ออกตัวก่อนว่า บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้อาจจะไม่ถูกใจ สสส. มากนัก เพราะเรื่องราวชีวิตของเขาอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของแอลกอฮอล์ ดั่งที่เขาเล่าไว้ตอนหนึ่งว่า 

“ผมพูดเสมอว่าถ้าผมไม่ได้ดื่มตั้งแต่ตอนนู้น ก็จะไม่มีผมในทุกวันนี้”

พิชญ์ กาไชย ในทุกวันนี้คือคนหนุ่มอายุ 33 ที่ควบหลายบทบาท มุ่งมั่นกับงานและไม่เคยลืมแบ่งเวลาไว้ให้กับความเพลิดเพลิน หลายแง่มุมในบทสนทนาช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ที่เรามีต่อเขา อย่างเรื่องความเอาจริงเอาจังทั้งการทำงานและการทำธุรกิจ และเรื่องในวัยเด็กที่เป็นหมุดหมายสำคัญในการก่อร่างสร้างวิธีคิดและทัศนคติ 

พิชญ์ กาไชย

ในบทสัมภาษณ์นี้ ผู้อ่านจะได้พบกับการดื่มของพิชญ์ ในหลายๆ โอกาส ตั้งแต่การดื่มที่พาเขาเดินเข้าวงการ จนถึงการดื่มที่ทำให้เขาได้ลงมือทำธุรกิจอีกมามายในเวลาต่อมาของชีวิต

แต่ก่อนหน้านั้นเราขอให้คุณลองตอบแบบทดสอบนี้ดูก่อน

ภาพของพิชญ์ กาไชย ที่คุณรับรู้เป็นแบบไหน

  1. นักร้องบอยแบนด์เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน
  2. แฟชั่นนิสต้าเจ้าของร้านสูทสไตล์วินเทจ
  3. พิธีกรรายการชื่อดังในโลกออนไลน์
  4. แชมป์รายการทำอาหาร
  5. นักดื่ม
  6. ถูกทุกข้อ

หากนี่เป็นข้อสอบ คงเป็นข้อสอบที่เดายาก เพราะคำตอบของแต่ละข้อดูไม่มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใด แต่ผู้อ่านคงพบเฉลยด้วยตัวเองได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะตัวอักษรด้านล่างนี้ คือบทสนทนาที่กลั่นและบ่มมากว่า 33 ปีของเขา ที่เราขอชวนคุณมาจิบชิมเพื่อค้นหาคำตอบในความเป็นเขาด้วยกัน

บรรลุนิติภาวะ

หลังจากจบ High School ที่สหรัฐอเมริกาแล้ว คุณตั้งใจจะทำอะไรต่อ

ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าต้องกลับไทย เราคิดในหัวตลอดว่าต้องหาคณะอะไรก็ได้ที่เรียนสบายที่สุด ซึ่งคิดว่าคณะสถาปัตยกรรมน่าจะเข้าท่า ก็เลยไปลงสมัครเรียนไว้ที่นิวยอร์ก แต่ระหว่างที่เรากลับมาซัมเมอร์ที่ไทย ได้ลองติว แล้วพบว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไม่ใช่แค่วาดรูปแล้วจบ มีการคำนวณอีกเยอะแยะมากมาย แต่ก็ยังไม่ได้ยอมแพ้นะ ยังอยากจะกลับไปลองเรียน แต่พอดีช่วงนั้นมีปัญหาเรื่องการจองหอพักและระบบค่าเทอมของมหาวิทยาลัย ทำให้ต้องตัดสินใจอยู่ไทยต่อแบบที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้เลย

คุณอยู่อเมริกามาหลายปี พอต้องกลับมาอยู่ไทยถาวรแบบไม่ทันตั้งตัว มีความรู้สึกเคว้งบ้างไหม

ก็ไม่นะ ทั้งที่ของทุกอย่างยังอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่นู่นอยู่เลย เรากลับมาไทย พกกระเป๋ามาแค่ใบเดียวเอง แต่แม่ก็บอกว่าช่างมัน ไปซื้อใหม่ทุกอย่างเลย เริ่มสตาร์ทใหม่ เหมือนเพิ่งเกิดเมืองไทยใหม่อีกรอบหนึ่ง

ตอนนั้นถึงวัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว พอกลับอเมริกาไม่ได้ ก็ต้องหาเรียนในไทย พอสถาปัตย์ไม่ใช่ทาง เลยมามองตัวเองใหม่ว่าเราทำอะไรเป็นบ้าง ก็พบว่าเล่นเปียโนเป็น เล่นได้ตั้งแต่เจ็ดขวบ เพราะโดนบังคับให้เรียน อ่านโน้ตได้ ทำได้ทุกอย่าง เลยตัดสินใจไปเรียนดนตรีดีกว่า

มหาวิทยาลัยที่มีชื่อด้านดนตรีตอนนั้นก็มีที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็เลยสมัครเข้าไป ซึ่งช่วงนั้นกินเหล้าเยอะมาก คืนก่อนสอบยังนั่งกินอยู่เลย พอตื่นเช้ามาไปสอบแล้วก็ไม่ผ่านเพราะว่าเบลอ เลยกลับมานั่งคิดใหม่ว่าเอาไงดี เลยหามหาวิทยาลัยใหม่ที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษและมีคณะดนตรีด้วย เลยไปจบที่ ABAC

การเลือกเรียนดนตรีของคุณมีแพสชันเข้ามาผสมอยู่ด้วยไหม

พิชญ์ กาไชย

ไม่มี เราเป็นคนที่หาอะไรทางลัดตลอด แต่ลัดแล้วต้องทำเงินได้ด้วยนะ ปรัชญาของเราเลยเป็นเรียนให้ง่าย หาเงินได้เยอะๆ เรียกว่าเป็นคนมีความขี้เกียจสูง ดนตรีเลยเป็นทางเลือกที่เรียนง่ายที่สุด เรียนจบได้เร็ว และอย่างน้อยถึงไม่มีแพสชันกับมัน แต่ดนตรีก็เป็นเรื่องสนุกสำหรับเรา 

สมัยเรียนผมใช้เวลาซ้อมประมาณสิบถึงสิบห้านาที ในเวลาว่างๆ ตอนเช้า แต่ก็ไม่ได้ถึงกับซ้อมวันละแปดชั่วโมงอย่างที่คนอื่นเขาว่าไว้ อันนั้นมันก็เกินไปสำหรับผม ผมอาศัยซ้อมเอาวันละนิดละหน่อยสะสมไปให้พอเล่นได้ เล่นผ่าน

โอกาสในการเป็นนักร้องให้กับวง C-Quint มาหาคุณได้อย่างไร

ช่วงเกือบปีที่เราว่างและรอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย อย่างที่บอกว่าช่วงนั้นเราเที่ยวเยอะ และได้รู้จักกับคนมากมาย จนครั้งหนึ่งเราได้ไปเจอกับคนที่ทำงานในค่ายเพลง ซึ่งเขาก็ไม่ใช่แผนกคัดเลือกคนอะไรนะ เป็นคนผู้ฝึกสอนให้ศิลปินมากกว่า ซึ่งต่อมาเขาก็ชวนให้เราไปออดิชันเอาไว้ ก็เลยลองดู ตอนนั้นจำได้ว่าร้องเพลงไปเพลงหนึ่งมั้ง แล้วก็กลับบ้าน ผ่านไปเป็นเดือน แล้วอยู่ๆ ก็มีคนโทรมาบอกว่าผ่าน พอขึ้นปีหนึ่งก็เลยได้เริ่มเทรนจริงๆ จังๆ

ฟังดูต้องใช้แรงกายและแรงใจ ไม่ค่อยเป็น ‘ทางลัด’ อย่างปรัชญาของคุณเลย

ตอนนั้นเริ่มรู้แล้วว่าคนส่วนใหญ่ที่จบคณะเราไปมักลงเอยที่การเป็นครูสอนดนตรี ไม่ก็นักดนตรี ที่ก็บอกตรงๆ ว่าสร้างรายได้ได้ไม่มากนัก แต่ตัวเราเองอยากมีรายได้มากกว่านั้น โชคดีที่เรามีทางเลือกที่สามคือการเป็นศิลปิน ซึ่งอย่างน้อยก็สร้างรายได้ให้กับเราพอสมควร จนทำให้ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่อีกเลย 

เอาเข้าจริงตอนนั้นเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย มันก็เหนื่อยนะ แต่เราก็ยังหาเวลาพักได้ตลอด เรียกง่ายๆ คือมีเวลากินเหล้าทุกวัน เพราะเราจัดแจงเวลาในชีวิตได้ค่อนข้างดี เราจะลงเรียนแบบไม่มีพักเที่ยง คือเรียนติดกันไปเลย ไม่ต้องกินข้าวก็ได้ เรียนให้เสร็จจะได้ออกจากมหาวิทยาลัยไปทำงาน อีกอย่างคือถ้าครูสั่งการบ้าน เราจะติดนิสัยทำให้เสร็จวันนั้นเลย เพราะกลัวลืม ซึ่งพอตอนเย็นพอทำเสร็จแล้ว ก็ไปนั่งชิลล์ต่อเลย ในช่วงนั้นทุกอย่างมันดีไปหมด ทั้งเรียน งาน และเที่ยวใช้ชีวิต

การเริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่วัยหนุ่มส่งอิทธิพลอะไรกับตัวคุณบ้างไหม

พิชญ์ กาไชย

มันทำให้เราได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเงินมากขึ้น คือสมัยก่อนผมเป็นคนที่ ‘ล้างบัญชี’ ตลอดเวลา เพราะเชื่อว่าถ้าไม่ใช้เงินตั้งแต่ตอนนี้จะไปใช้ตอนไหน ถ้ามีเงินต้องใช้ ซื้อนู่นนี่ไปเรื่อย จนกระทั่งช่วงอายุยี่สิบ ผมเริ่มฉุกคิดว่าอยากมีเงินเยอะกว่านี้ จะได้ใช้ให้มันมือกว่าเดิม ประกอบกับตอนนั้นแม่ให้ที่ดินมาแปลงหนึ่ง มูลค่าประมาณสามแสนกว่าบาท เราก็เลยเกิดโปรเจกต์ต่อยอด คือสร้างบ้านขึ้นมาบนที่ดินนั้นแล้วค่อยขายดีกว่า ตีว่าสร้างบ้านสักสองล้าน คงขายได้ราวๆ สี่ล้าน คิดได้แบบนี้ก็เลยเดินไปถอนตังค์มาสองล้านเอาไปสร้าง คือไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งที่จริงเอาที่ไปเข้าธนาคารก็ทำเรื่องกู้ให้ได้แล้วนะ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเย็น

โปรเจกต์นี้มันเลยเป็นธุรกิจที่เจ๊งอยู่จนถึงทุกวันนี้ ขายไม่ออก แล้วก็ไม่ขายแล้วด้วย เก็บไว้เป็นอนุสรณ์ว่าเคยทำธุรกิจเจ๊ง ตอนนั้นเลยต้องขยันทำงานกว่าเดิมไปโดยปริยาย

สมัยก่อนเคยถ่ายโฆษณาอะไรมาก่อน ทำให้เราชินเวลาไปไหนมาไหนแล้วมีคนมอง แล้วเราก็ยังถูกเทรนมาตั้งแต่เป็นศิลปินแล้ว ว่าอาชีพนี้มันจะต้องมีแฟนคลับคอยติดตามใกล้ชิด แต่ผมก็จะเป็นคนที่ ‘น้อย’ ที่สุดในวง คือจะไม่แบบ “มาเร็ว! มาเซลฟี่กัน เดี๋ยวพี่เซ็นนู่นนี่ให้” แต่เป็นแนว “อ๋อ มาถ่ายรูปใช่ไหมครับ ได้ครับ ขอบคุณครับ” แล้วก็เดินขึ้นรถไป 

ด้วยสไตล์แบบนี้ทำให้คุณมีแฟนคลับน้อยสุดในวงรึเปล่า

เออ ไม่ว่ะ คือแฟนคลับที่ชอบเราก็เยอะพอๆ กับคนอื่นๆ ในวง แต่คนที่มาเข้าหาผมอาจจะน้อยกว่าชาวบ้าน เพราะเขาคงเข้ามาแล้วไม่ค่อยได้อะไรกลับไป (หัวเราะ)

พิชญ์ กาไชย

หลังจากที่เรียนจบแล้ว คุณทำอะไรบ้างไหม นอกจากการเป็นศิลปินในวง C-Quint

ไม่ได้ทำอะไรเลย หลังจากที่ทำบ้านเจ๊งไปคือพอ เราก็เที่ยวทุกวัน กินเหล้า แต่จุดสำคัญคือตอนนั้นเรารู้สึกว่าไม่มีความสุขกับการไปคลับ เราชอบการนั่งดื่มที่ได้คุยมากกว่า เหมือนที่เรานั่งคุยกันแบบนี้ คุยได้ทั้งคืนยันเช้า

การดื่มเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณมาตลอด คุณค้นพบอะไรจากการดื่มบ้าง

ผมพูดเสมอว่าถ้าผมไม่ได้ดื่มตั้งแต่ตอนนู้น ก็จะไม่มีผมในทุกวันนี้ ทั้งเพื่อนฝูง มิตรสหาย และเพื่อนร่วมธุรกิจ เกิดจากวงเหล้าแทบทุกคน ผมได้งานจากวงเหล้าประจำ เพราะงั้นผมจะบอกว่าดื่มเหล้ามันได้อะไรอยู่แล้ว แต่ต้องดื่มในพื้นที่ที่พูดคุยและมีบทสนทนาได้ เวลาผมเจอผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ความรู้ ผมก็นั่งคุยและดูดความรู้จากเขาในวงเหล้านี่แหละ

แสดงว่าคุณเป็นนักดื่มที่ดี

ที่ดี เราไม่ได้ดื่มแบบยกหมดแก้วมาเป็นสิบปี เราจะถาม พูดคุย สลับกับชนแก้วบ้าง ซึ่งทำให้บรรยากาศการดื่มของเรามันคลอไปด้วยบทสนทนาและความรู้ที่เราดูดจากคนอื่น

แล้วความรักเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของคุณไหม

ไม่ ผมไม่ได้ยกเอาความรักแบบการมีคู่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต ความรักสำหรับผมคือการมีครอบครัว มีลูก ผมไม่ต้องมีแฟนก็ได้ ชีวิตผมสามารถมีลูกหนึ่งคน หมาหนึ่งตัว แล้วผมก็จะอยู่แบบนั้นไปจนตาย ผมต้องการมีลูก อยากมีถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้ให้กับใครสักคน

พิชญ์ กาไชย ศิลปิน นักธุรกิจ YouTuber ผู้ขับเคลื่อนชีวิตด้วยความอยากรู้และสิ่งใหม่ๆ

บรรลุวุฒิภาวะ

ช่วงที่อยู่ในวง คุณมองอนาคตของตัวเองเอาไว้แบบไหน

รู้ว่าบอยแบนด์จะมีวันหมดอายุของมันอยู่ แต่ไม่ได้คิดว่าพอแยกกันแล้วจะทำอะไรต่อ ช่วงนั้นเราก็เอ็นจอยกับชีวิต แต่พอวงหยุดจริงๆ รายได้ก็เริ่มร่อยหรอ พอผ่านไปได้สักปีสองปี อายุก็มากขึ้น 

ตอนนั้นปกติผมใช้กระเป๋าสตางค์ใบยาว แต่พอช่วงยี่สิบห้า ยี่สิบหก ก็เปลี่ยนมาใช้กระเป๋าตังใบสั้นแทน เพราะเรารู้สึกว่าถ้ากูจะเป็นผู้บริหาร กูต้องใช้กระเป๋าสตางค์ใบสั้น เนื่องจากชีวิตไม่เคยเห็นผู้บริหารคนไหนใช้กระเป๋าสตางค์ใบยาว นอกจากนี้ก็ต้องเลิกซื้อชุดสูทจากแบรนด์ธรรมดาๆ ได้แล้ว เราต้องไปตัดสูทเพื่อจะได้มีสูทเท่ๆ ใส่

ทำไมต้องเปลี่ยนกระเป๋าสตางค์และตัดสูทใหม่

เพราะคิดว่าเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดึงต่างหูออก ตัดสูท ใช้กระเป๋าสตางค์ใบสั้น แล้วบอกตัวเองว่าเรากำลังจะกลายเป็นผู้บริหารแล้ว เริ่มโตแล้ว จะยังทำตัวเด็กๆ ต่อไปไม่ได้

แต่พอไปตัดสูทเราดันเจอปัญหา คือสั่งเขาตัดยังไงก็ไม่ได้แบบที่เราอยากได้ ส่วนหนึ่งเพราะเราสื่อสารไม่ถูกด้วย เอาแต่รูปไปให้เขาดู ลองไปตัดมาสามเจ้า ไม่เหมือนแบบสักเจ้า เลยตัดเองดีกว่า นั่งรถไปสำเพ็ง ซื้อผ้ามาแล้วไปหาช่างตัด พอดีแม่มีช่างตัดกางเกงประจำอยู่ เลยโทรไปถามเขา

เมื่อไปถึงก็ให้เขาตัดผ้าแบ่งไป จากนั้นก็ถามเขาว่าช่างตัดสูทคนไหนที่เก่งสุดเท่าที่พี่รู้จัก เขาก็แนะนำมาให้สองคน ไปหาคนแรกเป็นป้าแก่ๆ ตัดออกมาแล้วเหมือนแบบทุกอย่าง แต่ Sizing ยังไม่ได้ ก็เลยไปหาคนที่สอง ซึ่งเป็นช่างที่เราใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ เป็นคนที่เข้าใจเราทุกอย่างและทำออกมาได้อย่างที่สั่ง

แต่พอทำจริงๆ มันก็ไม่ได้ตัดออกมาตามที่เราคิดแล้วสวยเลย มันผ่านการตัดทิ้งหลายสิบตัว ปรับไปทีละจุดจนออกมาเป็นสูทแบบที่เริ่มมีดีเทล ซึ่งก็เกิดจากกระบวนการทดลองของเรา จนสุดท้ายได้สูทออกมาตัวหนึ่ง เราก็เอาไปใส่อวดเพื่อนว่า เฮ้ย กูตัดสูทใส่เองนะเว้ย แล้วก็ค่อยๆ มีคนมาขอให้เราตัดให้เรื่อยๆ

ในปีแรกเราก็ซื้อผ้าที่สำเพ็งเหมือนเดิม ตัดแบ่งครึ่ง แล้วจ้างวินมอเตอร์ไซค์ไปส่งให้ช่างกางเกงครึ่งหนึ่ง ร้านเสื้ออีกครึ่ง มากกว่านั้นคือเริ่มให้ช่างสอนเรื่องการวัดสัดส่วน แล้วก็หาอ่านจากกูเกิล คือผมเป็นคนชอบอ่านเรื่องในอินเทอร์เน็ตมาก เรียนรู้ จำ และเอาไปสร้างสรรค์ต่อในงานของเรา

แปลว่าคุณเป็นเจ้าของแบรนด์สูทที่ไม่เคยเรียนแฟชั่นหรือตัดเย็บ

จะว่างั้นก็ได้ จริงๆ เคยไปเรียนตัดสูท แต่เรียนได้อยู่สองเดือนมั้ง วันหนึ่งเรานั่งดื่มอยู่แล้วก็คิดว่าเราจะไปเรียนตัดสูททำไมวะ เพราะว่าเรียนยังไงก็ไม่เก่งเท่าช่างที่ตัดมาสามสิบกว่าปีอยู่ดี สุดท้ายเราก็ใช้วิธีจิ้มแบบเอา เอาด้านในแบบนี้ ปรับไหล่ตรงนี้ลง ปกกว้างกี่นิ้ว อย่างเราชอบปกสี่นิ้ว เล็กว่านี้จะเหมือนสูทโมเดิร์น มันเลยเป็นการเรียนจากการทำจริงมาเรื่อยๆ 

ปีแรกผมตัดให้เพื่อนไปประมาณสามสิบกว่าตัว ทำทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เพราะแพลนไว้ว่าเราจะต้องเรียนรู้งานเองให้หมดก่อน เพื่อที่ปีที่สองเราจะได้มีผู้ช่วยและสั่งงานเขาได้ แถมถ้าวันหนึ่งเราขี้เกียจ ผู้ช่วยจะได้ด่าเราไม่ได้ว่างานเยอะ เพราะเรายังทำเองคนเดียวได้มาทั้งปี

คุณลงมือลุยเองขนาดนี้ การตัดสูทขายกลายมาเป็นความชอบของคุณหรือยัง

เราชอบแต่งตัว เลือกเสื้อผ้าอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่กับการมาเป็นผู้ผลิตตัดสูทขาย เรารู้สึกชอบเพราะมันได้เงิน กำไรต่อตัวอาจจะไม่เท่าไร แต่พอรวมๆ กันต่อปีมันก็ได้เป็นก้อนเหมือนกัน พอคนเริ่มมาตัดกับเรามากขึ้น ก็เลยต้องคิดชื่อแบรนด์ ซึ่งดีไซน์เนอร์ส่วนใหญ่เขาจะใช้ชื่อแบรนด์เป็นชื่อของตัวเอง แต่เราไม่ได้อยากใช้ชื่อตัวเองเพราะมันน่าจะแปลก ก็เลยใช้เป็นวันเกิดแทน จนได้มาเป็นแบรนด์ ‘612 SIXTWELVE’ เพราะเราเกิดวันที่ 12 มิถุนายน

หลังจากที่ได้ตัดสูทให้เพื่อนเยอะขึ้น คนเริ่มรู้จักแบรนด์ เริ่มเห็นสูทที่เราใส่เวลาที่เราไปงานต่างๆ ผมเคยไปงานแต่งงานหนึ่งแล้วเจอว่า หกสิบเปอร์เซ็นต์ของงานเป็นลูกค้าร้านผม ก็เป็นความรู้สึกที่ดีนะ

พิชญ์ กาไชย ศิลปิน นักธุรกิจ YouTuber ผู้ขับเคลื่อนชีวิตด้วยความอยากรู้และสิ่งใหม่ๆ
พิชญ์ กาไชย ศิลปิน นักธุรกิจ YouTuber ผู้ขับเคลื่อนชีวิตด้วยความอยากรู้และสิ่งใหม่ๆ

บรรลุธุรกิจภาวะ

ช่วงที่คุณทำร้านดูเหมือนจะหายหน้าไปจากวงการบันเทิงพอสมควร ตอนนั้นคุณทำอะไรบ้าง

ไม่ได้ทำอะไร ขึ้นเชียงใหม่บ่อยขึ้น จากเดิมที่ไปเดือนละครั้งเพราะครอบครัวมีบ้านอยู่ที่นั่น ก็เพิ่มเป็นเดือนละสองครั้ง แล้วก็ไปดูดความรู้จากคนโน้นคนนี้ ช่วงนั้นเวลาที่ผมได้เจอกับเพื่อนสมัยมัธยม ผมรู้สึกว่าเราเริ่มคุยกันคนละท็อปปิก ทำไมมันช้าจังเลยวะ แล้วก็พบว่าเขาวิ่งตามวัย แต่เราวิ่งเร็วกว่าเขาเยอะ เพราะเราต้องดูแลตัวเองเร็วกว่าเขา ได้เจอผู้ใหญ่ที่สอนเราเยอะกว่า

อะไรที่ทำให้คุณชอบจะไปดูดเอาความรู้จากคนอื่น

มันเริ่มจากตอนที่ได้รู้จักกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่ทุกวันนี้กลายมาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของผม ตอนนั้นอายุประมาณยี่สิบหก ผมได้เจอกับเขาที่เชียงใหม่ แล้วก็ได้นั่งกินเหล้ากัน ด้วยความที่เขามีความรู้เยอะ แล้วผมก็เป็นคนชอบเรียนรู้ ผมก็นั่งถามเขาไปเรื่อย ตั้งแต่พี่เก็บเงินยังไง จ่ายภาษียังไง พี่สร้างตึกแบบนี้ต้องขอเอกสารอะไรบ้าง คอนโดฯ กับโรงแรมต่างกันยังไง ฯลฯ คือถามแบบไม่กลัวเขารำคาญเลย แล้วจากนั้นเขาก็พาเราไปแนะนำกับเพื่อนนักธุรกิจคนอื่นๆ

แก่นความรู้ที่คุณไปดูดมาจากรุ่นพี่ของคุณคืออะไร

พอได้ถามและเรียนรู้จากเขามาเรื่อยๆ ผมก็เริ่มจับทางได้ คือเขาไม่ได้สอนเรื่องธุรกิจให้กับเราขนาดนั้น แต่เขาสอนวิธีการคิดมากกว่า เพราะการทำธุรกิจมันไม่ได้เกิดขึ้นจากการเห็นตัวเลข หรือมองเห็นโอกาสเท่านั้น เราต้องมีทัศนคติของคนที่ประสบความสำเร็จ มีวิธีคิดของนักธุรกิจที่ดีด้วย การไปคุยกับเขาและนักธุรกิจคนอื่นๆ ทำให้เราได้เห็นว่าพวกคนที่ประสบความสำเร็จเขาคิดกันยังไง 

เช่น เคยมีคนถามผมว่าจะทำงานเอาตังค์ไปทำอะไรเยอะแยะ อยากมีเงินเดือนเท่าไร ผมก็บอกว่าเดือนละสามแสนพอแล้ว ไม่ขออะไรเลย ใช้ได้สบายๆ เลย แต่จริงๆ มันไม่ใช่ เพราะความพอดีในการใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การที่เรามีเงินเยอะเกินไปมันไม่ได้สร้างอะไร คนมีเงินสิบล้าน ร้อยล้าน หรือพันล้าน ใช้เงินไม่ต่างกัน คนมีเงินสิบล้านเลี้ยงข้าวคนมีพันล้านได้เหมือนกัน อยากกินไรก็เลี้ยงได้หมด

เพราะฉะนั้น มันไม่เกี่ยวกับจำนวนเงินหรอก เป็นเรื่องของความสำเร็จและทัศคติที่ว่าใครมีความสุขในชีวิตมากกว่ากัน คุณมีหมื่นล้านแต่ยังวิ่งหาแสนล้านอยู่ เทียบกับคนที่มีร้อยล้าน แล้วไปใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขา มีทุกอย่างเป็นของตัวเอง มีโรงเรียนเล็กๆ ผมว่าความสุขของคนที่สองน่าจะมากกว่าคนที่มองหาแสนล้านเยอะเลย 

จากช่วงเวลาที่เราขึ้นไปเรียนรู้ที่เชียงใหม่บ่อยๆ คำว่าแพสชันก็เริ่มเกิดขึ้นมาในใจเรา เริ่มถามตัวเองว่าเราจะเป็นนักธุรกิจแบบไหนดี เช่น สมมติว่ามีคนมาชวนเราไปขายที่มาส์กหน้ากันไหม การันตีสิบล้าน จะทำไหม เราก็คิดว่าไม่ทำแล้ว เราเริ่มตัดสิ่งที่ไม่ใช่ออก แล้วเหลือแต่สิ่งที่เราคิดว่าสนใจจริงๆ

พิชญ์ กาไชย ศิลปิน นักธุรกิจ YouTuber ผู้ขับเคลื่อนชีวิตด้วยความอยากรู้และสิ่งใหม่ๆ

พอเกิดแพสชัน มุมมองที่คุณมีต่อธุรกิจเปลี่ยนไปไหม

มันทำให้เราเข้าใจมากขึ้น แต่เราก็จะโดนค้านโดยคนยุคเก่าอยู่เสมอ คือสมัยนี้มันมีคำว่า Passionpreneur เกิดขึ้น มันมาจากคำว่า Entrepreneur ที่ใช้เรียกผู้ประกอบการทั่วไปนี่แหละ ซึ่งสมัยนั้นเขาจะสอนกันว่า ให้ทำธุรกิจจากการหา Pain Point เขาไม่ได้เชื่อในการทำสิ่งที่รักหรือแพสชัน ซึ่งผมก็เคยเถียงกันในวงเหล้านะว่าแบบไหนมันเวิร์กกว่ากัน

แต่ผมก็จะชอบมีทฤษฎีของตัวเองว่า การทำธุรกิจแบบเริ่มจาก Pain Point แล้วต่อยอด บางทีพอมันเจ๊งมันจะเจ็บกว่า เพราะเราไม่ได้รักในสิ่งที่ทำ Pain Point มีคำว่า Painful ตามมาด้วยเสมอ อย่างผมถ้าร้านสูทเจ๊งผมก็ยังแฮปปี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราอยากทำและชอบ แต่บางทีถ้าทำตามหัวใจอย่างเดียวก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ของตลาด ถ้าอย่างนั้นเราก็เอามันมารวมกันซะเลย คือเอาแพสชันตั้งแล้วหา Pain Point ในเรื่องนั้นๆ

ล่าสุดเห็นคุณทำโครงการขายบ้านที่เชียงใหม่ อันนี้เป็นหนึ่งในแพสชันของคุณด้วยไหม

ใช่ มันมาจากเราเป็นคนสนุกกับการแต่งบ้าน ชอบไปเดินเจเจหรือร้านขายเฟอร์นิเจอร์ พอมีคนมาชวนแล้วเราเห็นช่องทางก็เลยกระโดดเข้าไปทำ ซึ่งพอได้ลงมือก็รู้สึกว่ามันเป็นเช็กพอยต์อีกอันของแพสชันเรา คอนเซปต์โครงการ The Wolf House คือบ้านพักตากอากาศสำหรับวัยรุ่น ซึ่งพลิกวิธีคิดแบบเดิมๆ ว่า คนมีสตางค์ที่ซื้อบ้านตากอากาศได้จะต้องมีแต่คนแก่ เราเลยใส่อะไรแปลกๆ มันๆ ลงไปในบ้าน เช่น ลิฟต์ที่ใช้สำหรับรถยนต์ มีต้นไม้ใหญ่ๆ อยู่กลางบ้าน เป็นต้น

ระหว่างทางที่คุณหายไปทำธุรกิจ จู่ๆ คุณก็มีช่อง YouTube ที่โด่งดังขึ้นมาในชื่อ The Driver อะไรที่ทำให้คุณมาทำรายการนี้

ต้องย้อนกลับไปช่วงที่ยังเป็นนักร้องอยู่ ตอนนั้นผมสนิทกับเจ้าของช่องคนหนึ่งใน RS มีอยู่วันหนึ่งผมถามเขาว่า ถ้าผมอยากเป็นเจ้าของรายการเองบ้างจะทำได้ไหม เขาก็บอกว่าได้สิ เดี๋ยวสอนให้ จากนั้นเขาก็สอนวิธีขายรายการ หาสปอนเซอร์ และโครงสร้างการทำรายการให้เรา เราก็เอาไปลอง ตอนนั้นเลยได้มีรายการของตัวเองใน Yaak TV ซึ่งเป็นรายการพาไปเที่ยวตะลุยงานปาร์ตี้ของวัยรุ่น

ตัดภาพมาระหว่างที่ทำสูท ตอนนั้น พลอย หอวัง มาชวนทำรายการด้วยกัน เราก็บอกทำเลย ทำเป็น ตอนนั้นก็ได้ไปกินเหล้าแล้วก็เจอ พี่โอ๊ต ปราโมทย์ พอคุยกันก็เห็นเขาชอบเล่นมุข คุยกันถูกคอก็ได้เจอกันบ่อยขึ้น กินเหล้ากันบ่อยขึ้น เลยชวนเขามาทำรายการด้วยกัน

ตอนแรกกะให้พี่โอ๊ตมาเป็นพิธีกรนำเลย แล้วเราจะถอยไปเป็นเจ้าของรายการแทน ไม่จำเป็นต้องอยู่เบื้องหน้าแล้ว แต่พี่โอ๊ตไม่ยอม เขาบังคับให้เราขึ้นไปด้วย เราก็เออๆ ขึ้นไปเป็นเพื่อนสักสองเทปด้วยแล้วกัน แต่จากวันแรกจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ลงจากรถเลย (หัวเราะ)

พิชญ์ กาไชย ศิลปิน นักธุรกิจ YouTuber ผู้ขับเคลื่อนชีวิตด้วยความอยากรู้และสิ่งใหม่ๆ

รายการมันมีคอนเซปต์ยังไง

มันเป็นรายการที่ไม่มีสคริปต์ เราเลือกคนเอง และพูดคำหยาบได้ เราค้นพบว่ารายการสมัยใหม่ต้องเลิกมานั่ง “สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่รายการ…” มันมีแต่น้ำทั้งนั้นเลย เราเอาแต่เนื้อได้ไหม เปิดมาแล้วเข้าประเด็นไปเลย อย่างตอนแรกที่ทำกันสามคน เราก็ไม่นึกว่ามันจะเป็นสามคนที่มีเคมีลงตัวนะ ผมยังต้องพูดเยอะอยู่ แต่พอทำไปเรื่อยๆ พี่โอ๊ตเขาก็คุยเก่งอยู่แล้ว เราเลยวางตัวเองให้เงียบลง พูดน้อยๆ ให้พี่โอ๊ตกับพลอยเขาแกล้งกัน

สิ่งที่คุณทำทุกวันนี้ดูไม่ค่อยเกี่ยวข้องกัน อะไรที่ทำให้คุณไปได้ดีในหลายๆ เรื่องที่ทำอยู่

เพราะว่าเรามีความสุขในตอนที่ทำ เราเลยอยู่กับมันได้ทั้งวันทั้งคืน ซึ่งความสุขพวกนี้มันเกิดจากการที่เราได้สร้างสิ่งใหม่อยู่เสมอ ทุกๆ งานของเราไม่ว่าจะรายการ สูท หรือโครงการบ้าน มันเป็นโอกาสที่เราได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ 

ล่าสุดคุณมาทำกับข้าวจนได้แชมป์ MasterChef Celebrity Thailand

เริ่มหัดทำอาหารจาก YouTube ซึ่งการเรียนจากอินเทอร์เน็ตทำให้เราทำเป็นแต่ไม่เข้าใจ รู้ว่าต้องใส่อะไรก่อนหลัง แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องลำดับแบบนั้น จนพอเราแข่งและจริงจังมากขึ้นเลยไปขอให้เพื่อนที่เป็นเชฟมาช่วยติว คือเอาความรู้ที่เรามีอยู่มาทำให้มีเหตุผล ทำไมต้องใส่หอมใหญ่ลงไปผัดก่อน ทำไมผัดเสร็จแล้วต้องใส่ไวน์ตาม สอนจนเราเข้าใจโครงสร้างของมัน ซึ่งคำว่าโครงสร้างนี่สำคัญ เพราะทำให้เราปรับไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้ ทุกวันนี้ถ้าหากมีของมาวางตรงหน้าสิบอย่างแล้วให้ผมเอาไปประกอบเป็นเมนูผมก็ทำได้

ทุกวันนี้ก็เลยกำลังจะเปิดร้านอาหาร ซึ่งเป็นแพสชันอย่างสุดท้ายของผม

เมนูไหนที่คุณมั่นมือสุด

เนื้อครับ ทุกอย่างที่ใช้เนื้อวัวทำ

เรานั่งคุยกันมาตั้งนาน คุณดูเป็นคนเอาจริงเอาจังกับชีวิตมาก ทำไมคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้รับรู้มุมนี้ของคุณ

ไม่รู้สิ มันไม่มีทางที่เราจะทำให้เขาเห็นได้ จะให้มานั่งเขียนโควทลงในไอจีก็ไม่ใช่ คนใกล้ตัวจะรู้มากกว่า เช่น จะรู้กันว่าถ้าอยากคุยงานไปคุยกับไอ้พิชญ์เลย เรื่องเงิน เรื่องธุรกิจ มานั่งกินเหล้าคุยกันได้เลย

คุณชอบดื่ม แก่ตัวลงแล้วคุณดื่มได้น้อยลงไหม

เดี๋ยวนี้จะกินเหล้าทีต้องดูคิวเอา เพราะมันจะเหนื่อย แฮงก์ไปสองสามวัน ทั้งที่สมัยก่อนเราโหมกินติดกันเป็นเดือนเป็นปียังไม่เป็นไร

พิชญ์ กาไชย ศิลปิน นักธุรกิจ YouTuber ผู้ขับเคลื่อนชีวิตด้วยความอยากรู้และสิ่งใหม่ๆ

Writer

Avatar

คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์

นักเขียนอิสระ ที่กำลังลองทำงานหลายๆ แบบ ชอบลี้คิมฮวง ต้นไม้ เพลงแก่ๆ มีความฝันอยากทำฟาร์มออร์แกนิก และล่าสุดเขียนจดหมายสะสมลงในเพจ In the Letter

Photographer

Avatar

ปฏิพล รัชตอาภา

ช่างภาพอิสระที่สนใจอาหาร วัฒนธรรมและศิลปะร่วมสมัย มีความฝันว่าอยากทำงานศิลปะเล็กๆ ไปเรื่อยๆ