ตอนแรกที่เรานัดสัมภาษณ์ พี่ตั้ว-ประดิษฐ ประสาททอง ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ละครร่วมสมัย) พ.ศ. 2565 เนื่องในวาระละครเรื่องใหม่ ทัดมาลา ที่ได้แรงบันดาลใจจาก โรมิโอและจูเลียต ผสมผสานกับศิลปะมวยไทย พี่ตั้วบอกเราว่า ไม่ค่อยอยากให้สัมภาษณ์ เพราะมีปัญหาสุขภาพอยู่
สุดท้ายเมื่อพบกันจนได้ พี่ตั้วขยายความว่า มีปัญหาหมอนรองกระดูก เพราะสมัยหนุ่ม ๆ ใช้ร่างกายในการเล่นละครแบบโลดโผนเอาเรื่อง
ถ้าใครลองหยิบชื่อ ประดิษฐ ประสาททอง ไปใส่ใน Google ก็จะเห็นว่าชีวิตศิลปินแห่งชาติคนนี้มีใจความสำคัญอยู่ในโลกศิลปะการแสดงอย่างแท้จริง
พี่ตั้วสนใจศิลปะแขนงนี้มาตั้งแต่เด็ก ผ่านประสบการณ์ทั้งเขียนบท กำกับ และแสดงละครมากมาย มีรางวัลใหญ่การันตีคุณภาพตั้งแต่รางวัลศิลปาธร พ.ศ. 2547, รางวัลศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2565 จนถึงรางวัลสำหรับคนทำงานเพื่อสังคมเข้มข้นอย่าง Ashoka Fellowship พ.ศ. 2545 เพราะพี่ตั้วใช้ละครสื่อสารปัญหาสังคมมายาวนาน ตั้งแต่ยุคที่เป็นสมาชิกคณะละครเพื่อสังคมอย่าง ‘มะขามป้อม’ จนถึงปัจจุบันที่ก่อตั้งคณะละครของตัวเองในชื่อ ‘คณะละครอนัตตา’
ปีนี้พี่ตั้วมีอายุครบ 64 ปี อยู่กับศิลปะการแสดงมาเกินครึ่งชีวิต เป็นหนึ่งในเสาหลักและครูของผู้คนในวงการ
มองจากระยะไกล ประดิษฐ ประสาททอง เป็นชีวิตที่แสนเจิดจ้าเปล่งประกาย จนเมื่อได้นั่งลงพูดคุยระหว่างการซ้อมละครเรื่องใหม่ เราจึงเห็นว่าภายใต้ความสว่างจ้านั้น มีรสเข้มข้นลึกล้ำของชีวิตคนคนหนึ่งที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ศิลปะการแสดงในบริบทเมืองไทยอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนพบว่าเส้นทางนี้ทั้งให้ความสำเร็จและมีราคาที่ต้องจ่ายสูงไม่น้อย
คณะละครอนัตตาเชื่อว่า ละครคือรอยจารึกและบันทึกแห่งยุคสมัย
เราเชื่อว่าบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้คือรอยจารึกและบันทึกแห่งชีวิตของ ประดิษฐ ประสาททอง ในวันที่เขาผ่านร้อนหนาวจนเข้าใจ
ศิลปะการแสดงคือสิ่งมหัศจรรย์
จะเข้าใจชีวิตที่ทุ่มเทให้ศิลปะการแสดงของศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง ก็ต้องย้อนไปที่จุดเริ่มต้น
พี่ตั้วเล่าว่าชอบดูละครอย่างลิเกมาตั้งแต่เด็ก แต่เหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตคือตอนที่ครูสมัยประถมพาไปดูโขนรามเกียรติ์ในโรงละครแห่งชาติ
“เป็นครั้งแรกที่เราได้ดูโขนในโรงละครที่มืด แล้วมีไฟสาดไปยังตัวละครบนเวที มันเป็นสิ่งวิเศษสำหรับเรา ในความมืดนั้น เราถูกสะกดด้วยสิ่งที่ไม่ใช่ความจริงแต่ดึงให้ผู้ชมเข้าไปอยู่ในนั้นได้ เรารู้สึกว่ามนุษย์โคตรเก่งเลย รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่พิเศษมหัศจรรย์ และรู้แต่ว่าเราอยากเดินไปในทางเส้นนี้”
โขนในวันนั้นจบลง แต่เส้นทางสู่ศิลปะการแสดงของพี่ตั้วเพิ่งเริ่มต้น
“พอกลับมาผมก็ไม่เป็นอันเรียนหนังสือ ไปยึดโรงยิมของโรงเรียนที่เวลาไม่มีงานโรงเรียนจะปิดไว้ ในโรงยิมจะมีเวทีแบบหอประชุมโบราณที่มียกพื้นสูง ผมก็มุดเข้าไปตรงส่วนที่เขาปิดม่านไว้ ทำให้มันเป็นเหมือนสตูดิโอเล็ก ๆ ของตัวเอง แล้วช่วงวันหยุด ผมก็จะไปที่โรงละครแห่งชาติ ไปมุดดูข้างหลังว่าเขาทำฉาก เสื้อผ้า อาวุธของตัวละครกันยังไง แล้วก็ไปดูครูเขาซ้อมรำ ไปดูการซ้อมฉากตลกแล้วก็นั่งจดมุกเอาไว้
“พอถึงปลายปี เราก็ขออนุญาตครูว่า ในงานโรงเรียนจะขอจัดการแสดงของตัวเอง ไม่เล่นบนเวทีโรงเรียน แต่จะเล่นในห้องเรียนตัวเอง พอได้รับอนุญาต ตลอด 2 สัปดาห์นั้นเราก็ไม่ทำอะไร เลิกเรียนแล้วก็ไปซ้อมที่สตูดิโอ เกณฑ์เพื่อนมาเป็นลิง เป็นพระนารายณ์ สร้างบทเอง เขียนกลอนเอง แล้วก็มาแสดงในงานโรงเรียน เชื่อไหมว่าเป็นการแสดงที่เด็กมาดูมากกว่าเวทีของโรงเรียน ไม่มีใครจำอะไรได้เลย รู้แค่สนุกมาก”
หลังละครเรื่องแรกในชีวิตผ่านไปอย่างสวยงาม พี่ตั้วได้ลงลึกกับศิลปะการแสดงยิ่งขึ้นเมื่อเข้าเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เริ่มจากเรียนรำไทยที่ชมรมดนตรีไทย ก่อนคุณครูในชมรมจะพาพี่ตั้วไปฝากตัวกับเพื่อนของท่านที่สอนรำที่วิทยาลัยนาฏศิลป ทำให้ได้เรียนโขนแบบตัวต่อตัว จากนั้นพี่ตั้วก็มีส่วนผลักดันให้เกิดโขนสวนกุหลาบขึ้นเป็นครั้งแรก
แต่แม้มาไกลขนาดนี้ พ่อแม่ของพี่ตั้วก็ยังไม่รู้เลยว่าลูกรำได้ เล่นละครเก่งขนาดไหน จนกระทั่งพี่ตั้วไปแสดงในบทพระรามที่งานลูกเสือแห่งชาติ ซึ่งมีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศ
“กล้องก็ซูมมาที่เรา พอกลับบ้านคือคนยิ้มให้ตั้งแต่ปากซอย เราก็คิดว่าแย่แล้ว แต่พอเข้าบ้านแทนที่จะโดนว่า พ่อแม่แทบจะอุ้มเราเลย บอกว่ารำดี เขาปลื้มมาก เพราะปกติเราทำทุกอย่างที่เขาอยากให้ทำ แต่ขณะเดียวกันเราก็ทำสิ่งที่รักด้วย เขาก็ไม่ว่าอะไรเลย”
หลังสั่งสมความรู้ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และครอบครัวเห็นดีเห็นงามด้วย ชีวิตของพี่ตั้วก็มาถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย
คะแนนสอบพาพี่ตั้วเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
ละครคือการรับใช้ผู้คน
จากเด็กที่สนุกสนานกับศิลปะการแสดงหลากแขนง ธรรมศาสตร์ในยุคที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์การเมือง พ.ศ. 2519 มาไม่นานนำพาพี่ตั้ววัยนักศึกษามาปะทะกับความเป็นจริงของสังคม
“ผมเข้าธรรมศาสตร์ช่วง พ.ศ. 2523 ไปอยู่ชุมนุมศิลปะการแสดง ขณะเดียวกันพวกรุ่นพี่ที่หนีเข้าป่าช่วง พ.ศ. 2519 ก็ทยอยกลับเข้ามา เขาก็เริ่มเอาหนังสือให้เราอ่าน เริ่มสอนเราร้องเพลงเพื่อชีวิต
“แล้วผมก็เข้ากลุ่มละครมะขามป้อม เริ่มจากไปในฐานะอาสาสมัคร หลังจากนั้นโลกก็เปลี่ยน เราได้เห็นว่าละครไม่ได้อยู่แค่ในมหาวิทยาลัย แต่มันรับใช้ชีวิตผู้คนได้ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางออกจากบ้านไปภาคอีสานแล้วพบว่ามีคนที่ไม่มีจะกิน ต้องหาบน้ำกลับมาอาบ ทั้งบ้านจับปลาตัวเล็กได้ 2 ตัวก็เก็บไว้ให้พวกเราที่เป็นนักศึกษามาออกค่าย ผมก็รู้สึกว่าทำไมตัวเองโคตรมีอภิสิทธิ์ แล้วก็คิดว่าเราอยู่อย่างนี้ไม่ได้ หลังจากนั้นผมก็ไม่ค่อยอยู่ในมหาวิทยาลัย ไปอยู่ตามม็อบ ไปเวิร์กช็อปละครให้สาวโรงงาน แล้วก็ไปออกค่ายชนบท
“วิธีคิดของคนยุคนั้นคือนักศึกษากินภาษีราษฎร ฉะนั้นเมื่อเรียนจบ คุณคือสมบัติของประเทศ คุณต้องมอบสิ่งที่ดีงามให้กับชีวิตผู้คน ไม่ใช่ทําเพื่อตัวคุณคนเดียว ผมถูกหล่อหลอมมาแบบนั้น”
หลังเรียนจบ พี่ตั้วก็ยังคงมุ่งมั่นกับการทำละครเพื่อรับใช้สังคม โดยมีช่วงรับงานทำละครโทรทัศน์และโฆษณาในเมืองหลวงเพื่อหารายได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีชีวิตส่วนใหญ่อยู่นอกกรุงเทพฯ มุ่งมั่นทำละครเพื่อสังคมกับกลุ่มมะขามป้อมในหลากหลายจังหวัดทั่วไทย พี่ตั้วและชาวมะขามป้อมเริ่มจากไปแสดงละคร ก่อนเปลี่ยนผ่านมาสู่การร่วมสร้างสรรค์ละครกับชาวบ้าน เพราะประจักษ์ถึงศักยภาพของคนท้องถิ่น และขยับขยายไปยังการอบรมศาสตร์ละครให้คุณครู เพื่อนำไปถ่ายทอดให้นักเรียนต่อไป
“ละครเปลี่ยนสังคมไม่ได้ในชั่วข้ามคืนหรอก แต่อย่างน้อย มันจะไปเปิดวิธีคิดหรือไปเปิดมุมมองที่คิดไม่ถึงให้กับปัจเจก ทำให้เขาตั้งคำถามหรือกลับมาทบทวนในสิ่งที่เคยเชื่อเคยเห็น แล้วเมื่อปัจเจกเปลี่ยน วันหนึ่งสังคมก็จะเปลี่ยนไป”
ถัดจากนั้น อีกจุดเปลี่ยนของชีวิตก็มาถึง เมื่อสายสัมพันธ์ที่เริ่มกว้างขวางทำให้พี่ตั้วมีโอกาสเดินทางไปดูงานต่างประเทศ จนพบเข้ากับอีกเครื่องมือสร้างความเปลี่ยนแปลง
นั่นคือ ‘เทศกาลละคร’
เทศกาลละครคือพื้นที่ซึ่งทำให้ละครเป็นของทุกคน
เทศกาลละครเหมือนงานแห่เทียนพรรษา – พี่ตั้วเปรียบเทียบ
ความหมายคือ เทศกาลทำหน้าที่ทำให้ ‘ละคร’ มีตัวตนเป็นรูปธรรมโดดเด่น ขณะเดียวกันก็หลอมรวมผู้คนให้ได้ร่วมเป็นเจ้าของศิลปะการละคร ละครไม่ได้เป็นแค่ของนายทุนรายใหญ่หรือของภาครัฐ แต่เป็นของกลุ่มเยาวชน กลุ่มผู้หญิง จนถึงกลุ่มคนชายขอบต่าง ๆ ครอบคลุมกว้างขวางไม่ปิดกั้นรูปแบบการแสดง
โดยละครในเทศกาลละครคือ ‘ละครร่วมสมัย’ ที่พี่ตั้วมองว่า หมายถึงละครที่รับใช้คนร่วมยุคปัจจุบันเดียวกัน
“ละครร่วมสมัยในความหมายของผมอาจไม่ตรงกับทฤษฎีใครเลยนะ ผมมองว่ามันคือละครที่รับใช้คนในสมัยเดียวกับเรา มันอาจเป็นเรื่อง อิเหนา ก็ได้ แต่เป็น อิเหนา นำมาตีความในแบบของเรา สื่อสารกับคนดูที่หายใจร่วมกับเราอยู่ ที่สำคัญคือมันต้องเอื้อประโยชน์และสร้างความสุขให้คนที่อยู่ร่วมสมัยกัน”
เทศกาลละครกรุงเทพครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2545 โดยมีพี่ตั้วเป็นส่วนสำคัญในการผลักดัน เป็นเทศกาล ณ สวนสันติชัยปราการ ที่รวบรวมตั้งแต่ละครแบบดั้งเดิม จนถึงละครใบ้และการเต้นบีบอย ฉายภาพให้ทุกคนเห็นว่าละครอยู่กับเราในทุกหนแห่งและสื่อสารได้ทุกเรื่องอย่างแท้จริง
หลังจากนั้น เทศกาลละครกรุงเทพก็เกิดขึ้นต่อเนื่องมา โดยมีพี่ตั้วร่วมดูแลพร้อมผลักดันประเด็นเกี่ยวกับศิลปะการละครในอีกหลากหลายมิติ เพื่อให้คนทำละครในประเทศไทยอยู่รอด
“เรามีความเชื่อแบบคนรุ่นเก่าว่า ศิลปินหรือคนทํางานละครจะมีชีวิตเติบโตอยู่ได้ก็ต้องสร้างการยอมรับที่เป็นนิติบุคคลให้ได้ เราจึงพยายามสร้างเทศกาลละครกรุงเทพเพื่อให้สาธารณชนยอมรับการมีตัวตนของคนที่สร้างงานอย่างต่อเนื่องกลุ่มนี้ แล้วผมก็พยายามผลักดันให้พวกเขารวมตัวเป็นคณะละครที่จดทะเบียนถูกต้อง เพื่อให้เกิดการยอมรับในเชิงอาชีพ ซึ่งถ้าทำได้ หลังจากนั้นเราก็จะตั้งเป็นสมาคมได้ และได้รับการทะนุบำรุงจากงบประมาณภาครัฐ ผมก็พยายามผลักดันมาเรื่อย ๆ สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง”
จนในที่สุด หลังร่วมดูแลเทศกาลละครพร้อมขับเคลื่อนเรื่องต่าง ๆ มายาวนานหลายสิบปี พี่ตั้วก็ตัดสินใจปรับบทบาทของตัวเอง
จากการเป็นคนเบื้องหน้าสู่การเป็นคนเบื้องหลัง ส่งบทบาทการต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อสังคมและศิลปะการแสดงให้คนรุ่นถัดไป
“โลกรอบตัวเรามันค่อย ๆ เปลี่ยนไปพร้อมกับคนใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพและความต้องการที่ต่างไปจากรุ่นของเรา” พี่ตั้วอธิบายความคิดในตอนนั้น “ผมบอกตัวเองว่าถึงเวลาส่งต่อ และขอเวลาที่จะมีชีวิตของเรา”
ชีวิตคือการไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน และไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน
“มีผู้ใหญ่ที่ผมเคารพซึ่งรู้ว่าเราเป็นคนทำเพื่อสังคม ท่านเคยบอกตอนที่ผมอายุ 30 กว่าว่า เธอฟังฉันนะ เธอยังหนุ่ม มีแรงและมีความสามารถสูง ศักยภาพอย่างเธอทําให้ชีวิตตัวเองสว่างไสวได้กว่านี้อีกมาก เธอไม่ต้องไปห่วงคนอื่น ไม่ต้องไปห่วงสังคม ถึงไม่มีเธอ สังคมก็เป็นไปของมันได้
“ตอนนั้นผมก็รับคำว่าครับ แต่พอคุยเสร็จผมก็ไม่สนใจ ยังเชื่อในความคิดของตัวเอง ผมบอกตัวเองว่าจะไม่ทำงานหนักเพื่อสะสมเงิน เพราะถ้าเงินเยอะขึ้น เราจะเปลี่ยนไป”
30 กว่าปีผ่านไป พี่ตั้วในวันนี้อายุใกล้เคียงผู้ใหญ่ที่ตัวเองเคารพในวันนั้น ก้าวเดินมาในทิศทางที่ตัวเองเชื่อ และได้เป็นศิลปินแห่งชาติซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดที่ไม่เคยคิดว่าจะไปถึงจนได้
แต่ขณะเดียวกัน พี่ตั้วก็ได้เห็นร่างกายตัวเองที่เปราะบางกว่าเดิม และได้รู้ราคาที่ต้องจ่ายจากการตัดสินใจเลือกเส้นทาง
ไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพจากการใช้ชีวิตเพื่อศิลปะการแสดงมาอย่างเต็มที่ แต่การทุ่มชีวิตสร้างสรรค์งานเพื่อสังคมยังทำให้รู้สึกถึงความไม่มั่นคงทางการเงิน
“ช่วงทำเทศกาลละครกรุงเทพ เคยมีจุดที่ผมคิดว่า ถ้าเรารวย เราคงไม่ต้องไปวิ่งหาสปอนเซอร์อะไรเลย ทำไมเราไม่เก็บเงินไว้เพื่อทำสิ่งที่เราอยากทำให้ได้ ยิ่งพอถึงช่วงหลังโควิด-19 ความมั่นคงในจิตใจเราก็แย่มาก เราพบเลยว่าชีวิตเปราะบางมาก ตอนที่มีเรี่ยวแรงหาเงิน เราไม่หา เราทุ่มพลังทั้งหมดไปกับการสร้างสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเราไม่ทำก็ได้”
พี่ตั้วบอกเราว่า ได้รู้แล้วว่าโลกนี้จะยังคงเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจะมี ประดิษฐ ประสาททอง อยู่หรือไม่
“ผมถูกสอนมาว่า เราใช้ภาษีของประชาชน ชีวิตจึงไม่ใช่ของเรา และเพราะทำเพื่อสังคม เราจึงมีคุณค่า แต่พอมองย้อนไปก็ภูมิใจในสิ่งที่ทำ คิดว่าใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว แต่จะเลิกตำหนิตัวเองในเรื่องที่ทำไม่สำเร็จ เพราะเราก็แค่ปุถุชนคนหนึ่ง เราไม่ต้องมีค่าขนาดนั้นก็ได้ เรามีค่ากับตัวเองบ้างก็ได้ ตอนแรกการยอมรับเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากมาก ผมรู้สึกเหงามาก เพราะเคยคิดว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่าเมื่อทำเพื่อคนอื่น แต่ดันพบว่าไม่ต้องทำเขาก็อยู่กันได้ เป็นการจัดการกับอัตตาตัวเองซึ่งยากมาก”
การมุ่งมั่นใช้ชีวิตมาในเส้นทางหนึ่ง แล้วเกิดความลังเลสงสัยทั้งที่ก้าวไปถึงยอดเขาสำเร็จ นับเป็นโจทย์ที่ท้าทาย แต่หลังต่อสู้ทบทวนอยู่นาน ในท้ายที่สุด พี่ตั้วก็ผ่านพ้นโจทย์ดังกล่าว ค้นพบจุดที่ตัวเองยืนอยู่ได้อย่างสุขสงบใจ
ถ้ากลับไปก็คงเลือกเดินมาในเส้นทางเดิม – พี่ตั้วกล่าว แต่เมื่อถามว่า ถ้าเด็กรุ่นใหม่มาขอคำแนะนำ จะส่งเสริมให้ใช้ชีวิตแบบเดียวกันไหม คำตอบของพี่ตั้วต่างออกไป
“ผมจะแนะนําว่า ทําอะไรก็ได้ที่ไม่ทําให้คนอื่นเดือดร้อน รวมถึงไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนด้วย ไม่ต้องแบกโลกก็ได้”
ประดิษฐ ประสาททอง ในวันนี้เลือกใช้ชีวิตแบบที่ไม่เบียดเบียนใครและตัวเองสบายใจ ยังคงสนุกกับการทำละครที่ตัวเองรัก เหมือนที่กำลังกำกับ ทัดมาลา ให้สนุกสนานเหมือน โรมิโอและจูเลียต ที่เราคุ้นเคย แต่ทวิสต์บางอย่างให้ไม่ตรงต้นฉบับ และขณะเดียวกันก็สนับสนุนคนรุ่นใหม่ในฐานะกองหลังตามกำลัง
อาจกล่าวได้ว่า ใช้ชีวิตบนเส้นทางเดิม ด้วยความเข้าใจที่ลึกและกว้างกว่าเดิม
“เป้าหมายชีวิตตอนนี้คือถ้าต้องตาย ขอให้ตายแบบไม่ทรมาน หลับแล้วไปเลย” ศิลปินแห่งชาติบอกกับเรา
ละคร ทัดมาลา จะจัดแสดงในวันที่ 3 – 4 สิงหาคม รอบการแสดงเวลา 14.00 และ 19.30 น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จองบัตรชมการแสดงโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่นี่