คุณพราว-พราวพุธ ลิปตพัลลภ คือนักธุรกิจสาวผู้บริหารที่ดูแลการพัฒนาพื้นที่ของบริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน)

คุณพราวคือผู้บริหารหญิงแกร่ง ผู้อยู่เบื้องหลังการปลุกปั้นพัฒนาโครงการชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของหัวหิน อย่างสวนน้ำ วานา นาวา ไปจนถึงโครงการ InterContinental Residences Hua Hin ซึ่งนับว่าเป็นโครงการแห่งแรกในไทยที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็น Branded Residence สำหรับเครือโรงแรมระดับโลกอย่าง InterContinental Hotel Group

InterContinental Residences Hua Hin เกิดขึ้นในวันที่ยังไม่มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์เจ้าไหนทำตลาด Chain Hotel สวนน้ำ วานา นาวา ก็เช่นกัน ตอกย้ำว่าผู้บริหารคนนี้เลือกทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน

ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว หลังเรียนจบจาก University of Oxford และ London Business School เธอเริ่มงานในบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง McKinsey & Company ก่อนที่จะกลับเข้ามาช่วยครอบครัวขยายธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์

นอกจากการปลุกปั้นสวนน้ำ วานา นาวา ขึ้นมา เธอยังจับมือกับ คุณธงชัย บุศราพันธ์ เพื่อปลุกปั้นโครงการที่เป็นตำนานของวงการอสังหาฯ อย่าง Park 24 และเปิดตัว บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ในเวลาถัดมา

หลายคนอาจมองว่าเธอเป็นผู้บริหารหญิงแกร่ง แต่ถ้าหากวัดกันที่ผลงานแล้ว เธอกลับสวมหมวกถึง 2 ใบ นั่นคือ ‘นักธุรกิจ’ และ ‘นักพัฒนา’ ผู้เปลี่ยนมุมมองของผู้คนและทั้งวงการต่อการใช้ชีวิตในย่านนั้น ๆ เลยทีเดียว

พราวพุธ ลิปตพัลลภ Proud Real Estate ที่ไม่ได้ขายแค่อสังหาฯ แต่พัฒนาพื้นที่ย่านนั้นไปตลอดกาล

อะไรทำให้คุณตัดสินใจทิ้งงานประจำเงินเดือนหลายแสนมาเริ่มธุรกิจของตัวเอง

มันเป็นอาชีพที่ทำงานหนักมาก ทำอาทิตย์ละ 90 กว่าชั่วโมง และต้องเดินทางเยอะ ยังจำได้เลยว่าทำงานอาทิตย์แรกกลับถึงบ้าน 5 ทุ่มครึ่ง ตี 1 ทุกวัน คุณพ่อคุณแม่โทรตามว่าลาออกเถอะ ทำไมต้องทำงานหนักขนาดนั้น แต่พราวว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ได้เรียนรู้เยอะทุกวันจากคนที่เก่งมาก พราวเลยทำต่อ งานของเราคือการให้คำแนะนำลูกค้า มีการทำ Pilot project บ้าง แต่ส่วนใหญ่ทางลูกค้าเป็นคนนำไปปฏิบัติเอง เราไม่เคยมีโอกาสได้รับผิดชอบไปถึง Net profit ของธุรกิจ พอมีโอกาสให้เลือกระหว่างการไปเรียนในด้านบริหารต่อ หรือกลับมาทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันตั้งแต่ต้นจนจบ เลยเลือกกลับมาทำธุรกิจของที่บ้าน

จากคนทำสู่ผู้บริหาร ชีวิตเปลี่ยนแค่ไหน

เราโชคดีที่ได้พบว่าสิ่งนี้คือแพสชันของเราจริง ๆ การเข้ามาทำอสังหาริมทรัพย์เป็นโอกาสที่ทำให้เราได้โตทั้งในแง่การงานและชีวิตส่วนตัวในหลาย ๆ ด้าน เช่น จากเดิมที่เราเป็นลูกน้องคนอื่น วันนี้เรากลายมาเป็นนายคนอื่นแล้ว ณ วันนั้นเงินเดือนหลักแสนก็จริง แต่ ณ วันนี้กำลังจะข้ามมาดูโปรเจกต์หลักร้อยล้านพันล้าน

จากเดิมที่เราเป็นแค่คนที่เอาข้อมูลมาวิเคราะห์และให้คำแนะนำ ณ วันนี้เราคือคนที่รับผิดชอบทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ การดำเนินงานในทุกภาคส่วนเป็นความรับผิดชอบของเราทั้งหมด

มันจึงทั้งตื่นเต้นและน่ากลัวในขณะเดียวกัน (ยิ้ม)

ความฝันในวัยเด็กของคุณคืออะไร

ด้วยความที่เป็นเด็กที่ชอบทุกอย่าง เคยอยากเป็นมาทุกอย่างตั้งแต่นักร้อง คุณหมอ คุณครู ซึ่ง ณ วันนี้มองกลับไป สิ่งที่อาจจะเพิ่งมารู้ตัวตอนได้มาทำอสังหาฯ จริง ๆ คืออยากทำอะไรที่มี Logical Thinking แต่ก็ยังมีพื้นที่สำหรับความคิดสร้างสรรค์ให้เราอยู่ 

คนส่วนใหญ่พอนึกถึงอสังหาฯ จะนึกถึงว่าเป็นเรื่องของอิฐ หิน ปูน ทราย เป็นเรื่องของงานก่อสร้าง เป็นเรื่องของฮาร์ดแวร์ แต่ว่าพอทำไปสักพักหนึ่ง ก็รู้สึกว่ามี Soft Element เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จริง ๆ เหมือนเป็นงานศิลปะ สมมติเราซื้อที่ดินเปล่าหนึ่งผืน ก่อนคิดว่าจะเนรมิตอะไรขึ้นมาบนที่ดินผืนนั้น เราไม่ได้มองแค่ว่าอยากให้ออกมาเป็นตึกที่สวยงาม แต่คิดลึกซึ้งไปถึงการใช้ชีวิตในย่านนั้น หน้าตาเป็นมาอย่างไร คนที่มาอยู่ในย่านนี้จะมีการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง ความต้องการของคนที่จะมาอยู่ตรงนี้เป็นอย่างไร เช่น คนที่มาอยู่ย่านอารีย์คือคนที่อยากอยู่กลางเมืองแต่ยังชอบความสงบ คนที่ไปอยู่ทองหล่อคือชอบแสงสีเสียง ชอบเที่ยวกลางคืน แต่ละโซนมีคาแรกเตอร์ชัดเจน หรืออย่างหัวหินกับพัทยา ทะเลเหมือนกัน แต่คาแรกเตอร์คือคนละอย่าง

ดังนั้น หนึ่ง เราต้องวิเคราะห์ทำเลนั้น ๆ ก่อน สอง เราต้องเข้าใจลึกซึ้งจริง ๆ ว่าคนที่จะมาอยู่เป็นอย่างไร ชีวิตที่เราจะสร้างให้กับเขาเมื่อเขามาอยู่ที่นี่ เราต้องจินตนาการถึงในทุก ๆ มุมมอง ทุกมิติของชีวิตเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วค่อยตีกลับออกมาจากความต้องการของเขา หรือสิ่งที่เราคิดว่าเขาจะอยากได้ 

พราวพุธ ลิปตพัลลภ Proud Real Estate ที่ไม่ได้ขายแค่อสังหาฯ แต่พัฒนาพื้นที่ย่านนั้นไปตลอดกาล

โครงการแรกที่ลงมือเองคืออะไร

ตอนที่ตัดสินใจออกจากงานประจำ โปรเจกต์ใหญ่อันแรกที่เราดูคือโครงการบลูพอร์ต เป็นการร่วมทุนระหว่างทางฝั่งครอบครัวเรากับเดอะมอลล์กรุ๊ป เป็นที่ดินฝั่งตรงข้ามโรงแรม โครงการ InterContinental Hua Hin Resort มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 5,500 ล้านบาท ข้างโครงการบลูพอร์ตมีโรงแรม InterContinental Hua Hin Resort ส่วนต่อขยาย มูลค่าน่าจะประมาณสัก 400 ล้าน ซึ่งถือว่าไม่เล็กแต่ก็ไม่ได้ใหญ่มากสำหรับโรงแรม

โครงการนั้นเรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่ทำให้ได้ทำงานใกล้ชิดกับ คุณศุภลักษณ์ อัมพุช ซึ่งเป็นผู้หญิงที่น่าชื่นชมมาก พอทำตรงนั้นเสร็จ เราก็เริ่มมีไอเดีย เรามองว่าหัวหินเป็นจุดหมายปลายทางที่คนไทยชอบ นักท่องเที่ยว 70 – 80% เป็นคนไทย ถ้าไปถามคนไทย อย่างไรก็หัวหิน ในขณะเดียวกัน ถ้าไปดูกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ มาถึงปุ๊บ คุณนึกถึงภูเก็ต พัทยา สมุย เราจึงเริ่มคิดขึ้นมาเลยว่า ทำไมหัวหินจะ International Destination เหมือนที่อื่นไม่ได้ ทั้งที่สำหรับคนไทยเอง หัวหินต้องเรียกว่าเป็น Luxury Destination แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่มชาวต่างชาติที่มากลับมองว่าหัวหินเป็นตลาดเกรดบี  

ณ วันนั้น โจทย์จึงมีอยู่ 2 อย่างคือ หนึ่ง ทำอย่างไรให้หัวหินกลายเป็น Luxury สอง มีอะไรที่เราเพิ่มเติมเข้าไปได้ เพื่อให้ความเป็นเมืองท่องเที่ยวของหัวหินสมบูรณ์ขึ้นไปอีก นอกเหนือจากห้างสรรพสินค้าแล้ว เลยเป็นที่มาของการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นสวนน้ำ วานา นาวา หัวหิน

ย้อนกลับไปตอนเริ่มโปรเจกต์เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว สวนน้ำในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นสวนน้ำลอยฟ้า เต็มที่ก็เก็บค่าเข้า 50 – 100 บาท บางทีซื้อของในห้างเข้าฟรี เราจำได้ว่าวันนั้นคุยกับทางธนาคารไทยพาณิชย์ บอกว่าอยากทำสวนน้ำ ขอกู้เงินหน่อย เขาก็ตอบว่า โอเค จะกู้เท่าไหร่ ตอนนั้นเราบอกไปประมาณ 1,200 ล้าน เขาอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วถามว่าค่าตั๋วเท่าไหร่ เราก็ตอบว่าจะเก็บค่าตั๋ว 1,000 บาท

เขาช็อกเลย เพราะไม่เคยมีสวนน้ำระดับโลกแบบนี้จริง ๆ แล้วก็คงไม่น่าจะมีใครกล้าทำ จริง ๆ ก็ไม่น่าจะมีใครกล้าให้เงินกู้ด้วย (หัวเราะ) เพราะจากเดิมที่เคยมีเขาคิดคุณคิด 100 บาท อยู่ดี ๆ คุณขอเก็บราคาตั๋วที่ 1,000 แต่วันนั้นจำได้เลย เปิดสวนน้ำวันแรก ถล่มทลาย ขายตั๋วไม่ทัน เว็บล่ม มีคนมาจากตั้งแต่ภูเก็ต เชียงใหม่ สวนน้ำเปิด 10 โมง บางคนมายืนรอกันตั้งแต่ 7 โมงเพื่อที่จะซื้อตั๋ว 

ณ วันนั้น ทำอย่างไรให้คนเชื่อมั่นในตัวเรา

อย่างแรกเลย ถามว่าทำไมกล้าทำถึงขนาดนั้น หนึ่ง เราต้องการทำให้หัวหินดีขึ้นกว่าเดิม เราต้องการให้หัวหินเป็น Well-known Destination จึงตีโจทย์ว่าต้องทำอะไรที่ยังไม่มีใครทำในหัวหิน เพราะถ้าทำเหมือนคนอื่น หัวหินมันก็เหมือนเดิม สอง การรีเสิร์ชสำคัญมาก ปีนั้นก่อนที่จะไปขอเงินกู้ธนาคาร เราน่าจะไปสวนน้ำประมาณเกือบ 20 ที่ ภายในประมาณ 3 ถึง 4 เดือน

  รวมไปถึงการรีเสิร์ชพาร์ตเนอร์ ต้องยอมรับว่าถ้าอยู่ดี ๆ ลุกขึ้นมาบอกว่าจะออกแบบเครื่องเล่นสไลเดอร์ขึ้นมาเอง เราคงไม่กล้าทำ เราไม่ใช่วิศวกร เราเลยใช้ซัพพลายเออร์ที่ดีที่สุดที่มี ถ้าเทียบเป็นรถยนต์ก็คือรถเบนซ์ของสไลเดอร์ ตอนที่ไปคุยกับธนาคาร มันเลยเป็นข้อมูลที่เราใช้หนุนหลัง สิ่งที่เราพูดเมืองไทยมีแค่ 100 บาทก็จริง แต่พอไปเทียบกับประเทศอื่นที่มีสวนน้ำในมูลค่าที่เทียบเคียงกัน ราคาตั๋วของประเทศอื่น ๆ เขาคิดกัน 2,000 ที่ดูไบมี 2,500 ด้วยซ้ำ ดังนั้น ที่เรากำลังจะคุยกันว่าค่าตั๋ว 1,000 กว่าบาท เรากำลังคิดถูกกว่าที่อื่น ในขณะที่ประเทศอื่นมีตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศน้อยกว่าไทยด้วยซ้ำ

เบื้องหลังของการพัฒนาที่ดินที่หัวหินมาเป็นโครงการ InterContinental Residences Hua Hin คืออะไร

ตอนนั้นบริษัทซื้อที่ดินไว้หนึ่งผืน ทุกคนบอกว่าคุณต้องทำเป็น Luxury Residence เพราะด้วยโลเคชันกลางเมืองติดทะเลผืนสุดท้ายของหัวหิน ถามว่าราคาเท่าไหร่ ทุกคนบอกว่าประมาณ 170,000 บาท/ตร.ม. เราบอกว่าเราไม่อยากทำ 170,000 บาท เพราะเราเชื่อจริง ๆ ว่าหัวหินจะกลายเป็น Luxury Residence อันหนึ่งของไทยได้ ถ้าไปดูกลุ่มคนกรุงเทพฯ ที่ไปซื้อบ้านที่หัวหิน นามสกุลทุกคนดัง ๆ ทั้งนั้น กับแค่ตารางเมตร  170,000 บาท เทียบกับในกรุงเทพฯ ซึ่งขายกันตารางเมตรละ 350,000 บาท พราวเชื่อว่าศักยภาพของหัวหินไปได้เยอะกว่านั้น

หลังจากนั้นเราก็คุยกันในทีมด้วยว่า จุดอ่อนของคอนโดที่หัวหินคือการซื้อเก็บ แล้วพอถึงเวลาจริง ๆ ไม่ได้เข้าไปอยู่ เวลาไปหัวหินก็ไปนอนโรงแรม เพราะขี้เกียจมานั่งทำความสะอาด กว่าจะทำความสะอาด ปัดฝุ่น ไปซื้อของ เปลี่ยนผ้าปูที่นอนอะไรต่าง ๆ ก็หมดเวลาแล้ว เลยเป็นจุดเริ่มต้นขึ้นมาว่า ถ้าเราเอาประสบการณ์การเข้าพักอาศัยในโรงแรมที่มีการบริการครบครัน ความสะดวกสบายทุกอย่าง มาผสมกับความเป็นส่วนตัวของคอนโด เกิดเป็นคอนเซ็ปต์ Branded Residence แห่งแรกของหัวหิน ร่วมกับ IHG พาร์ตเนอร์ที่ทำโรงแรมมาด้วยถึง 3 ที่

พราวพุธ ลิปตพัลลภ Proud Real Estate ที่ไม่ได้ขายแค่อสังหาฯ แต่พัฒนาพื้นที่ย่านนั้นไปตลอดกาล
พราวพุธ ลิปตพัลลภ Proud Real Estate ที่ไม่ได้ขายแค่อสังหาฯ แต่พัฒนาพื้นที่ย่านนั้นไปตลอดกาล

ในโครงการมีอุปสรรคอะไรบ้าง

เราเปิดตัวโครงการวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปี 2020 เตรียมงานกันตั้งแต่ธันวาคม ถึงเวลา 31 มกราคม เกิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เคสแรกในประเทศไทย ต้องเรียกว่าเศรษฐกิจประเทศไทยทั้งประเทศเกือบหยุดชะงักไปเฉย ๆ เราก็ไม่น่าจะขายได้ดี แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่โชคดีมากสำหรับเรา เพราะพอกรุงเทพฯ ล็อกดาวน์ คนไปอยู่หัวหินกันเยอะมาก 2 ปีที่เราเผชิญกับโควิดมา เรากวาดยอดขายไป 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ราคาเฉลี่ยก็ใช้คำว่าเกินเป้า ไม่ได้น้อยหน้าคอนโดในกรุงเทพฯ เลย 

อุปสรรคอาจจะเป็นเรื่องรายละเอียดของการก่อสร้างมากกว่า ในแคมป์ก็เจอเคสที่ติดอยู่แล้ว ณ วันนั้นยังไม่มีวัคซีน ยังไม่มียารักษา การก่อสร้างก็ชะงักไปบางช่วง แม้เขาอาจจะไม่ใช่พนักงานของเราโดยตรง แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่มาทำงานให้เรา จังหวะที่แคมป์คนงานติดโควิด เราจะดูแลเขาอย่างไรบ้าง โรงพยาบาลเตียงก็ไม่พอ แต่เราอยากดูแลทุกคนที่เข้ามาทำงานกับเรา ไม่ใช่แค่เฉพาะลูกค้าหรือพนักงาน แต่รวมไปถึงพาร์ตเนอร์ เราก็เลยสร้างโรงพยาบาลสนามขึ้นมาเฉพาะกิจ เพราะว่านอกเหนือจากผลกำไร เราอยากมีส่วนสร้างอิมแพคกับชีวิตคน

นักธุรกิจอสังหาฯ จะพัฒนาชีวิตคนได้อย่างไร

มี 2 อย่าง อย่างแรก เราไม่ได้มองว่าตัวเองขายบ้าน แต่ขายไลฟ์สไตล์ด้วย เราเป็นส่วนสำคัญในวิถีชีวิตของคนที่จะมาซื้อ ดังนั้น โจทย์คือมองว่าทำอย่างไรให้การใช้ชีวิตของคุณเป็นชีวิตที่มากกว่า มากกว่าในที่นี้คือทั้งคุณค่าที่เพิ่มขึ้น มีพื้นที่ให้คุณใช้บ้านได้เต็มที่ ทำในทุก ๆ สิ่งที่อยากทำ เราไม่ได้มองบ้านเป็นแค่ปัจจัย 4 แต่มองมากกว่านั้น 

สอง เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระยะยาว เราไม่ได้มองว่าเรากับลูกค้าจะมองหน้ากันแค่ตอนทำสัญญา ระหว่างผ่อน โอน แล้วก็จบ สิ่งที่เราทำอยู่คือการยืมเงินของลูกค้า ในที่นี้คือเมื่อลูกค้าซื้อบ้านหรือคอนโดก็ตาม อายุอย่างน้อยก็ต้องมี 10 20 หรือ 30 ปี หรือเผลอ ๆ อยู่ไปตลอดชีวิตของเขาเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น เขาจ่ายเงินให้เรามาก่อน แต่เขาใช้ของอีก 10 ปี 20 ปี ความรับผิดชอบรวมไปถึงคุณภาพตั้งแต่การออกแบบ ทำอย่างไรให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ ทำอย่างไรให้อยู่ไปแล้วไม่มีปัญหาต่าง ๆ 

หลายโครงการผ่านไป 5 ปี 10 ปี ส่วนกลางทรุดโทรมไปเยอะ มูลค่าจาก ณ วันที่เขาซื้อไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ลดลง ซึ่งบ้านหรือคอนโดก็ถือเป็นการลงทุน ความรับผิดชอบที่เรามีกับลูกค้าคือ อย่างน้อยเราต้องมั่นใจว่าทุกอย่างถูกต้อง ดูแลอย่างดี และเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับเขา ไม่ได้มองว่าเขาแฮปปี้เฉพาะวันโอน ณ วันที่เขาจะขายแล้วโอนให้คนอื่น เขาก็ควรจะแฮปปี้ด้วย

พราวพุธ ลิปตพัลลภ Proud Real Estate ที่ไม่ได้ขายแค่อสังหาฯ แต่พัฒนาพื้นที่ย่านนั้นไปตลอดกาล
พราวพุธ ลิปตพัลลภ Proud Real Estate ที่ไม่ได้ขายแค่อสังหาฯ แต่พัฒนาพื้นที่ย่านนั้นไปตลอดกาล

 Proud Real Estate ต่างจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อื่นอย่างไร

วันนี้โจทย์ที่เราพยายามตีให้แตกคือ จะสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของคนที่มาซื้ออย่างไร ถ้าไปดูจริง ๆ ทุกโครงการจะเคลมว่าโครงการนี้แตกต่างและดีกว่า แต่คำถามคือมันจะดีกว่าจริง ๆ ไหม ลูกค้าสัมผัสได้ไหมว่าดีกว่า ซึ่งเราคิดว่าบางอย่างเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น ในโครงการเวหาเอง คนไทยไม่ชอบแดด แต่ในขณะเดียวกันคนไทยก็บอกว่าอยากได้ระเบียง

ถ้าสมมติว่ามีระเบียงสักประมาณ 2 ตร.ม. สุดท้ายไม่ได้ใช้งาน เพราะถึงเวลาแค่ไปชะโงกหน้า ทำอะไรไม่ได้เลย ในขณะเดียวกันถ้าเป็นระเบียงใหญ่ก็เปลืองพื้นที่ คนไทยไม่ชอบอยู่แล้ว ยิ่งเป็น 10 ตร.ม. ถึงเวลาก็เป็นที่ให้นกมาทำรัง ที่เวหาเราก็เลยเป็นคอนเซ็ปต์ขึ้นมาว่า เราจะทำเป็น Flexible Corridor คือใส่ระเบียงเข้าไป 2 ชั้น ระเบียงปิดเป็นฟังก์ชันของห้องได้ ทำเป็นห้องกินข้าวซึ่งเปิดแอร์ได้ หรือว่าในเวลาที่คุณอยากเปิดรับลมทะเล ก็ใช้ตรงนี้เป็น Relaxation Area ได้เหมือนกัน มันเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราพยายามแสดงให้เห็นว่าเราเข้าใจ Pain Point ของผู้อยู่อาศัยจริง ๆ

คุณนิยามตัวเองว่าเป็นผู้บริหารแบบไหน

อยากเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น ที่ผ่านมาเราพยายามทำให้เกิดความแตกต่าง แต่สุดท้ายทุกคนในองค์กรต้องคิดเหมือนกัน อย่างที่บอก คำว่าดีที่สุด จริง ๆ เป็นแค่มาตรฐาน ณ วันนี้เราจะทำให้ดีกว่าสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในตลาดได้อย่างไร สมมติคุณทำวิธีเดิม ๆ มา 5 ปี 10 ปี ปลายทางก็จะเหมือนเดิม ไม่ได้เกิดผลอะไร เราจะ Influence คนได้ ก็ต้องลองทำอะไรที่แตกต่าง อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง แต่อย่างน้อยได้ลองแล้ว ได้เรียนรู้จากมันแล้ว

พราวพุธ ลิปตพัลลภ Proud Real Estate ที่ไม่ได้ขายแค่อสังหาฯ แต่พัฒนาพื้นที่ย่านนั้นไปตลอดกาล

Questions answered by the Founder of Proud Real Estate

1. ชอบอยู่บ้านหรือคอนโดมากกว่ากัน

ทุกวันนี้อยู่บ้าน แต่อยู่ในพื้นที่ที่น้อยมาก ใช้พื้นที่จริง ๆ อาจจะแค่ประมาณ 10% ของบ้าน เลยมองว่าจริง ๆ ถ้าไปอยู่คอนโดก็ไม่ได้ติดขัด

2. มุมไหนของบ้าน/คอนโดที่ชอบที่สุด

อาจจะฟังดูไม่ค่อยดี แต่เป็นคนใช้เวลาอยู่ในห้องนอนค่อนข้างเยอะ ต้องใช้คำว่าบนเตียงเลยดีกว่า (หัวเราะ) Work from Home จริง ๆ ก็คือเอาแล็ปท็อปมานั่งคุยบนเตียง เพราะรู้สึกว่ามันผ่อนคลายขึ้น เเล้วการพักผ่อนระหว่างวัน เราก็อยู่ในห้องนอนแหละ ดูทีวี ออกกำลังกายอยู่ในห้องเป็นหลักเลย

3. ของที่ขาดไม่ได้ในห้องของคุณคือ

แสงและลม การที่ห้องมีแสงธรรมชาติเข้าถึงทำให้ทุกอย่างดีขึ้น

4. ซื้อบ้าน/คอนโดครั้งล่าสุดเมื่อไหร่

เพิ่งซื้อคอนโดไปเมื่อปีที่แล้ว ไม่นับโครงการตัวเองเนอะ (หัวเราะ) 

5. อะไรคือเรื่องที่คุณพราว Proud มากที่สุด

ค่อนข้างภูมิใจกับการทำสิ่งที่ Never been done before อย่างสวนน้ำ วานา นาวา จากค่าตั๋ว 100 บาทเป็น 1,000 บาท หรือ InterContinental Residences Hua Hin ที่ราคาขายกลายเป็น New High ของหัวหิน

6. ถ้าแนะนำหนังสือได้ 1 เล่ม จะแนะนำหนังสือเล่มไหน

Thinking Fast and Slow โดย Daniel Kahneman

7. ถ้าเลือกจิบกาแฟกับคนดังคนไหนก็ได้ 1 คนจะเลือกใคร

อยากมีโอกาสคุยกับ Magaret Thatcher อาจเป็นเพราะเราไปเรียนที่อังกฤษมาด้วย และได้ยินเรื่องราวของเขาที่เป็นหญิงเหล็กคนหนึ่ง ในวันที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี มีคนเกลียดเยอะเพราะเขาไปยุบสหภาพแรงงาน แต่สิ่งที่เขาทำไปเป็นรากฐานการโตของเศรษฐกิจอังกฤษในอีก 20 ปีให้หลัง

8. บทเรียนจากอังกฤษที่ประทับใจที่สุด

ที่ชอบมากคือ Game Theory เป็นทฤษฎีของทางเศรษฐศาสตร์ที่ต้องคาดเดาว่าอีกคนหนึ่งกำลังคิดอะไรอยู่ และ Next move ของคนนั้นจะเป็นอะไร

9. อยู่บ้านหรือที่ทำงานมากกว่ากัน

จริง ๆ ต้องใช้คำว่าอยู่บนรถค่อนข้างเยอะ (หัวเราะ) อย่างวันนี้นั่งประชุมออนไลน์บนรถตั้งแต่ 9 โมงครึ่งเพื่อไปประชุมที่หัวหิน แล้วก็นั่งรถกลับมา ทุกวันนี้รถเป็นออฟฟิศ

10. ได้นอนวันละกี่ชั่วโมง

นอนเยอะอยู่ค่ะ ประมาณสัก 7 ชั่วโมง การนอนคือการเติมพลังที่ดีที่สุด

ติดตามโครงการต่าง ๆ ของ Proud Real Estate ได้ที่

www.proudrealestate.co.th

vehha-huahin.com

www.intercontinentalresidenceshuahin.com

Writer

Avatar

วุฒิเมศร์ ฉัตรอิสราวิชญ์

นักเรียนรู้ผู้ชื่นชอบการได้สนทนากับผู้คนและพบเจอสิ่งใหม่ๆ หลงใหลในการจิบชา และเชื่อว่าทุกสิ่งล้วนมีเรื่องราวให้ค้นหา

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล