ยังเยาว์กว่าจะบ่าย ผมเดินเข้ามาในบริเวณบ้านที่ปกคลุมด้วยเรือนไม้นานาชนิด หลังจากที่ อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับเชื้อเชิญแขกผู้แปลกหน้าด้วยรอยยิ้ม ท่านมีบุคลิกท่าทีกันเองสบายๆ กว่าที่ผมคิด น่ารักและจิตใจดีแบบที่ใครๆ บอก
อาจเป็นเพราะเมื่อหลายปีก่อนท่านเองก็เคยตกอยู่ในสถานะคนแปลกหน้าของผู้อื่น อีกทั้งหลายคนยังมองว่าแปลกประหลาด ในวันที่ตัดสินใจลาออกจากราชการเพื่อเดินเท้าจากถนนหน้าบ้าน สู่ชายหาดบ้านเกิดเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำจากและจำห่างคนรักที่ผูกพันชีวิตกันมากว่า 16 ปี บนความไม่มั่นคง ไม่แน่นอน ไม่ปลอดภัย ใช่มีเพียงความเด็ดเดี่ยวที่ทำให้ชายวัย 51 ปี กล้าตัดสินใจก้าวเผชิญ ทว่าความรักและความเข้าใจของทั้งสองนั้นเป็นอีกตัวแปรสำคัญ ดังแรงพลังขับเคลื่อนอันเข้มแข็ง อ่อนโยน และงดงาม
ก้าวแรกของความรัก
“ผมเจออาจารย์สมปองครั้งแรกในกิจกรรมสังสรรค์ ‘วันต้อนรับนักศึกษาใหม่’ ของมหาวิทยาลัยปัญจาบ ประเทศอินเดีย ตอนนั้นอาจารย์สมปองเป็นนักศึกษารุ่นน้องที่มาเรียนต่อปริญญาโทด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ ส่วนผมเป็นรุ่นพี่ที่เรียนจบโทแล้วและกำลังรอศึกษาต่อในระดับ Master of Philosophy ซึ่งในตอนนั้นถ้าจะให้มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับอาจารย์สมปอง ผมมีความทรงจำเพียงแค่ว่าน่าจะเป็นนักศึกษาที่ขี้เหร่ที่สุด” จบประโยค อาจารย์ประมวลก็หัวเราะร่วน ผมอดอมยิ้มไม่ได้ที่เห็นว่าท่านขวยเขินมากกว่าขบขัน เมื่อได้รื้อฟื้นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์แสนธรรมดากับหญิงสาวที่ต่อมาจะกลายมาเป็นคู่ครองแสนพิเศษของชีวิต
หลังเรียนจบหลักสูตร Master of Philosophy อาจารย์ประมวลก็ย้ายไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยไมซอร์ทางตอนใต้ ช่วงระหว่างเคี่ยวกรำกับปริญญาใบสุดท้ายอยู่นั้นท่านก็ประสบภาวะขัดสนค่าใช้จ่าย จึงเริ่มหาลู่ทางสร้างรายได้ด้วยการขีดเขียนบทความเผยแพร่ในเมืองไทย แต่ความที่เป็นนักเขียนลายมือไม่เอาไหนและไม่ถนัดการพิมพ์ดีด จึงต้องอาศัยส่งต้นฉบับมาให้อดีตนักศึกษารุ่นน้องช่วยเป็นธุระจัดการ ทั้งรายงานสถานการณ์การจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 9 ที่ประเทศอินเดียเป็นเจ้าภาพ บทความคัดสรรสารพัดเรื่องราวในแดนภารตะ หรือคอลัมน์ประจำประดับนิตยสารกระดังงา ล้วนได้รับความช่วยเหลือจัดทำต้นฉบับโดยอาจารย์สมปอง นักเขียนและผู้ช่วยบ่มเพาะความรู้สึกดีต่อกันผ่านตัวอักษร สื่อสารกันผ่านบรรยากาศของความคิด กระทั่งก่อตัวเป็นความรู้สึกใกล้ชิดผูกพัน
จนเมื่ออาจารย์ประมวลย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยจังหวะชีวิตนำพาให้ท่านลงเอยเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเดียวกันกับที่อาจารย์สมปองสอนอยู่ ความสนิทสนมของทั้งคู่จึงผลิดอกออกผลจากเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจเติบโตสู่ความหมายใหม่ในการร่วมชีวิตและแต่งงาน
รักไม่ใช่ถ้อยคำ
แม้จะเคยเปรยอยู่กลายๆ ถึงความปรารถนาเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด และปรึกษาหารือในวันที่อยากปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินชีวิตด้วยการลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ เพราะไม่อาจทนความขัดแย้งจากแนวทางการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ แต่ทันทีที่อาจารย์ประมวลได้บอกถึงความตั้งใจออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านให้อาจารย์สมปองทราบ เรื่องนี้กลับนำมาซึ่งความรู้สึกหวั่นใจ
“เพราะผมมีความสำนึกรู้ว่าการแสวงหาความรู้ของผมยังไม่จบสิ้น ผมยังต้องการความรู้อีกมิติหนึ่งซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ใช่ความคิด ผมจึงเลือกเอาการเดินอันเป็นวิถีศักดิ์สิทธิ์มาเป็นกระบวนการในการเรียนรู้และลบล้างความรู้สึกเสียดาย (ความโลภ) รู้สึกเกลียด (ความโกรธ) และรู้สึกกลัว (ความหลง) ที่มีอยู่ในจิตใจ ซึ่งผมได้วิ่งหนีมันมาตลอดชีวิต โดยการก้าวเดินครั้งนี้วางอยู่บนเงื่อนไขว่าจะไม่ใช่เงินเพื่อก้าวพ้นพลังอำนาจของเงินตรา ไม่กำหนดระยะเวลา ไม่เดินไปหาคนรู้จักเพื่อขออาหารหรือที่พักจากเขา และมีเป้าหมายปลายทางคือบ้านเกิดที่เกาะสมุย
ผมอธิบายให้อาจารย์สมปองฟังเช่นนี้ แต่คือตรงนี้มันไม่ใช่เรื่องของถ้อยคำแล้ว เพราะเวลาเราพูดถึงความรักมันไม่ใช่เรื่องถ้อยคำ แต่มันเป็นเรื่องท่าทีที่มีต่อกัน ท่าทีที่เวลาเราจะทำสิ่งๆ หนึ่งแล้วอีกคนแสดงออกมาว่าอย่างไร ซึ่งท่าทีของอาจารย์สมปองแสดงให้ผมรู้ว่าเธอมีความห่วงกังวลผม แต่ไม่ใช่การห้ามนะ เธอเห็นด้วยและยินยอมที่จะให้ทำเพราะมีความรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ผมปรารถนาและรู้ว่ามีความหมายต่อผมมากแค่ไหน ดังนั้น เพื่อลดทอนความห่วงใยลง เธอจึงขอให้ผมทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นกระบวนการที่ดี นั่นคือ ฝึกฝนการเดิน”
เริ่มตั้งแต่วันแรกที่ลาออกจากงานประจำ ทุกๆ วันอาจารย์ประมวลจะตื่นแต่เช้ามืดออกจากบ้านเพื่อซักซ้อมการเดินบนถนนหนทางอย่างจริงจัง โดยมีภรรยาทำหน้าที่เป็นเสมือนโค้ชคอยตรวจเช็กสภาพความพร้อมของร่างกาย ไถ่ถามปัญหา เฝ้าสังเกตพัฒนาการ ตลอดจนเลือกซื้อหาชุดและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เหมาะสม ก่อนการฝึกฝนจะเสร็จสิ้นลงโดยกินระยะเวลาร่วมเดือน กระทั่งรุ่งสางของวันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 กำหนดการก้าวเดินออกจากบ้านไปบนเส้นทางแห่งการเรียนรู้เพื่อปล่อยวางจึงมาถึง
“ตรงนี้แหละครับที่อาจารย์สมปองมาส่งผมในวันที่กำลังจะออกเดินทาง ผมบอกว่า ไม่ต้องออกไปส่งข้างนอกหรอก แล้วก็กอดอาจารย์สมปอง” อาจารย์ประมวลชำเลืองมองพื้นที่ถัดจากประตูหน้าบ้านที่เพิ่งก้าวเท้าผ่านเข้ามา พลางถักทอสายใยความทรงจำอันงดงามในชั่วขณะโอบกอดแห่งร่ำลา ครั้งนั้นท่านไม่เคยนึกคิดเลยว่าจะได้กลับมาอยู่ในอ้อมแขนของ ผู้หญิงอันเป็นสุดที่รัก เช่นนี้อีกหน นั่นจึงราวกับเป็นการโอบกอดครั้งสุดท้ายที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกตื้นตัน และหนักแน่นดังได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ชั่วระยะเวลาเพียงสั้นๆ บทเรียนบางอย่างของความผูกพันได้งอกงามขึ้นภายในจิตใจ
บนเส้นทางสู่ความหมายใหม่ของชีวิตอาจเต็มไปความเหน็ดเหนื่อยและยากลำบากให้ต้องฝ่าฟัน ทว่าบนเส้นทางความรักนั้นระยะห่างกลับไม่ได้เป็นอุปสรรคระหว่างคนทั้งสอง เมื่อต่างมองความรักอยู่เหนือมิติของสถานการณ์ แม้กายจะแยกจากแต่โอบกอดแห่งรักนั้นสถิตอยู่ในจิตใจ เป็นพลังให้ทุกๆ ก้าวย่างพวกเขาเคียงข้างก้าวเดินไปพร้อมกัน
รักคือพลังของชีวิต
ตลอดระยะทางการก้าวเดินกลับบ้าน อาจารย์ประมวลได้ค้นพบกับความหมายงดงามหลากแง่มุมมองของชีวิต หนึ่งในเรื่องราวเปี่ยมความหมายเหล่านั้นคือการได้พบเจอกับ ‘ไอ้น้อย’
ไอ้น้อยเป็นคนดูแลรักษาความสะอาดวิหารพระศรีของวัดกำมะเชียร จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อครั้งที่อาจารย์ประมวลได้เดินทางไปถึงวัดแห่งนี้ เขาเป็นผู้หยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้กับท่าน แม้ไอ้น้อยจะเป็นคนที่มีความคิดน้อยเพราะมีความบกพร่องทางสติปัญญา ไม่มีความรู้เชิงสังคม ไม่มีกรอบคิดของเหตุผล ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าธนบัตรใบละ 20 นั้นมีมูลค่าต่างจาก 100 แต่เมื่อรู้ว่าหิว เขาก็หุงหาอาหารมาให้ทาน รู้ว่าไม่มีที่พัก เขาจัดแจงหาเสื่อหามุ้งมากางให้พักผ่อน ด้วยไมตรีจิตอันบริสุทธิ์ที่สัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ของไอ้น้อย ทำให้อาจารย์ประมวลได้เรียนรู้ถึงคุณค่างดงามในโลกของความรู้สึก
“คือจริงๆ ช่วงนั้นมันอยู่ในช่วงของการพยายามจะออกจากโลกของความคิด โลกที่เราพยายามปรุงแต่งให้มันมีระบบ มีเหตุ มีผล และอยู่กับสิ่งเหล่านี้ คล้ายกับเราเป็นนายช่างที่พยายามจะสร้างบ้านให้มีความวิจิตรอลังการ แต่เป็นบ้านแห่งเหตุผลที่ก่อและถมขึ้นจากความคิดแล้วก็ปิดตัวเองอยู่ข้างใน ซึ่งการก้าวเดินสู่เป้าหมายในครั้งนั้นทำให้ผมได้สัมผัสกับมิตรภาพ ความรัก และการได้พบเจอน้อยก็ทำให้ผมได้ประจักษ์ว่าอากาศบริสุทธิ์ภายนอกบ้านแห่งความคิดนั้นสดชื่นเพียงใด”
อาจารย์ประมวลขยายความเพิ่มเติมว่าความคิดเชิงเหตุผลยังเป็นบ่อเกิดของความน้อยใจ เสียใจ หรือผิดหวัง ซึ่งเรามักหยิบใช้ไปตีค่าของความรักกันจนเคยชิน
“สังเกตไหม เวลาเราคิดว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ เธอไม่ทำแบบนั้น สิ่งนี้มันเป็นความคิดที่ตั้งอยู่บนฐานของความคาดหวัง เป็นความรู้สึกว่าเราต้องได้รับอะไรจากใคร ซึ่งก็คือการเอากลไกของการซื้อขายมาใช้ ผมเข้าใจว่านี่กำลังทำให้เราคลาดเคลื่อนจากความหมายที่แท้จริงของความรัก การใช้ระบบคิดเชิงเหตุผลมาคิดคำนวณทำให้เราตั้งธงของความสำเร็จและความล้มเหลวไว้ในใจ สำเร็จว่าเธอจะต้องรัก ต้องซื่อสัตย์ ต้องอุทิศทุ่มเทให้กับเรา แล้ววันหนึ่งเมื่อพบว่าเธอไม่ได้จริงจัง เราก็รู้สึกผิดหวังและเจ็บปวด
เพราะความคาดหวังคือความอยากได้จากผู้อื่น ส่วนความรักคือพลังที่จะให้ผู้อื่นนั้นแตกต่างกัน
ความรักคือพลังของชีวิต เป็นพลังความสามารถที่จะกระทำกิจเพื่ออีกคนหนึ่งและเป็นพลังในการขับเคลื่อนชีวิตของมนุษย์อย่างไม่มีจบสิ้น บุคคลสำคัญที่สุดที่ทำให้เราเห็นพลังในความหมายนี้คือคนที่เป็นแม่ แม่จะทำกิจอันมากมายมหาศาลเพื่อลูกที่เธอรัก และด้วยพลังความรักที่มีอยู่ในหัวใจนั้นมนุษย์สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างอันมหัศจรรย์ได้
แต่อาจเป็นเพราะปัจจุบันเราอยู่ใน ‘สังคมตลาด’ ที่มีการต่อรองกันตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายและน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพราะตลาดแห่งนี้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนซื้อขาย ทว่ามันได้หล่อหลอมให้เราอยู่ในสังคมที่แม้กระทั่งคนรักกันก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อค้าแม่ค้า เราต่อรองความหมายของชีวิตจากกันและกัน และสุดท้ายเราจึงไม่สามารถสัมผัสความรักที่แท้จริงได้เลย”
ชีวิตคู่ที่งดงาม
วันที่ 66 ของการเดินทาง อาจารย์ประมวลหยิบการ์ดโฟนในกระเป๋าเป้ที่ภรรยาเตรียมไว้ให้ต่อสายกลับไปแจ้งข่าวให้เธอทราบทันที่ที่ถึง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่านใช้เวลาไม่นานพักอยู่บนเกาะสมุยบ้านเกิด ก่อนที่น้าสาวจะรีบตีตั๋วรถทัวร์ให้เดินทางกลับเชียงใหม่ด้วยหวังใจให้อาจารย์สมปองได้ผ่อนคลายความกังวล
เมื่อกลับถึงบ้านในสภาพร่างกายที่ดูโชกโชนด้วยประสบการณ์ บ่ายวันหนึ่งอาจารย์สมปองจึงชักชวนอาจารย์ประมวลถ่ายรูปเก็บร่องรอยความทรงจำอันมีค่าไว้เป็นที่ระลึก ชายสูงวัยรูปร่างซูบผอม ผิวคล้ำกรำแดดกล้าตัดกับสีผิวในร่มผ้าเด่นชัดทำให้อาจารย์ประมวลนึกขันเมื่อย้อนคิดไปถึง ผมสังเกตเห็นรอยยิ้มอันเปี่ยมสุขฉายผ่านแววตาท่าน และสัมผัสได้อย่างหนึ่งว่าความผูกพันของทั้งสองยิ่งผ่านวันเวลา ยิ่งเบิกบาน อาจจะด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า ความรัก นั้นได้ประสานจิตสองดวงให้เป็นหนึ่งเดียวกัน กลายเป็นจิตที่มีความหมายร่วมกัน กลายเป็นความหมายของการครองชีวิตคู่ที่งดงาม
หลังเสร็จสิ้นการก้าวเดินสู่บ้านเกิดและกลับมาอยู่เชียงใหม่ได้ไม่นาน อาจารย์ประมวลได้ไปขอพำนักภายในวัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยตั้งใจเขียนบันทึกเรื่องราวการเดินทางเพื่อแสดงความขอบคุณและจัดส่งไปให้บุคคลที่หยิบยื่นความช่วยเหลือตลอดเส้นทางการย่างก้าวกว่า 116 ท่าน ต่อมาต้นฉบับบันทึกดังกล่าวได้ถูกนำมาจัดพิมพ์เป็นหนังสือในชื่อ “เดินสู่อิสรภาพ” ปัจจุบันได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่แล้ว ทั้งในฉบับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน