อิงโกะ บอกว่า มาเบล-สุชาดา สอนพันธ์ เปรียบเหมือนเจ้าหญิงผู้มากเสน่ห์แห่งวงการ T-POP
มาเบล บอกว่า พิมมา-พิมพ์มาดา ใจสักเสริญ คือสมาชิกวงที่เพิ่งเรียนจบและกำลังทุ่มเททำงานอย่างแข็งขัน
พิมมา บอกว่า อิงโกะ-อินท์ปาลี โชติหิรัญธนนนท์ เป็นเสียงร้องสำคัญที่มาเติมวงให้เต็ม
เพราะคิดว่า 3 คนคงเบื่อกับการแนะนำตัวไล่ไปทีละคนจนเหมือนโปรแกรมอัตโนมัติ เมื่อได้โอกาสคุยกัน เราเลยขอให้ PiXXiE สลับกันแนะนำเพื่อนร่วมวงแต่ละคนให้ฟังเล่น ๆ แทน
ศิลปินกลุ่มแรกจากค่าย LIT Entertainment เจ้าของสถิติยอดวิวสูงลิ่วกว่า 24 ล้านจากเพลง เกินต้าน (Too Cute) นั่งคุยกับเราสบาย ๆ ต่างจากปกติที่มักเห็นพวกเธอในคอสตูมสีสันสดใสเป็นเซตเข้ากัน เพราะพวกเธอกำลังจะมีคอนเสิร์ต ‘สนามเด็ก LIT Concert’ ในวันที่ 19 สิงหาคมนี้
เราเห็น PiXXiE กอดกันกลม มองตากันแล้วหัวเราะได้โดยไม่ต้องพูดอะไร คล้ายกับได้มองเหล่าภูตตัวจิ๋วกำลังพากันเล่นซน
หลังพูดคุยถึงชีวิตการทำงานที่ผ่านมา ถึงรู้ว่าแท้จริงทั้ง 3 คือผู้หญิงที่ทุ่มสุดตัวให้กับการร้องเพลง และไขว่คว้าทุกโอกาส แม้ตัวตนจะหล่นหายไปบ้างระหว่างทาง แต่ก็ได้มาซึ่งความรักเหลือล้น
จากนี้คือ PiXXiE ที่ไม่ได้ใส่ชุดสวยสะดุดตา แต่เป็นเด็กหญิงธรรมดาที่เล่าถึงความผิดพลาดและหยาดน้ำตาหลังแสงไฟบนเวทีที่คนภายนอกไม่เคยได้เห็น
All the world is made of faith, and trust, and pixie dust.
ก่อนเข้าวงการดนตรี แต่ละคนเป็นเด็กยังไง
มาเบล : มาเบล ไม่ มิ้นท์ แล้วกัน เป็นเด็กจันทบุรี ม.4 – ม.5 วิ่งเล่น กระโดดยาง ไม่ค่อยทันโลก ด้วยสังคมที่บ้านต่างจากที่นี่เยอะ แต่ก็ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กนะ
พิมมา : พิมมาตอนเด็กไม่ค่อยแตกต่างจากตอนนี้เท่าไหร่ (หัวเราะ) มาทำงานตรงนี้ค่อนข้างได้เป็นตัวเองมาก ๆ อาจจะมีเรื่องความรับผิดชอบและทัศนคติบางอย่างที่โตขึ้น ได้ผ่านการทำงานมากขึ้น เหมือนเป็นเด็กคนหนึ่งที่โตขึ้นมากกว่า
อิงโกะ : ส่วนอิงโกะเป็นเด็กธรรมดา ๆ คนหนึ่งเลยค่ะ แค่ชอบร้อง ชอบเต้น แล้วก็ทำตามความชอบของตัวเองมาเรื่อย ๆ วันหนึ่งก็ได้โอกาสเข้ามาเป็น PiXXiE
จำวันแรกที่ทั้ง 3 คนเจอหน้ากันได้ไหม
มาเบล : หนูกับพิมมาเจอกันก่อน แล้วน้องอิงโกะตามมาทีหลัง
อิงโกะ : ตอนนั้นหนูเด็กมาก ๆ เลยค่ะ เด็กชนิดที่ไปไหนมาไหนแค่กับพ่อแม่ จำได้ว่าวันนั้นมาเจอพี่ ๆ ก็คิดว่า โอ้ ทำไมเขาดูโตกว่าเรามาก ยิ่งพี่พิมมานี่ลุคเขาดูดุมากเลย
พิมมา : คาแรกเตอร์ของเราตอนแรกแตกต่างกันมากโดยสิ้นเชิง (เน้นเสียง) จนเรารู้สึกว่า ฉันจะอยู่วงเดียวกับเธอได้จริง ๆ เหรอ
ต่างกันขนาดไหน
พิมมา : แค่การแต่งตัวก็ต่างแล้ว หนูจะแมน ๆ กว่านี้เยอะมาก ผมสั้น ใส่เสื้อกับกระโปรงตัวใหญ่ ๆ ตัดหน้าม้าเต่อ ส่วนมาเบลก็ดูเป็นผู้ยิ้งผู้หญิง จำได้เลยว่าเขาใส่เสื้อชีฟอง กางเกงรัดรูป รองเท้าคัตชู ถ้าเจอข้างนอกหนูคงไม่กล้าคุยด้วย (หัวเราะ) ส่วนอิงโกะเด็กมาก ครั้งแรกที่เจอน้องเหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์
มาเบล : เหมือนผ้าขาวที่พี่ให้ทำอะไร ก็สาดสีใส่เข้าไป
พิมมา : แต่พอความใสซื่อของน้องมาอยู่กับเรา ช่วยทำให้พวกเรา 2 คนดูเป็นเด็กมากขึ้น มีชีวิตชีวากว่าเดิม
มาเบล : 2 คนจากที่หน้านิ่ง ๆ ไม่ค่อยยิ้มถ้าไม่มีอะไรต้องพูด พอมีอิงโกะเข้ามาก็ทำให้คนภายนอกน่าจะกล้าเข้ามาคุยกับเรามากขึ้น (หัวเราะ)
คิดว่าเพราะว่าอะไรเขาถึงจับเอาความแตกต่าง 3 คนนี้มารวมอยู่ด้วยกัน
มาเบล : สิ่งที่เจ๋งมาก ๆ ของค่ายเรา คือเอาคนที่แตกต่างกันมาก 3 คนมาอยู่ด้วยกันได้ โดยที่ไม่ได้รู้สึกขัด ถ้าคนอื่นมองเข้ามา ความแตกต่างจะทำให้เขามองเห็นเอกลักษณ์ของเราชัดเจนว่าคนนี้เป็นยังไง
ถึงจะต่างกันขนาดนี้ แต่ก็ดูสนิทกันมากเหมือนกันนะ
พิมมา : ตอนที่พวกเราได้อยู่หอเดียวกัน เป็นช่วงเวลาที่ทำให้รู้จักกันมากขึ้นค่ะ ทั้งนิสัยส่วนตัวและทัศนคติ
ตอนแรกที่เข้ามาทำงานตรงนี้ก็คิดว่า โอเค สนิทกันในพาร์ตของการทำงาน เสร็จงานก็แยกย้ายกลับ แต่พอมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันต่อ กลับหอด้วยกัน อาบน้ำ นอน ตื่นมาเจอกัน ไปซ้อม มันได้ใช้ชีวิตร่วมกันจริง ๆ ได้แลกเปลี่ยนอะไรมากกว่าแค่การทำงาน เราเริ่มคุยกันได้ทุกเรื่อง เราเลยสนิทกันมากขึ้นค่ะ
ช่วงแรก ๆ มีทะเลาะกันบ้างไหม
มาเบล : ไม่เคยทะเลาะกันเลย
พิมมา : มีอะไรจะเตือนกันมากกว่า ถ้าเห็นว่าอันนี้ไม่โอเคก็จะพูดเลย พวกเราชัดเจนในความรู้สึกกันอยู่ตลอดเวลา ถ้าคนหนึ่งไม่โอเคเราก็จะชาร์ตเลย
มาเบล : อย่างเมื่อเช้านี้ หนูแค่นั่งเหม่อ (หัวเราะ) พิมมาเข้ามาถามแล้ว เป็นอะไรวะเพื่อน (ทำท่าโอบไหล่เลียนแบบพิมมา) แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เราจะสังเกตกันว่าวันนี้ใครผิดปกติ แล้วถามเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
จากเด็กผู้หญิงที่ไม่เหมือนกันเลยวันนั้น วันที่ต้องทำงานด้วยกัน PiXXiE แบ่งหน้าที่แต่ละคนยังไง
มาเบล : เราจะฟังเพลงแล้วดูว่าหน้าใครลอยขึ้นมา มีเพลงหนึ่งเป็นเพลงเกาหลีที่แรปหมดเลย ก็มีแต่หน้าพิมมา ๆๆ (หัวเราะ)
อิงโกะ : อันนั้นมันหนักเกินไปถ้าจะให้เขาแบกคนเดียว
มาเบล : ก็บอกว่า ฉันกับอิงโกะช่วยนะ แรปทีละนิด ๆ พยายามแรปให้ได้ถึงจะไม่ถนัด
พิมมา : ต้องพูดก่อนว่าจริง ๆ แล้วพวกเรา 3 คนไม่ได้แบ่งหน้าที่กันแบบ ถ้าเธอทำพาร์ตนี้ฉันจะไม่ยุ่งเลย พอเราซ้อมด้วยกันแล้วมันซึมซับกัน ถ้าวันหนึ่งเราขึ้นไปโชว์แล้วเพื่อนลืมท่อน จะมีอีก 2 คนที่เสียบแทนได้ทันที
ตอนได้ร้องเพลงบนเวทีด้วยกันครั้งแรกรู้สึกยังไง
อิงโกะ : ตื่นเต้น แถมความกดดันแฝงเข้ามาด้วย
พิมมา : แปลกมาก เราตื่นเต้นแล้วจะเต้นเบา พวกหนูกลับไปย้อนดูช่วงแรก ๆ หนูเต้นกันเบามาก แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าแรงและเหนื่อยมาก
พิมมา : ด้วยความที่เมื่อก่อนพวกหนูไม่ใช่สายเอนเตอร์เทน เวลาไปออกงานนี่ต้องเขียนสคริปต์ จากเพลงนี้ต้องพูดอะไรบ้าง แกพูดประโยคนี้ ฉันพูดอันนี้ น้องพูดต่อ ถ้าช็อตไมค์ก็ ไปฟังเพลงต่อไปกันเลยค่ะ (หัวเราะ)
มาเบล : ใช้เวลานานเหมือนกันนะ จริง ๆ มันคือช่วงนี้แหละที่พัฒนาขึ้น เหมือนต้องสะสมประสบการณ์จริง ๆ
นอกจากสคริปต์ มีอะไรที่ PiXXiE ในวัยนั้นมี แต่วันนี้ไม่มีแล้ว
(นิ่งคิด)
พิมมา : เราไม่ประหม่าอีกแล้ว ตอนทำงานติดกันเยอะ ๆ เราเผลอใช้ระบบ Autopilot เราพยายามกระตุ้นกันตลอดว่า วันนี้ต้องสู้นะ เราอาจจะโชว์นี้มาแล้ว 10 ครั้ง แต่ว่าคนที่ดูวันนี้เพิ่งเคยมาดูเราครั้งแรก ต้องทำทุกวันให้เหมือนวันแรกตลอด
พวกหนูจะแบ่งชัดเจน หลังเวทีจะ โอ้ยยย (ทำท่าหงายหลัง) แต่พอขึ้นเวทีจะ (ตบมือ) เปลี่ยนเลย แล้วลงเวทีมาก็ (ทำท่าหงายหลังอีกที)
มีส่งรหัสลับบนเวทีไหม
มี (ตอบพร้อมกัน)
อิงโกะ : ใช้การยิ้ม ยิ้มปกติจะแบบหนึ่ง แต่ถ้ายิ้มขอความช่วยเหลือจะมีตาแบบ (ขยิบตา)
Come with me where dreams are born and time is never planned.
เห็นคลิป PiXXiE ไปเล่นร้านกลางคืนเป็นไวรัลบ่อย ๆ ซึ่งเกิร์ลกรุ๊ปกับร้านกลางคืนดูเป็นภาพหายากมากเลยนะ
มาเบล : หนูชอบนะ เราชอบร้องเพลงกับวงดนตรีกันอยู่แล้ว พอยิ่งอยู่ในร้านกลางคืน แสง สี ทุกอย่างทำให้เรามีความสุขตอนได้โชว์ หนูไม่รู้ว่าคนนอกมองยังไง แต่สำหรับพวกเราแฮปปี้มาก
อิงโกะ : ไม่ได้มีความคิดว่าทำไมต้องไปเล่นร้านกลางคืน มันก็คืออาชีพเรา
พิมมา : มันช่วยผลักดันเพลงไทยกับวงการเกิร์ลกรุ๊ปด้วยนะคะ หลาย ๆ คนตาม PiXXiE จากร้านกลางคืนด้วยซ้ำ เช่น วันนั้นหนูไปเจอพี่มาจากร้านนี้ ๆ เลยตามมาที่อีเวนต์ด้วย ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น
หนูไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้เกิร์ลกรุ๊ปต้องเล่นแค่งานอีเวนต์อย่างเดียวไหม แต่การที่เราได้มาทำอะไรใหม่ ๆ ได้มาเล่นร้านกลางคืนซึ่งคนอื่นคิดว่าเล่นไม่ได้ เหมือนได้เปิดประสบการณ์ของตัวเอง และเปิดประสบการณ์คนที่มาร้านกลางคืนด้วย เขาก็อาจจะเปิดใจให้กับวงการ T-POP มากขึ้น
กดดันไหมกับการเป็นเกิร์ลกรุ๊ปวงแรก ๆ ที่มาเล่นร้านกลางคืน
มาเบล : เครียดค่ะ คาดหวังกับตัวเองว่าต้องทำให้ดี
มีงานหนึ่งช่วงแรก ๆ เหมือนหนูร้องแล้วเสียงแตก พอกลับมาหนูก็ร้องไห้ เพราะคาดหวังให้ตัวเองทำให้ดีที่สุด เขาจะชอบเราไหมถ้าเราเสียงแตกไปแล้ว แต่พี่ ๆ ก็บอกว่า ไม่เป็นไรเลย บางวันเสียงไม่พร้อม รอบหน้าก็เอาใหม่ ไม่เป็นไร
ฟีดแบ็กคนดูในร้านกลางคืนเป็นยังไง
พิมมา : แต่ละครั้งมีฟีดแบ็กต่างกันมาก ๆ เช่น บางร้านมีคนตั้งใจเพื่อไปดูเราจริง ๆ ไปเปิดโต๊ะดูเรา หรือบางทีเขาไม่ได้สนใจ ไม่ได้รู้จักเราด้วยซ้ำ
มีร้านที่พวกเราไปเล่น บอกว่า “สวัสดีค่าา พวกเรา PiXXiE ค่าา” เงียบ
“มีใครเป็นแฟนคลับ PiXXiE บ้างไหมคะ” เงียบ
แรก ๆ พวกเราก็นอยด์ เพราะเราซ้อมกันหนักมาก
จัดการความรู้สึกยังไง
มาเบล : คิดว่าเราทำให้ดีจนเขาอยากมารู้จักเราดีกว่า
พิมมา : ซึ่งทำให้เรามีภูมิคุ้มกันในการทำงานด้วยนะ พวกเราไม่เคยคิดว่าเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงแล้ว หรือไปไหนจะมีแค่คนที่รู้จักและชอบเรา มันเป็นข้อดีที่ทำให้เราโฟกัสอยู่กับเรื่องการทำงาน ตั้งใจทำงานในทุกวันค่ะ
อิงโกะ : พอเจอบ่อย ๆ ก็เหมือนที่พี่พิมบอก มันมีภูมิคุ้มกัน และไอ้ภูมิคุ้มกันนี้แหละทำให้เราเข้าใจ และปรับความคิดได้
รู้สึกยังไงที่มีแฟนคลับถือทั้งแท่งไฟ ถือทั้งแก้ว
อิงโกะ : ดีใจนะคะ เหมือนเราไม่ได้แค่พุ่งเป้าหมายไปที่คนกลุ่มเดียวเท่านั้น เราทำเพลงก็ต้องการให้ทุกคนได้ฟัง ได้รู้จัก ได้เห็นผลงานของเรา ยิ่งไปไกลเท่าไหร่พวกเราก็ยิ่งดีใจที่มีพื้นที่ให้ไปโชว์มากขึ้น อุตส่าห์ฝึกมาเยอะมาก
พิมมา : ดีใจเหมือนกันที่ได้มีโอกาสมาแสดงความสามารถของตัวเองที่ไม่ใช่แค่การแสดงเต็มรูปแบบบนเวที
แม้ประสบการณ์ต้องแลกมาด้วยความเหนื่อย ความรู้สึกแย่ แต่โอกาสที่ได้มาก็ทำให้เราเติบโตขึ้น เพราะต้องบอกตรง ๆ ว่าถ้าไม่ได้เล่นร้านกลางคืนเยอะขนาดนี้ ก็คงไม่ได้มีเวทีหรือว่าพื้นที่ให้เรามากพอในการพัฒนาตัวเอง
เวทีร้านกลางคืนกับ T-POP Stage Show อันไหนยากกว่ากัน
มาเบล : ยากกันคนละแบบ ร้านกลางคืนเราอิงคนดู T-POP Stage Show เราต้องอิงตัวเรา
อิงโกะ : เวลาแสดงบนเวที มีแต่กล้องอยู่ตรงหน้า ไม่มีคน เราก็ไม่รู้จะส่งสารนี้ไปให้ใคร
พิมมา : ความสนุกของร้านกลางคืนสำหรับพวกหนูคือเรามีปฏิสัมพันธ์กับคนดูได้ ถามได้ว่าพี่กินข้าวยังคะ
อิงโกะ : มันช่วยเรื่องการโต้ตอบของเรากับคนดูด้วย บางทีไปงานอีเวนต์เราเล่นไม่ได้เยอะขนาดนั้น เป็นการพูดคุยเป็นทางการมากกว่า แต่พอเป็นร้านกลางคืน เหมือนเราได้เอาความเป็นตัวเองให้เขาเห็นด้วย
พิมมา : เป็นเพราะว่าคนที่ไปร้านกลางคืนเขาไม่ได้คาดหวังมาก Perfomance ที่เต็มรูปแบบด้วยมั้งคะ เขาแค่คิดว่ามีนักร้องมา การที่เราเป็นแค่นักร้องคนหนึ่งในสายตาเขาก็เป็นโอกาสที่ทำให้เราได้เป็นตัวเอง ได้ขายอะไรใหม่ ๆ
ร้านกลางคืนส่วนใหญ่มีไว้ให้วงดนตรีสดวงใหญ่ ๆ เล่นกัน พื้นที่แบบนี้จะเหมาะให้เกิร์ลกรุ๊ปมาแสดงเหรอ
อิงโกะ : จริง ๆ เกิร์ลกรุ๊ปก็คือคนทั่ว ๆ ไปนี่แหละค่ะ เขาก็มีงาน อยากทำงานได้อย่างเต็มที่ให้คนเห็น จริงอยู่ที่ว่าร้านกลางคืนเอื้อพื้นที่ให้วงแบนด์เป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็เป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปอีกวงหนึ่งเหมือนกัน มีทีมแบ็กอัปอยู่ข้างหลัง เล่น ร้องสด แล้วก็เอนเตอร์เทนให้ทุก ๆ คนได้สนุกไม่ต่างกับพี่ ๆ วงอื่น
ได้ทักษะอะไรใหม่ ๆ จากร้านกลางคืนบ้าง
พิมมา : หนูว่าการเอนเตอร์เทนแล้วก็ความเป็นธรรมชาติ
มาเบล : เมื่อก่อนพูด มาเบลค่ะ พิมมาค่ะ อิงโกะค่ะ (เสียงหุ่นยนต์)
อิงโกะ : หลัง ๆ มาพวกเราพูดโดยไม่ต้องมีสคริปต์แล้วค่ะ พูดผิดพูดถูก เล่นมุกอะไรแป้กก็เอาใหม่
พิมมา : ไม่ว่าจะเป็นร้านกลางคืนหรืออีเวนต์ก็ตาม ทำให้พวกเราอยู่กับโชว์ อยู่กับคนดูมากขึ้น เราเลยไม่ได้กังวลว่า หึ้ย ฉันพูดผิดไปแล้วจะเป็นอะไรไหม
นอกจากร้านกลางคืนแล้ว คิดว่าจะไปตีตลาดร้านอะไรต่อ
พิมมา : หนูได้หมดเลย งานบวช งานบุญ รู้สึกว่าพวกเราพร้อมที่จะเปิดรับอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ดีใจทุกครั้งที่คนมาจ้างให้ไปทำอะไรใหม่ ๆ (หัวเราะ)
น่าสนุกนะถ้า PiXXiE ไปเล่นงานบวช
(ทั้ง 3 คนหัวเราะ)
มาเบล : ไปร้อง มูเตลู ก็ได้อยู่นะ หน้าฮ้านหนูก็ได้ หนูจะฝึกหน้าฮ้านเลย
Once you’re grown up, you can never come back.
ที่ผ่านมาเพลงของ PiXXiE ส่วนใหญ่ดูน่ารัก ฟังเพลิน ๆ เคยอยากออกไปทำสไตล์อื่น ๆ ไหม
พิมมา : ทำอยู่ตลอดนะคะ
มาเบล : เราพยายามทำ PiXXiE ให้ใหม่ที่สุด เพื่อไม่ให้คนเบื่อ เพื่อพัฒนาตัวเองด้วย อยากโตขึ้นทุกก้าวของการปล่อยเพลง
แนวไหนที่อยากลองทำ
พิมมา : ร็อก (หัวเราะ)
มาเบล : หนูชอบร็อกมาก จริง ๆ มีเพลง NOT BAD ที่จะร็อกหน่อย ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่เราอยากให้คนเห็นเพลงนี้นะ เราชอบสไตล์เพลง ชอบเวลาโชว์
พิมมา : มันสะใจอะ เป็นเพลงที่ก่อนปล่อย พวกเราแบบ (ตบมือ) มาแน่ เพลงนี้ 100 ล้าน น่าจะเป็นเพราะความชอบส่วนตัวด้วย ถึงจะไม่ได้ 100 ล้านอย่างที่คิด แต่พวกเรามีความสุขทุกครั้งที่แสดง ไม่ว่าโชว์นั้นเหนื่อยมาแค่ไหน แต่ว่าพอถึงเพลง NOT BAD จะรู้สึกว่า เพลงนี้แหละ
อิงโกะ : พวกเราชอบดนตรีที่หนัก ๆ ด้วยมั้งคะ พอเวลาร้องหรือไปแสดงจริง ๆ มันถึงใจ เต้นจนร้องต่อไม่ได้
มาเบล : PiXXiE ไม่ค่อยชอบเพลงหวาน ทั้งที่เพลงของเราส่วนมากเป็นเพลงหวานด้วยซ้ำ
แล้วจะสลัดคราบความเป็นสาวหวานได้ยังไง ในเมื่อคนติดภาพนั้นไปแล้ว
มาเบล : ก็ตอนโชว์นี่แหละค่ะ (หัวเราะ)
พิมมา : หลายคนมาเปลี่ยนใจตอนเห็นเราแสดงนี่แหละ คิดว่าจะแบ๊ว ๆ
มาเบล : ตัวหนูค่อนข้างร็อกนิดหนึ่ง (ทำท่าร็อก) เคยโดนเตือนว่า เห้ย มาเบลอย่าเหยียบมอ (นิเตอร์) นะ
พิมมา : มาเบลหัวอย่างงี้ (สะบัดหัว)
มาเบล : มันสนุกมากค่ะ ก็เลยอยากให้คนเห็นในพาร์ตนี้เหมือนกัน
แต่ละคนชอบเพลงร็อกขนาดนี้ PiXXiE ถูกฟอร์มให้เป็นวงน่ารักตั้งแต่แรกเลยรึเปล่า
อิงโกะ : จริง ๆ ไม่ได้วางให้น่ารักขนาดนั้น เราคุยกันเรื่องคอนเซปต์มากกว่า
พิมมา : เราอยากพูดถึงเรื่องอะไร ฟีล หรือว่าภาพมันตามมาทีหลัง ไม่เคยคุยกันเลยว่า PiXXiE จะต้องเป็นวงน่ารัก หวาน ๆ เขียนคาแรกเตอร์ไว้อีกแบบด้วยซ้ำ
ตอนนั้นเขียนกันไว้ว่ายังไง
มาเบล : จะมีให้กระดาษกันคนละแผ่นแล้วเขียนว่า ถ้าสมมติเราจะสร้างเด็กคนหนึ่งชื่อเด็กหญิง PiXXiE เราจะให้เขานิสัยยังไง เราคิดว่าอย่างแรกเลย คือแสบ ซน
พิมมา : ดื้อ มั่นใจ
มาเบล : คิดมาก ขี้น้อยใจ
พิมมา : แม้แต่ตอนเราปล่อยเพลงด้วยก็ตาม เราคิดคอนเซปต์ว่าเด็กคนนี้อยากจะพูดอะไร อย่าง มูเตลู เหมือนเด็กผู้หญิงที่มีความมั่นใจ หัวสมัยใหม่ อยากกำหนดพรหมลิขิตด้วยตนเอง ไม่ต้องรอให้ความรักเดินมาหา
มาเบล : มีหลายเพลงนะที่รู้สึกว่า PiXXiE จะไม่พูดเรื่องนี้ PiXXiE จะไม่อกหักขนาดนั้น เราไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ฟูมฟาย ถึงเศร้าแต่จะไม่อ่อนแอให้ใครเห็น
พิมมา : จริง ๆ เวลาที่เราจะปล่อยแต่ละเพลง มีตัวเลือกเข้ามาค่อนข้างเยอะ แต่พอทำออกมาแล้วรู้สึกว่าไม่เหมาะกับคาแรกเตอร์วงเราก็จะไม่ทำต่อ อย่างเพลงเศร้าที่สุดของเราก็ยังชื่อว่า ไม่ได้ก็ไม่เอา (Whatever)
อยากให้เด็กหญิง PiXXiE ที่ออกแบบไว้โตมาเป็นผู้ใหญ่แบบไหน
(นิ่งคิด)
พิมมา : ไม่เคยคิดว่า PiXXiE จะโตเป็นผู้ใหญ่เลยค่ะ
ทำไมล่ะ
พิมมา : เพราะการโตเป็นผู้ใหญ่ต้องสูญเสียคาแรกเตอร์สำคัญที่สุดของ PiXXiE ไป ซึ่งก็คือธรรมชาติของการเป็นเด็ก
ความเป็นเด็กในตัวของแต่ละคนที่คิดว่าคนอื่นยังไม่รู้มีอะไรบ้าง
พิมมา : พวกหนูไม่ยอมคนค่ะ เป็นเด็กดื้อมาก ๆ (ยิ้ม) ถ้ามีอะไรที่ไม่ถูกต้องจะต้องแก้ไข จะไม่ยอม ไม่มีก็ได้ เราจะสู้เพื่อความถูกต้อง
มาเบล : เป็นเด็กเอาเรื่องค่ะ แค่พาร์ตของการทำงานทำให้เราเป็นคนนิสัยแบบนั้นไม่ได้ แต่เราจะคุยกันก่อนว่า เราควรพูดไหม ถ้าพูดแล้วจะแย่ลงงั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าจะดีขึ้นสำหรับตัวเองด้วย ก็จะหาทางพูดให้ซอฟต์ลง คิดถึงความรู้สึกคนฟังด้วย ไม่ได้เอาแต่ใจขนาดนั้น
แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาเต็มที่เสมอเลยเหรอ
มาเบล : จะมีพาร์ตที่เราเอาออกมาในการทำงานไม่ได้ เช่น พาร์ตคิดมาก พาร์ตเหนื่อย พาร์ตเศร้า แต่เรื่องความเป็นตัวเอง ความขี้เล่น ความธรรมชาติ ความโก๊ะ ก็ยังเป็นอยู่
อิงโกะ : เราจะเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงานมันก็ดูแปลก ๆ
มาเบล : มีช่วงหนึ่งที่เราปรับจูนไม่ได้ เพราะเราโตขึ้นเร็วเกินจนความเด็กของเราหายไปตอนไหนไม่รู้ ทำให้เราจูนกับใครไม่ติด แบบไม่รู้ว่าเราต้องรู้สึกยังไง
เล่าให้ฟังหน่อย
พิมมา : ก่อนหน้านี้จะมีช่วงที่เรารับมือกับสิ่งที่เข้ามาไม่ได้ หรือสิ่งที่ต้องแสดงออกไป สมมติเราได้รับคอมเมนต์แย่ ๆ ทำไมเราถึงด่ากลับไปไม่ได้เหรอ ทั้งที่เขาก็พูดไม่ดีใส่เรา เราเด็กด้วย ยังไม่มีประสบการณ์ แต่ว่าโชคดีที่มีพี่ ๆ คอยบอกว่า สุดท้ายการที่เราด่ากลับไปก็ไม่จบ คนที่ดูแย่เป็นเราเอง แค่ต้องเรียนรู้แล้วจัดการกับความรู้สึกตัวเองให้ได้
การที่เรามาทำตรงนี้ก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ต้องแลกมาอยู่แล้ว แรก ๆ อาจจะยังไม่เข้าใจ ไม่คุ้นชิน แต่พอโตขึ้น เราผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาได้ ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ด้วยซ้ำ ไม่ได้รู้สึกว่าสูญเสียการเป็นตัวเอง แค่ต้องเลือกให้ได้ว่าอันนี้คือพาร์ตการทำงาน อันนี้คือพาร์ตส่วนตัว ไม่ได้หมายความว่าพวกเราเป็นแบบนี้แล้วพวกเราแสดง พวกเราเป็นตัวเองมาก ๆ จริง ๆ แค่ไม่ใช่ทุกมุมของเราที่ทุกคนจะอยากเห็น เราเลือกเสนออันที่ทุกคนแฮปปี้ แล้วเราก็แฮปปี้ที่จะเป็นมากกว่า
ถ้าสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่ต้องแลกไป อะไรคือสิ่งที่ได้กลับมา
พิมมา : โห เยอะมาก ประสบการณ์ ความรัก กำลังใจ พวกเราโชคดีมาก ๆ ที่ได้กระแสตอบรับดีมาก เกินความคาดหมายของพวกเราเลยด้วยซ้ำ โอเคมาก ๆ กับการที่เราแลกมาด้วยความเหนื่อย เราได้รับกำลังใจอยู่ตลอดเวลา มีแฟนคลับที่ต้องออกจากบ้านเช้า ๆ มาหาเราทั้งที่เรายังไม่ตื่นด้วยซ้ำ มันหักล้างกันได้หมดเลยกับสิ่งที่เราต้องแลกมาทั้งหมด เลยทำให้เรารักแฟนคลับมาก ๆ
อิงโกะ : เขาคอยเป็นกำลังใจให้ คอยใส่ใจเรา บางทีเขาเห็นว่าเราทำงานเยอะ เขาก็จะคอยทักมาถาม คอยพูดให้เรามีพลังมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้ทำงานกันอยู่แค่ 3 คนนะ ยังมีพวกเขาคอยให้กำลังใจ
มีวงรุ่นพี่ที่ PiXXiE มองเขาเป็นแบบอย่างไหม
(นิ่งคิดไปนาน)
มาเบล : หนูชอบ BLACKPINK ด้วยความที่เขาประสบความสำเร็จด้วยมั้งคะ เราเลยอยากเป็นแบบนั้น เราอยากเก่ง อยากขึ้นเวทีเดียวกับเขา ดูเพ้อฝันมาก
ถ้าฝันนั้นเกิดเป็นความจริงขึ้นมาล่ะ
อิงโกะ : ยิ่งเป็นฝันที่ไม่กล้าฝัน (หัวเราะ)
มาเบล : เวทีใหญ่ ๆ แต่ละเวทีที่ PiXXiE เติบโตขึ้นมา อย่าง Big Mountain Music Festival หรือว่า WATERBOMB ที่ Thunderdome Stadium เราไปอยู่บนเวทีเดียวกับศิลปินระดับโลกขนาดนั้นได้ก็ดีใจแล้ว ถ้าความฝันนั้นเป็นจริงคงทำให้เราเก่งขึ้นไปอีกเยอะแน่ ๆ
แล้วคิดว่าวันนี้ PiXXiE ดีพอที่จะเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นหรือยัง
พิมมา : มีหลาย ๆ คนบอกเราว่า พี่เป็นไอดอลหนูเลย ดีใจค่ะ ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน (หัวเราะ)
อิงโกะ : ใช่ บางทีเรายังไม่เชื่อในตัวเราเองเลย (หัวเราะ)
พิมมา : มันดี แต่คิดอีกรอบ อย่าเพิ่งมาบอก (หัวเราะ) แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเราอยากพัฒนาตัวเอง รู้สึกว่ามีคนคาดหวัง มีคนเห็นเราเป็นไอดอล ถ้าไอดอลของเขาเป็นอย่างงี้จะได้เหรอ เราต้องทำให้ดีขึ้นไปอีกสิ เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันที่ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้นมาก ๆ
คอนเสิร์ต ‘สนามเด็ก LIT Concert’ ที่กำลังจะเกิดขึ้น มีความพิเศษอะไรซ่อนอยู่บ้าง
พิมมา : เราจะได้เห็นความสามารถเจ๋ง ๆ ของศิลปินในค่ายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะทุกคนในค่าย LIT เก่งมาก ทั้งศิลปิน ทั้งทีม หนูตื่นเต้นมาก ๆ ที่จะได้ทำคอนเสิร์ตนี้ นี่แหละคือค่าย LIT และนี่แหละคือความสามารถของพวกเราที่ทุกคนจะได้เห็น
มาเบล : ตัวเราเห็นพวกเขาตั้งแต่เป็นเทรนนี เราเทรนมาด้วยกัน เรารู้ว่าคนนี้มันมีของ ของที่คนอื่นจะต้องเห็น ตัวเราก็ยังคาดหวังว่าอยากทำออกมาให้ดีที่สุด แล้วหนูก็เชื่อว่าทุกคนในค่ายก็คิดเหมือนกัน
อิงโกะ : โปรดักชัน แสง สี เสียง จะเป็นโชว์ในรูปแบบที่ทุกคนอาจจะไม่เคยได้เห็นจากงานอีเวนต์หรือตามร้านกลางคืนที่พวกเราเคยไปโชว์
PiXXiE มีส่วนร่วมอะไรกับคอนเสิร์ตในครั้งนี้ไหม
พิมมา : เราได้โจทย์ โอ๊ย ยังพูดไม่ได้น่ะสิ
มาเบล : ใช่ ตอนแรกฉันก็จะพูด
กระซิบนิดหนึ่ง
พิมมา : เอาเป็นว่ามีส่วนร่วมในการทำทุกพาร์ตเลย รวมถึงแขกรับเชิญด้วยที่อยากให้ทุกคนรอติดตาม เพราะว่าเราตั้งใจกันมาก อยากให้ทุกคนเปิดใจกันจริง ๆ จะไม่ทำให้ผิดหวังค่ะ (ยิ้ม)