90% ของปลาทูที่วางขายในบ้านเราทุกวันนี้ล้วนนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น เยเมน
600,000,000 ลิตร คือปริมาณน้ำมันต่อปีที่ภาครัฐอุดหนุนให้ประมงพาณิชย์ (AKA รวมเรืออวนลากที่ทำลายล้างทรัพยากร) โดยชาวประมงพื้นบ้านไม่เคยได้เงินสักบาท
0 ชนิด คือจำนวนชนิดสัตว์น้ำของไทยที่กฎหมายมีข้อกำหนด ‘ขนาดขั้นต่ำ’ ที่อนุญาตให้จับได้
กว่า 50% ของสัตว์น้ำที่จับได้จากเรืออวนลากคู่ไม่ได้นำมาให้คนกิน แต่ถูกนำไปป่นทำอาหารสัตว์ และ 80% ในจำนวนนั้นคือสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อน
150,000 ตัน คือปลาป่นที่ไทยส่งออกต่างประเทศ ด้วยต้นทุนความสูญเสียด้านทรัพยากรของบ้านเรา
ทั้งหมดนี้คือบางส่วนของข้อมูลสุดช็อกที่เราได้ฟังจาก วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี
เขาคือนายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ซึ่งเป็นองค์กรที่ผลักดันเรื่องการประมงยั่งยืนมาตลอดหลายสิบปี ทั้งการทำงานกับชุมชน การผลักดันกฎหมาย การให้ความรู้สาธารณะ ไปจนถึงประสานกับภาคเอกชนเพื่อหาตลาดให้ผลผลิตประมงยั่งยืน

แน่นอนว่างานด้านอนุรักษ์ไม่เคยง่าย และปัญหามากมายก็ดูยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนคนหนึ่งจะแก้ไข
แต่หากเราย้อนกลับไปดูในอดีตตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่าความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีหลายอย่างเกิดขึ้นจากการผลักดันของคนธรรมดาทั้งนั้น แม้ว่าจะต้องใช้เวลาและเต็มไปด้วยความยากเย็นแสนเข็ญก็ตาม
และต่อจากนี้คือประสบการณ์ของวิโชคศักดิ์ในฐานะตัวแทนสมาคมรักษ์ทะเลไทย ผู้อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ซึ่งเราทุกคนมีส่วนร่วมได้
ไม่ใช่เพื่อใคร แต่ก็เพื่อความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ และทรัพยากรของพวกเราเอง

แรงบันดาลใจใต้หลังคามุงจาก
จากลูกชาวสวนในจังหวัดสตูล วิโชคศักดิ์เริ่มสนใจงานอนุรักษ์ทะเลและการทำงานกับชุมชนจากการออกค่ายสมัยมหาวิทยาลัย ซึ่งครั้งหนึ่งเขามีโอกาสลงพื้นที่ไปรู้จักกับชุมชนชาวประมงจังหวัดตรัง
“ตอนนั้นเราได้ไปเจอชาวประมงครอบครัวหนึ่ง ภายนอกดูยากจนมาก ตามสูตร ‘หลังคามุงจาก ฟากไม้ไผ่ บันไดสามขั้น’ เป๊ะเลย แต่พอเราได้ฟังเขาพูดแล้ว เราประทับใจวิธีคิดเขามาก นี่ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่เขามีความคิดที่ก้าวหน้า ผูกโยงภูมิปัญญากับการอนุรักษ์ทรัพยากร สื่อสารได้อย่างมีพลัง แถมพูดเรื่องกฎหมายได้เป็นฉาก ๆ”
ปัญหาทางกฎหมายที่ชาวประมงครอบครัวนั้นพูดถึงก็คือเรื่องการประกาศเขตอุทยานฯ ทับที่ชาวบ้านซึ่งอยู่มาก่อน และพวกเขาพยายามต่อสู้เพื่อให้อยู่ในที่เดิมได้
“เขาไม่ได้ต่อต้านการมีอุทยานฯ แต่เขาแค่เรียกร้องให้เขาได้มีสิทธิ์อยู่ที่นั่นด้วย แล้วเราก็ได้เห็นว่าพวกเขาคือคนที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากร ช่วยกันดูแลหญ้าทะเลและพะยูน คอยไล่เรืออวนรุนที่เข้ามาในพื้นที่ แล้วไม่ใช่แค่หมู่บ้านนี้ที่เดียว แต่รวมตัวกันหลายหมู่บ้านเลย เราก็ประทับใจมาก เพราะบ้านเราไม่มีบรรยากาศแบบนั้น เผลอ ๆ หมู่บ้านนี้จนกว่าเราอีก แต่เขาทำได้”

ฉากหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของวิโชคศักดิ์คือวันที่ชาวบ้านพาพวกเขาไปดูพะยูน โดยใช้มือตบน้ำ แล้วเรียก ‘ไอ้โทน ๆ’ สักพักก็มีพะยูนตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมา พวกเขาคุ้นเคยกับพะยูนขนาดนั้น ในวันที่คนไทยส่วนใหญ่ยังแทบไม่รู้จักพะยูนด้วยซ้ำ
“ส่วนในป่าเขาก็มีโครงการช่วยลิง เพราะตรงนั้นถนนตัดผ่านป่า ลิงข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อกินน้ำไม่ได้ หลายตัวถูกรถชนตาย เขาเลยชวนนักศึกษาขุดบ่อน้ำเล็ก ๆ อีกฝั่งให้ลิง แล้วก็ทำสะพานลิงเชื่อมระหว่างป่า 2 ซีก”
และนั่นคือครั้งแรกที่เขาได้เห็นพลังของชุมชนในการดูแลทรัพยากร จากความประทับใจนั้น เมื่อเรียนจบ เขาจึงพยายามหางานในสายนี้ จนในที่สุดก็ได้งานแรกเป็นเจ้าหน้าที่ ‘โครงการจัดการทรัพยากรชายฝั่งภาคใต้’ ซึ่งก็คือโครงการที่เป็นจุดตั้งต้นของสมาคมรักษ์ทะเลไทยในปัจจุบัน

“โครงการยุคแรกก่อน พ.ศ. 2540 จะเป็นงานเชิงพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนชายฝั่ง เพราะสมัยนั้นชุมชนชายฝั่งคือกลุ่มคนที่จนที่สุดของภาคใต้ประเทศไทย ตลาดอาหารทะเลยังไม่กว้างอย่างทุกวันนี้ ถ้าพ่อแม่รักลูกคนไหนน้อยก็จะยกที่ดินริมทะเลให้ โครงการเราก็เข้าไปช่วยเรื่องสาธารณสุข เรื่องความเป็นอยู่ เช่น ทำธนาคารข้าวสารให้พวกเขาซื้อข้าวสารได้ถูกลง มีการตั้งกลุ่มริดสีดวงเพราะคนเป็นริดสีดวงกันเยอะมาก บ้างก็ช่วยเรื่องการศึกษา จนกระทั่งประมาณ พ.ศ. 2540 ก็เริ่มมีปัญหาใหม่เข้ามา นั่นคือเป็นยุคสัมปทานป่า นายทุนรุกป่าชายเลน อวนรุนอวนลากเพิ่มขึ้น”

ปกป้องป่า ปกป้องทะเล
“ยุคนี้เราเริ่มทำงานด้านการรวมกลุ่มชาวบ้าน สร้างเครือข่ายอนุรักษ์ในพื้นที่ ทำเรื่องป่าชายเลนชุมชน ตอนนั้นยังไม่มีกฎหมายรองรับเรื่องนี้เลยนะ เราก็เข้าชื่อกัน 50,000 รายชื่อ เพื่อเสนอให้มี พ.ร.บ. ป่าชุมชน ซึ่งต้องใช้ทั้งสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ยุ่งยากมาก”
นอกจากผลักดันกฎหมายแล้ว อีกด้านหนึ่งคือทำงานเชิงความคิดกับชุมชนในเรื่องการอนุรักษ์ การทำประมงยั่งยืน เช่น รณรงค์ให้ชาวบ้านรู้จักข้อกฎหมายที่ว่า ห้ามอวนรุนอวนลากเข้าใกล้ชายฝั่งเกิน 3,000 เมตร จนตัวเลข ‘3,000 เมตร’ เป็นที่คุ้นเคยในแทบทุกชุมชนชายฝั่ง
หนึ่งในตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดคือที่เกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า เกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องการอนุรักษ์ในวันนี้ เพียงไม่กี่สิบปีก่อนยังเต็มไปด้วยคนทำอวนรุนทั่วเกาะ
สมาคมรักษ์ทะเลไทยในวันนั้นจึงร่วมกับสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านภาคใต้ ลงพื้นที่เพื่อสร้างความตระหนักให้ชาวบ้าน แต่ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยอุปสรรค เช่น ในการจัดเวทีบางครั้งมีกลุ่มคนทำอวนรุนมาปิดล้อมพื้นที่ หรือวันดีคืนดีเรือลาดตระเวนของกลุ่มก็ถูกลากไปเผา แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ทำให้พวกเขายอมแพ้
“เราก็ทำงานของเราต่อไป ด้านหนึ่งคือสร้างความตระหนักเพื่อให้พวกเขาเปลี่ยนมาจากข้างใน อีกด้านหนึ่งคือประสานหน่วยงานให้เข้ามากำกับดูแล ขณะที่การสร้างกระแสจากภายนอกก็ต้องทำ เช่น เชิญนักข่าวมาลงพื้นที่”

มาถึงวันนี้ เกาะยาวน้อยไม่มีอวนรุนเหลืออยู่เลย และคนทำอวนรุนในยุคนั้นหลายคนก็กลายมาเป็นแกนนำด้านการอนุรักษ์ในวันนี้
ภาพการเปลี่ยนแปลงในลักษณะแบบนี้ยังเกิดขึ้นในอีกหลายพื้นที่ อย่างเช่นในปัจจุบัน พวกเขากำลังทำงานกับชุมชนรอบทะเลสาบสงขลาเพื่อผลักดันให้เกิดพื้นที่อนุรักษ์หรือเขตห้ามจับสัตว์น้ำที่ดูแลโดยชุมชนอย่างน้อย 10% ของพื้นที่
“การสร้างเครือข่ายอนุรักษ์ที่เข้มแข็งให้เกิดขึ้นในชุมชนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป การทำงานกับชุมชนต้องมีขั้นตอน นั่นคือปีแรกเราต้องทำความรู้จักบริบทของชุมชนก่อน โดยเริ่มจากการทำแผนที่เดินดิน ซึ่งก็คือเดินสำรวจว่าหมู่บ้านนี้มีกี่ครัวเรือน ใครอยู่ตรงไหน ใครเป็นญาติใคร โครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม การเมืองเป็นยังไง จากนั้นก็วิเคราะห์ปัญหาร่วมกัน สร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจ แล้วพอทำงานด้วยกันสักพัก เราจะเริ่มเห็นแววคนเป็นแกนนำ คนแบบนี้มีอยู่ทุกที่ เพียงแต่เราจะหาเจอไหม”
มาจนถึงต้น พ.ศ. 2550 พวกเขาได้ร่วมกับสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยในการร่างกฎหมายประมงเสนอเข้าสู่สภาฯ รวมถึงเสนอ พ.ร.บ. ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
“สมัยก่อนกฎหมายไทยไม่ยอมรับชุมชนชายฝั่ง ไม่ยอมรับว่าพวกเขาจะมีความสามารถในการปกป้องทรัพยากรได้ ในกฎหมาย 2 ฉบับเราก็ผลักดันเรื่องนี้ จนทุกวันนี้ชุมชนชายฝั่งและชุมชนประมงท้องถิ่นจดทะเบียนตามกฎหมายได้ และมีสิทธิ์ในการดูแลทรัพยากรในพื้นที่ อย่างวันนี้ผู้นำประมงพื้นบ้านก็คือหนึ่งในกรรมาธิการร่างกฎหมาย ถ้าคุณได้คุยกับเขาก็จะตะลึงว่านี่หรือชาวประมง เขาคุยกฎหมายได้อย่างชัดเจน นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น”

ยาขมของชาวประมง
“แม้ว่าชาวประมงพื้นบ้านจะมีภูมิปัญญาการจับปลาที่เก่งมาก หรือจัดการด้านการอนุรักษ์ได้ดีมาก แต่ส่วนใหญ่มักตกม้าตายในเรื่องการตลาด ชุมชนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการเป็นผู้ประกอบการ จัดการต้นทุนไม่เป็น การทำงานยุคต่อมาของเราเลยเข้ามาช่วยเรื่องนี้ เช่น ตั้งวิสาหกิจชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน”
หนึ่งในผลงานที่เป็นรูปธรรมของพวกเขาก็คือร้าน ‘คนจับปลา Fisherfolk’ ที่รับอาหารทะเลจากชาวประมงพื้นบ้านมาขายต่อให้ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งอาหารทะเลที่จะวางขายในร้านนี้ได้ต้องผ่านเงื่อนไข 4 ข้อ นั่นคือหนึ่ง มาจากการทำประมงที่ยั่งยืน สอง ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไร้สารเคมี สาม มีความรับผิดชอบทางสังคม ไม่กดขี่แรงงาน และสี่ ชาวประมงเจ้าของผลผลิตมีส่วนร่วมในงานอนุรักษ์ของชุมชน ซึ่งหากมีครบทั้ง 4 ข้อ ก็นำผลผลิตมาขายให้ร้านนี้ด้วยราคารับซื้อที่สูงกว่าแพปลาทั่วไป 10 – 20% ได้

“เรามีหลักการว่า คนทำดีต้องได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า การอนุรักษ์ที่ดีต้องกินได้ ไม่ใช่ว่าคนที่ทำประมงยั่งยืนอดตายไปทีละคน เพราะที่ผ่านมาเราเคยเจอปัญหาว่าผู้นำชุมชนที่ทำเรื่องอนุรักษ์ไปต่อไม่ไหว เพราะอวนรุนก็ต้องไล่ ปลาก็ต้องจับ แล้วพอผลผลิตได้ไม่เท่าพวกที่ทำแบบทำลายล้าง กลับบ้านมาเมียด่าอีก เราก็นำบทเรียนนี้มาปรับปรุง หนึ่งในนั้นคือช่วยหาตลาดให้ผลผลิตประมงยั่งยืนขายได้ เราก็เข้าไปคุยกับเอกชน ห้างร้านต่าง ๆ”
และจุดนี้เองคือสิ่งที่ผู้บริโภคอย่างเราและผู้ประกอบการหลายแห่งมีส่วนร่วมได้ ง่ายที่สุดคือการเลือกซื้ออาหารทะเลที่มาจากการประมงยั่งยืน ซึ่งทุกวันนี้หาง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก หรือถ้าเป็นห้างร้านของเอกชนก็เปิดพื้นที่ให้ผลผลิตเหล่านี้ได้มาวางขาย หรือถ้าใครเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร ก็อาจเลือกผลิตภัณฑ์แบบนี้ในการประกอบอาหารของร้าน ซึ่งก็ใช้เป็นจุดขายของร้านได้

ที่ผ่านมาพวกเขาได้ร่วมกับสมาคมสมาพันธ์ประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ในการพัฒนามาตรฐานอาหารทะเลยั่งยืนที่เรียกว่า ‘Blue Brand Standard’ และต่อมาได้นำไปเสนอต่อกรมประมง จนทุกวันนี้กลายมาเป็น ‘มาตรฐานการทําการประมงพื้นบ้านอย่างยั่งยืน’ พัฒนาเป็น ‘ตราสัญลักษณ์ประมงธงเขียว’ ที่กรมประมงใช้ในการส่งเสริมมาตรฐานและการตลาดให้ชาวประมงจนถึงวันนี้ และเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อได้
“ส่วนบริษัทอื่น ๆ ก็อาจช่วยผ่านโครงการ CSR เช่น ช่วยฝึกชุมชนในด้านการตลาด ในด้านการเป็นผู้ประกอบการขนาดย่อม หรือช่วยเรื่องทุนในการดูแลทรัพยากร เช่น การตั้งเขตอนุรักษ์โดยชุมชน เรือตรวจชุมชน แต่ข้อควรระวังคือต้องไม่เข้าไปครอบงำหรือผูกขาด และต้องไม่ใช่การคิดเองเออเองว่าสิ่งที่เราคิดถูกที่สุด ซึ่งตรงนี้อาจใช้วิธีจับมือกับสมาคมฯ ให้ช่วยเป็นที่ปรึกษาได้”
จากสภาฯ สู่มหาสมุทร
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญช่วงที่ผ่านมาที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง คือการที่สภาฯ มีมติเอกฉันท์ให้แก้กฎหมายประมงฉบับ พ.ศ. 2558
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดของการแก้ไขครั้งนี้ คือเนื้อหาในร่างใหม่ที่ถูกเสนอเข้าไปทั้ง 8 ฉบับ ส่วนใหญ่คือการผ่อนปรนมาตรฐานหลายอย่างให้อ่อนลง ไม่ว่าจะเป็นลดทอนกลไกคุ้มครองแรงงาน ผ่อนคลายกฎคุ้มครองสัตว์น้ำหายาก ลดทอนการควบคุมเครื่องมือประมงทำลายล้าง เช่น ถอดอวนลากออกจากเครื่องมือประมงต้องห้าม ซึ่งในมุมมองของวิโชคศักดิ์ นี่คือการพาประมงไทยถอยหลังไปยังยุคทำลายล้างก่อนที่เราจะได้ใบเหลือง IUU จากสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ตาม ความหวังก็ยังพอมีตรงที่ว่า ก่อนที่ร่างกฎหมายใหม่จะถูกบังคับใช้ ร่างทั้ง 8 จะต้องผ่านเข้าสู่คณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณารวม 8 ร่างให้เป็นร่างเดียว ซึ่งวิโชคศักดิ์และตัวแทนสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านฯ ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งในคณะกรรมาธิการนี้ด้วย ซึ่งพวกเขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจะยับยั้งการถอยหลังลงคลองนั้น
“สิ่งที่ผมพยายามเสนอในกฎหมายนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เราควรรักษามาตรฐานฉบับ พ.ศ. 2558 ไว้ กับส่วนที่เราพยายามจะผลักดันให้ไปข้างหน้า”
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือเรื่องการจับสัตว์น้ำวัยอ่อน ซึ่งมาตรา 57 ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดนำสัตว์น้ำที่เล็กกว่ารัฐมนตรีประกาศกำหนดขึ้นเรือประมง แต่ที่ผ่านมาตลอดทุกยุคทุกสมัย รัฐมนตรีก็ไม่เคยประกาศรายชื่อสัตว์น้ำหรือขนาดสัตว์น้ำวัยอ่อนที่ห้ามทำการประมงเลย
แม้ว่า พ.ศ. 2565 เขาจะรวบรวมชาวประมงพื้นบ้านล่องเรือจากปัตตานีขึ้นมาถึงกรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือต่อสภาฯ ในแคมเปญ #ทวงคืนน้ำพริกปลาทู เพื่อเรียกร้องในประเด็นนี้ แต่สุดท้ายคำรับปากว่า ‘เห็นความสำคัญ’ ของภาครัฐก็เป็นเพียงลมปาก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น
“ทุกวันนี้ปลาทูไทยแทบไม่เหลือแล้ว จากที่เราเคยจับได้ปีละแสนกว่าตัน เหลือแค่ 2 หมื่นตัน เพราะลูกปลาถูกจับไปหมด ไม่ทันได้โตจนวางไข่ งานวิจัยเรื่องปลาทูคู่ไทย ของจุฬาฯ และเครือข่าย บอกว่า 90% ของปลาทูในบ้านเราทุกวันนี้นำเข้าจากต่างประเทศ”
ส่วนผลการประชุมกรรมาธิการล่าสุดในประเด็นนี้ วิโชคศักดิ์เล่าว่า ถึงขั้นมีคนเสนอให้ตัดมาตรา 57 ออกไปเลย จนสุดท้ายโหวตกันและมีมติให้คงไว้ แต่ก็ต้องรอให้รัฐมนตรีเป็นคนประกาศเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือต้องผ่านการอนุมัติของกรรมการนโยบายอีกขั้นด้วย


เราฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ อย่างไรก็ตาม แม้ประเด็นนี้จะไม่เป็นไปดังหวังนัก แต่ก็ยังมีอีกหลายมาตราที่เขาพยายามผลักดัน เช่น การผลักดันให้อวนลากและอวนรุนเป็นเครื่องมือประมงต้องห้ามในน่านน้ำไทยทั้งหมด ไม่จำกัดเฉพาะ 3,000 เมตรจากชายฝั่งเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งเขายกสถิติต่าง ๆ มายืนยันในที่ประชุมจนไม่มีใครเถียงออก และมติที่ประชุมคือให้ตั้งคณะทำงานเพื่อร่วมกันยกร่างมาตรานี้ขึ้นใหม่โดยเฉพาะ
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของเงินอุดหนุนการประมงที่ควรจะไปถึงประมงพื้นบ้านมากขึ้น แทนที่มีแต่ประมงพาณิชย์ได้ไป หรือเสนอให้เปลี่ยนโควตาการจับสัตว์น้ำจากที่กำหนดโดย ‘จำนวนวัน’ เป็น ‘ปริมาณการจับ’ ไปจนถึงการเสนอให้ยกเลิกส่งออกปลาป่น เป็นต้น
“ถ้าไปดูตัวเลขจะเห็นเลยว่าผลผลิตทางการประมงของเราลดลง สวนทางกับปลาเป็ดที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างอวนลากคู่ที่คิดเป็นผลผลิตเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศหรือประมาณเกือบ ๆ 500,000 ตัน กลับพบว่าผลจับเป็นกลุ่มปลาเป็ดกว่าครึ่ง”
คำว่า ‘ปลาเป็ด’ ที่เขากล่าวถึง คือปลาที่ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ หรือพูดง่าย ๆ ว่าคนไม่กิน ซึ่งจะถูกนำไปทำปลาป่นเป็นอาหารสัตว์
“แล้วในบรรดาปลาเป็ดพวกนี้ เป็นปลาเป็ดที่แท้จริงหรือชนิดที่คนไม่กินน้อยมาก ที่เหลือ 80% คือสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อน”
พูดง่าย ๆ ว่าลูกปลาทู ลูกปลาเก๋า ลูกปลากะพง ลูกปูม้า ถูกจับตั้งแต่วัยเด็กไปทำปลาป่นให้หมูให้ไก่กิน ในขณะที่ส่วนที่เหลือให้คนกินก็มีน้อยจนราคาแพงลิ่ว
“ความฝันสูงสุดของสมาคมฯ คือคนไทยได้กินอาหารทะเลดี ๆ ในราคาที่เข้าถึงได้ แต่ปัจจุบันมันเป็นไปไม่ได้ เพราะวิธีจับมีปัญหา ปลาเลยไปไม่ถึงคนจน แม้แต่ชนชั้นกลางก็กินทุกมื้อไม่ไหว”
เขาบอกว่า หากเราเปลี่ยนวิธีการทำประมง เลิกจับสัตว์น้ำวัยอ่อน เลิกใช้เครื่องมือประมงทำลายล้างที่จับสัตว์น้ำไม่เลือก เราก็จะมีทรัพยากรเพียงพอ ซึ่งทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นประมงพื้นบ้าน ประมงพาณิชย์ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ไปจนถึงผู้บริโภค
“การที่อวนลากคู่จับได้แต่ปลาเป็ด เขาเองก็ขาดทุน ถ้าคุณรู้จักทะเล คุณจะรู้ว่าสัตว์น้ำไม่เหมือนสัตว์บก แค่รอปีเดียวก็โตเต็มวัยพร้อมสืบพันธุ์แล้ว คำว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวานยังใช้ได้เสมอ ถ้าเรามีทรัพยากรสมบูรณ์ แม้แต่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ก็ยังมีปลาเต็มวัยชนิดที่คนไม่กินไปทำปลาป่นได้”
การเปลี่ยนแปลงเพื่อการอนุรักษ์นั้นยากเสมอ แต่ถ้าหากคนในสังคมให้ความสำคัญกับมันมากพอ ช่วยกันส่งเสียงให้ดังพอ วันหนึ่งเสียงจากผู้บริโภคก็อาจดังไปจนถึงสภาฯ และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เพราะถึงที่สุดแล้ว นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของชาวประมง แต่คือเรื่องทรัพยากรที่ผูกโยงกับปากท้องและเศรษฐกิจของเราทุกคน
“พอเราส่งออกปลาป่นเยอะ เลยกลายเป็นการเพิ่มราคาให้ปลาป่นในประเทศแพงขึ้น อาหารสัตว์ก็แพงขึ้น ผู้บริโภคก็ต้องซื้อหมูซื้อไก่แพงขึ้น ขณะที่ทรัพยากรทางทะเลเหลือน้อยลง อาหารทะเลที่เรากินก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ผมเคยสุ่มซื้ออาหารทะเลในกรุงเทพฯ ตั้งแต่แบกะดินไปจนถึงในห้างมาตรวจ ในสินค้าอาหารทะเลตัวอย่างที่ซื้อมา เราพบฟอร์มาลีนทุกตัวอย่าง หรือ 100% ของสินค้าที่สุ่มตรวจ”
วิโชคศักดิ์ยกตัวอย่างที่ยืนยันว่าเรื่องของทะเลคือเรื่องของเราทุกคน

อัปเดตเรื่องราวและสนับสนุนสมาคมรักษ์ทะเลไทยได้ที่
Facebook : สมาคมรักษ์ทะเลไทย