนั่งพักและได้เติมความรู้เข้าสมอง ก็ถึงเวลาเติมท้องที่ว่างให้เต็ม พี่ดำเตรียมมังคุดนึ่งซึ่งเป็นเมนูประจำบ้านคนสวนนี้เอาไว้ให้ ตอนได้ยินชื่อเราก็แอบงงว่ามันจะเป็นยังไงนะ แต่พอได้ลองกัดเข้าไปคำแรกก็ต้องบอกเลยว่า ฝาด!

แต่ความฝาดนั้นมีที่มา เพราะพี่แก้วอธิบายให้เราฟังเพิ่มผ่านประสบการณ์ของเขาว่า เขาพบว่าในเปลือกมังคุดมีสารแทนนินที่ช่วยยับยั้งเชื้อโรค แต่เพราะเปลือกมังคุดกินไม่ได้ การเอามังคุดไปนึ่งก็ทำให้สารแทนนินเคลื่อนที่จากเปลือกซึมเข้าไปที่เนื้อมังคุดแทน และทำให้เราได้รับสารแทนนินในที่สุด
พี่แก้วยังแอบเล่าให้ฟังว่าช่วงโควิดที่ผ่านมาทั้งพี่แก้วพี่ดำไม่เคยติดโควิดเลยเพราะทั้งสองกินมังคุดนึ่งกันเป็นประจำ (พี่แก้วบอกว่าไม่ใช่เพราะมังคุดทั้งหมดหรอกนะ แต่คิดว่ามีผลบางส่วนแน่ ๆ) ทั้งนี้พี่แก้วก็บอกข้อควรระวังไว้ว่าจะทำมังคุดนึ่งได้ต้องปลอดสารเคมี 100% ไม่งั้นแทนที่จะได้สารแทนนิน เราอาจได้สารเคมีเข้าไปแทน และอันตรายมาก ๆ หากจะทำต้องรู้แหล่งที่มาให้ได้ชัวร์ ๆ ด้วย

ล่องเรือตามรอยสุนทรภู่ ดูวิถีชีวิตและธรรมชาติระยองแท้
หลังจากกินจนหนำก็ถึงเวลาออกเดินทางไปตามรอย นิราศเมืองแกลง ของ สุนทรภู่ โดยทางทีมได้เตรียม ‘รถเหลือง’ ซึ่งเป็นรถสาธารณะของคนในพื้นที่เอาไว้ให้ ชวนรับลมร้อน ๆ แต่มองทิวทัศน์ได้ชัดเจน แจ่มแจ๋ว
เราเดินทางมาถึง ‘กลุ่มวิสาหกิจท่องเที่ยวชุมชนคลองลาวน’ ที่นี่เป็นการรวมตัวของชาวบ้านที่อยากทำให้คนได้มารู้จักและร่วมอนุรักษ์ธรรมชาติในบ้านของพวกเขาผ่านการท่องเที่ยว จึงมีทั้งเรือพาชมลำคลองและพาไปออกปากอ่าว ตกหมึกแบบวิถีชาวบ้านแท้ ๆครั้งนี้เรากำลังจะได้ล่องเรือขึ้นไปทางต้นน้ำ โดยมีจุดหมายปลายทางที่หมู่บ้านคาเซ หรือหลายคนก็บอกว่าเป็นหมู่บ้านที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ประเทศไทย เมื่อสวมชูชีพแล้วก็ได้เวลาออกเดินทาง โดยมี ลุงติ๋ม กับ ไมค์ รับหน้าที่ไกด์ระหว่างล่องเรือให้ ซึ่งลุงติ๋มก็อ่านบทประพันธ์ของสุนทรภู่ที่กล่าวถึงคลองลาวนให้เราฟังเพิ่มความอินเข้าไป
แล้วภิญโญ โมทนา ลีลาลาศ
ลงเลียบหาด ปรีดิ์เปรม เกษมสันต์
ถึงปากช่อง คลองน้ำ เป็นสำคัญ
ตำแหน่งนั้น ชื่อชะวาก ปากลาวน

ลุงติ๋มอธิบายเพิ่มว่าที่เรียกคลองนี้ว่าคลองลาวน ก็เพราะมันวกวน คดโค้ง เลี้ยวไปเลี้ยวมา ซึ่งเดี๋ยวเราจะได้เห็นกับตา สมัยก่อนคลองลาวนมีขนาดกว้างกว่านี้มาก คุ้งโค้งต่าง ๆ จึงใหญ่ตามไปด้วย
ระหว่างนั่งเรือ เราเห็นชาวบ้านเดินในน้ำหาหอย ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจของคนแถวนี้ นอกจากนี้ยังได้เจอประติมากรรมเสาไม้ที่เรียงราย โดยมีเชือกที่ห้อยลงไปในน้ำ เชือกนั้นจะมีลูกตุ้มทำจากปูน ชาวบ้านเรียกสิ่งนั้นว่าตุ้มห้อย เพื่อเอาไว้เพาะเลี้ยงหอยนางรมนั่นเอง
ลุงติ๋มเล่าให้ฟังว่าที่นี่มีความพิเศษคือเป็นพื้นที่ 3 น้ำ ได้แก่ น้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม จึงมีความหลากหลาย เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ โดยเฉพาะหอยนางรม ตรงนี้เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงก่อนส่งต่อให้คนที่ชลบุรีหรือจันทบุรีไปเลี้ยงให้เติบโตต่อไป เมื่อเราถามว่าทำไมไม่ให้หอยนางรมโตที่นี่ไปเลย ลุงติ๋มก็บอกว่า เพราะที่นี่ไม่ได้มีอาหารเพียงพอให้หอยเติบโต ด้วยการขยายพื้นที่ที่เริ่มลุกล้ำริมคลอง ทั้งลำคลองที่ไม่ได้ใสสะอาดหรืออุดมสมบูรณ์เท่าแต่ก่อน

แน่ล่ะ ฟังแล้วก็เศร้าใจ แต่ก็ทำให้ได้เรียนรู้ว่าทุกการกระทำของมนุษย์ส่งผลต่อมนุษย์ด้วยกันเองและธรรมชาติในพื้นที่
ขุดสมบัติ ดีดลูกแก้ว ในหมู่บ้านที่ไม่ถูกบันทึกในแผนที่ประเทศไทย
หลังจากล่องเรือ ฟังเสียงลม เห็นนกแปลกตา และผ่านคุ้งโค้งมามากว่า 10 ครั้ง วกวนสมชื่อคลองลาวน เราก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านคาเซ มี ลุงเปี๊ยก กับ ป้าติ รอต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยเมนูขนมจาก ซึ่งทำจากใบจากโบราณที่ยังเติบโตอยู่บริเวณชุมชน และเห็นได้ตามลำคลองที่เราล่องเรือผ่านมา
หมู่บ้านคาเซมีหลายชื่อเรียกมาก ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านตะกาดบัวผุด หมู่บ้านสวนถ่าน แต่ชื่อที่คนในชุมชนเรียกตัวเอง คือหมู่บ้านคาเซ ลุงเปี๊ยกเล่าติดตลกว่า เพราะอยากเสียดสีตัวเองว่าเป็นหมู่บ้านห่างไกล ไม่มีใครรู้จัก เหมือนในหนังเก่าที่ชื่อ เก็บแผ่นดิน (พ.ศ. 2544) แต่หากเราลองดูตามแผนที่จะพบว่าหมู่บ้านนี้อยู่ท่ามกลางชุมชนเมือง แต่เกิดขึ้นติด ๆ กัน อยู่ใกล้กับสถานที่ราชการเสียด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นหมู่บ้านที่ถูกลืม ไม่มีไฟฟ้าใช้มากว่า 70 ปี ตอนนี้ต้องพึ่งพาตัวเองด้วยการใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งโดยกลุ่มพลังงานสะอาดระยอง ชาวบ้านจึงได้ใช้ไฟฟ้าที่มีความเสถียร

หลังจากเติมความรู้ทางประวัติศาสตร์จนแน่น ก็ถึงเวลาของการขุดสมบัติ แผ่นดินของชุมชนคาเซเต็มไปด้วย ‘ทรายแก้ว’ ทรายที่มีมูลค่ามหาศาล เพราะนำไปทำแก้วหรือแม้แต่โซลาร์เซลล์ได้ และหลายคนก็อยากจะเข้ามาครอบครอง แต่สิ่งที่พิเศษกว่านั้นคือที่พื้นทรายแก้วจะพบเจอเศษกระเบื้องโบราณได้ จากการที่สมัยก่อนชุมชนแห่งนี้เคยเป็นท่าเรือสำคัญ จากคำบอกเล่าของลุงเปี๊ยกที่ครอบครัวมาตั้งรกรากอยู่เกือบ 100 ปี ที่นี่จึงมีเศษกระเบื้องสวยงามมากมายตามพื้น แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาศึกษาอย่างจริงจัง
หลังจากขุดกระเบื้องและเก็บรักษาส่งมอบให้ลุงเปี๊ยกเก็บไว้เพิ่มเติม เด็ก ๆ ที่มาร่วมทริปด้วยกันก็เริ่มล้อมวงตามคำชวนของทีมงาน Rare Rayong ที่จะพาไปเล่นการละเล่นโบราณอย่างการ ‘ดีดลูกแก้ว’ โดยมีเด็กในชุมชนผู้เป็นตัวตึงมาร่วมท้าชิงด้วย เพราะการเล่นดีดลูกแก้วบนผืนทรายแก้วนี่แหละคือความสนุกขั้นสุดยอด

หลังจากเล่นกันจนเหนื่อยก็ถึงเวลาบอกลาชุมชนแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศน่าอัศจรรย์ เหมือนหลุดมาอยู่อีกยุคสมัย เพื่อเตรียมเดินทางไปเดินจ่ายตลาดที่ ‘ตลาดกลางทุ่ง’ เป็นตลาดของชุมชนจริง ๆ และมีวัตถุดิบแปลกตาอยู่ไม่น้อย
หลังจากนั้นก็เดินทางกลับสู่บ้านคนสวน เพื่อร่วมกันทำอาหารเย็นด้วยกัน ซึ่งเมนูพิเศษของมื้อนี้คือหอยพอก หอยขึ้นชื่อของชุมชน ทั้งหอม อร่อย รสชาติดีเยี่ยม ย่างกันแบบสด ๆ พร้อมน้ำจิ้มฝีมือผู้ร่วมทริปที่ผลัดกันทำ เรียกว่าเป็นทริปที่นอกจากได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ยังได้เจอมิตรภาพมากมาย

ชะโงกดูย่านโรงน้ำปลาเก่า แลวิถีชีวิตประมงพื้นบ้านปากน้ำ 2
พระอาทิตย์ขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่ หลังจากได้อยู่กับพื้นที่ธรรมชาติ ฮีลลิ่งในเต็ม ๆ 1 วัน วันที่ 2 ของทริปนี้ เรากำลังจะเดินทางเข้าสู่อำเภอเมืองระยอง และไปยังอีกหนึ่งพื้นที่ชุมชนเก่าแก่อย่างชุมชนปากน้ำ 2 ชุมชนประมงพื้นบ้านท่ามกลางการเติบโตของอุตสาหกรรมและความเป็นเมือง
ที่นี่เองเราได้พบกับ 2 พี่น้อง กันต์ และ กีร์ ไกด์เยาวชนจาก ปากนั่มซ้อง ชื่อกลุ่มที่พวกเขาร่วมก่อตั้งกันมา เพื่อให้คนได้ลองอ่านชื่อชุมชนของพวกเธอด้วยสำเนียงคนระยองแท้ กันต์และกีร์คือ 2 พี่น้องที่เติบโตมากับชุมชนนี้ โดยมีคุณแม่ชื่อ สั้น หรือคนแถวนี้เรียกว่า เจ๊สั้น เป็นรองประธานชุมชน ทำให้เธอได้เข้ามาคลุกคลีกับชุมชนตั้งแต่เด็กจนโต
ท่ามกลางอากาศเดือด ๆ กว่า 40 องศาเซลเซียส แต่ลูกทัวร์ก็ไม่หวั่น พากันเดินตามเสียงบรรยายของ 2 พี่น้องที่คอยเล่าระหว่างทาง ตั้งแต่โบสถ์นักบุญเปาโลกลับใจ หรือเรียกว่าโบสถ์ญวน เป็นสถานที่ที่ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของชุมชนอย่างชัดเจน ผ่านทางเข้าโบสถ์ที่แต่ก่อนทางเข้าหลักอยู่ด้านหลังโบสถ์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นถนนเส้นแรกของชุมชน แต่เมื่อเกิดถนนเลียบหาดเส้นใหม่ ทางเข้าหลักจึงไปอยู่ฝั่งหน้าหาดแทน

นอกจากนี้ เรายังได้เจอ ‘ขนำ’ เป็นเหมือนที่พักจอดเรือของชุมชนสำหรับการจอดเรือประมงพื้นบ้านที่สีสันเรียงราย เดินต่อไปก็จะเริ่มเข้าสู่ย่านโรงน้ำปลาเก่าแก่ โดยโรงน้ำปลาที่ยังดำเนินการอยู่ในชุมชนปากน้ำ 2 เหลือเพียงโรงน้ำปลาตั้งไถ่เชียง
เราหยุดยืนกันบริเวณหน้าโรงน้ำปลา ไกด์ชวนเราทำความรู้จักน้ำปลา 3 แบบของ 3 โรงงาน ได้แก่ ที่โรงน้ำปลาตั้งไถ่เชียง มีน้ำปลาตราชั่งฉลากทอง เป็นหัวน้ำปลาหมัก 2 ปี น้ำปลาตราชั่งฉลากเงิน เป็นหัวน้ำปลาหมัก 1 ปี และน้ำปลาตราแอปเปิลแดงที่เป็นหางน้ำปลา
ฟังแล้วทางทีมกลัวพวกเราไม่เห็นภาพ เลยหยิบเอาน้ำปลาแต่ละชนิดมาให้ลองดม ลองชิมกันไปเลย จึงได้เห็นความแตกต่างว่าหัวน้ำปลาหมัก 2 ปีจะมีความกลมกล่อม หอม ไม่เค็มเกินไป หัวน้ำปลาหมัก 1 ปีจะเริ่มมีกลิ่นแรงขึ้น ส่วนหางน้ำปลาถือว่ามีกลิ่นแรงสุด แถมยังเค็มสุดด้วย ไกด์อธิบายเพิ่มเติมว่าน้ำปลาแต่ละชนิดจะใช้กับเมนูอาหารที่แตกต่างกันไป การเลือกใช้น้ำปลาให้เหมาะกับประเภทอาหารจะช่วยให้เมนูเหล่านั้นอร่อยมากขึ้นได้


ที่เซอร์ไพรส์กว่านั้น คือระหว่างฟังน้อง ๆ เล่าบรรยาย มีคุณป้าท่านหนึ่งเป็นหนึ่งในทายาทเจ้าของโรงน้ำปลาตั้งไถ่เชียงโผล่หน้ามาทักทาย พร้อมชวนให้เราไปยืนหน้าบ้านของเธอซึ่งเป็นจุดที่เย็นกว่าและมีลมพัดผ่าน พร้อมทั้งแซวไกด์ทัวร์ของวันนี้ว่าทำการบ้านมาดี ข้อมูลถูกต้อง ทำเอาทีมงานปาดเหงื่อไปพร้อม ๆ กัน
คุณป้าเสริมข้อมูลน่าสนใจให้มากมาย และยังแจกน้ำปลาตราชั่งฉลากทองขวดเล็ก ๆ ให้เป็นที่ระลึก เรียกว่าเป็นโมเมนต์น่ารัก ๆ จากคนในชุมชนที่เราประทับใจไม่น้อย
หลังจากนั้นเราก็เดินกันต่อ ระหว่างทางได้เจอโรงน้ำปลาเก่าที่ปิดตัวไป แต่ยังคงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมที่สวยงาม จนคนร่วมทริปได้แต่ร้องตื่นเต้นไปตาม ๆ กัน แน่นอนว่าที่โรงน้ำปลาหลากหลายแห่งต้องหายไป ส่วนหนึ่งมาจากกฎหมาย IUU ที่ต้องการอนุรักษ์ท้องทะเล แต่กลับหลงลืมวิถีชีวิตคนในท้องถิ่น เพราะกฎหมายนี้ออกมาเพื่อไม่ให้ใช้อวนตาข่ายขนาดเล็กซึ่งอาจเก็บเอาลูกปลามาด้วย นับเป็นเรื่องดีที่จะได้ช่วยดูแลและชุมชนก็เข้าใจ แต่ในทางเดียวกัน ปลากะตักซึ่งใช้ทำน้ำปลาก็มีขนาดเล็กเทียบเท่าลูกปลาแม้จะโตเต็มวัย ชาวประมงจึงจับปลาเหล่านี้มาทำน้ำปลาไม่ได้ อาชีพนี้จึงค่อย ๆ หายไป เราเดินกันต่อมาถึงคานเรืออิศรา เป็นอู่ต่อเรือของคนในชุมชน พวกเขายกเรือจากน้ำเพื่อมาซ่อม หรือใครอยากได้เรือประมงก็จ้างต่อเรือได้ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านบาท ที่สำคัญ ที่นี่ยังมีคนเก่าแก่ที่เป็นตำนานชื่อ ลุงเถาะ ซึ่งเป็นคนที่เขียนชื่อเรือทุกลำด้วยฟอนต์โบราณอันเป็นเอกลักษณ์ของเรือประมงพื้นบ้าน

เมื่อเดินกันจนเหนื่อยก็ถึงเวลาอาหาร เรามาอยู่กันที่ขนำของเจ๊สั้นที่เตรียมอาหารฟูลคอร์สไว้รับรอง มีทั้งหมึกต้มน้ำดำ ของขึ้นชื่อของระยองที่ห้ามพลาด หมึกผัดกระเทียม ปลาต้มหวาน น้ำพริกกะปิกับผักสด รวมไปถึงของทานเล่นอย่างม่ะมวง กะปิน้ำปลาหวาน และหมึกกะเทย
เมนูเหล่านี้มีที่มา เจ๊สั้นเล่าว่าที่นี่มีอาชีพจับหมึกเป็นส่วนใหญ่ หมึกจึงเป็นของขึ้นชื่อของชุมชน นอกจากนี้ยังมีกะปิ ซึ่งที่นี่เคยมีสัตว์น้ำเล็ก ๆ อย่าง ‘เคย’ อยู่ชุกชุม แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ภาวะโลกร้อนต่าง ๆ เคยจึงก็ค่อย ๆ หายไปด้วย ในตอนนี้เหลือเพียง ป้าฮ้วน ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนที่ยังทำกะปิจากเคยเพียงรายเดียว นั่นทำให้น้ำพริกกะปิและกะปิน้ำปลาหวานในวันนี้พิเศษขึ้นไปอีก
นั่งท้องตึงก็ถึงเวลาล่ำรา เพราะนี่คือหมุดหมายสุดท้ายของทริปที่ปิดจบวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ทริป ลอง ล่อง แล เป็นทริปท่องเที่ยวที่ทำให้เรามองเห็นการเรียนรู้มากมายที่ซ่อนอยู่ระหว่างการเดินทาง และเห็นว่าทุกการเดินทางคือประสบการณ์ที่ไม่ควรจำกัดอยู่แค่การไปให้ถึงแลนด์มาร์ก แต่คือการมองหาความแรร์ของพื้นที่ที่มีความเฉพาะตัวและเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ใครสนใจทริป ลอง ล่อง แล หรืออยากเที่ยวระยองแบบแรร์ ๆ ทักไปที่ Facebook : Rare Rayong ได้เลย
