หากเข้ากูเกิล พิมพ์คำว่า ‘แพทตี้ อังศุมาลิน’ แล้วกดค้นหา เราจะแต่พบข่าวความรักของเธอเป็นส่วนใหญ่ ทั้งที่ความจริงเราต่างก็รู้ว่าคนคนหนึ่งมีหลายมิติ

ล่าสุดเธอคือหนึ่งในนักแสดงนำละครเรื่อง เงา และเรามีโอกาสพบเจอกันระหว่างเธอรอเข้ารายการ แฉ ผมจึงถือโอกาสชวนคุยกันถึงเรื่องอื่นๆ ที่เสิร์ชหาด้วยกูเกิลอาจจะไม่เจอ แต่ต้องค้นจากเธอเอง

แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา ในวัย 27 ทุกข์สุขกับเรื่องอะไร ความคิดเปลี่ยนไปไหมจากวันแรกที่เข้าวงการ นอกจากความรักกับนักร้องหนุ่ม แดน-วรเวช ดานุวงศ์ มันยังมีแง่มุมไหนอีกไหมที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน

แพทตี้ อังศุมาลิน

“คือเราเป็นมนุษย์ มันก็ต้องมีบ้างที่…”

หญิงสาวเกริ่นอย่างนี้มากกว่า 1 ครั้ง ก่อนตอบคำถาม ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งต่างๆ ที่ชีวิตมนุษย์ต้องพบเจอ เธอก็ต้องผ่านมันให้ได้เหมือนคนอื่นๆ

และเท่าที่ฟังจากสิ่งที่เธอตอบ ผมรู้สึกว่าเธอรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาปะทะได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าปัญหานั้นจะยิบย่อยหรือใหญ่โต

“เราก็แค่รับรู้ว่าหน้าที่การงานเราเป็นแบบนี้ สิ่งที่ตามมาเป็นแบบนี้ ผลเป็นแบบนี้ สิ่งที่เราจะจัดการกับมันได้เป็นแบบนี้” นักแสดงสาวว่าอย่างนั้น

และจากการได้ฟังหลายๆ คำตอบ ทำให้ผมพบว่า นอกจากรอยยิ้มแสนสดใส ยังมีบางสิ่งในตัวเธอที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

แพทตี้ อังศุมาลิน

คุณเคยเอาชื่อตัวเองไปเสิร์ชในกูเกิลเล่นๆ ไหม

ไม่เคยเลยค่ะ

รู้สึกอย่างไรที่ข่าวของคุณมักเป็นเรื่องความรักมากกว่าเรื่องงานที่ทำ

แพทเข้าใจได้ บางทีคนอาจจะอยากรู้เรื่องส่วนตัวเราบ้าง มันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาสนใจกว่าสิ่งที่เราทำ ซึ่งไม่แปลกเลยค่ะ

เห็นรูปเก่าๆ ของคุณในกูเกิล รูปลักษณ์ภายนอกของคุณเปลี่ยนไปน้อยมาก จริงๆ แล้วคุณเปลี่ยนไปบ้างไหม

แพทว่าแพทเปลี่ยนเยอะมาก อย่างตอนเด็กๆ เราจะมีความงี่เง่า ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีบ้างแหละค่ะ เวลามีงานบางครั้งเราก็ไม่อยากทำ แต่เหมือนพอโตขึ้นก็ทำให้เรารู้ว่าสิ่งไหนควร ไม่ควร ทั้งเรื่องวิธีคิด วิธีจัดการกับชีวิต ทุกอย่างล้วนมีผลทำให้เราโตขึ้นเยอะมาก เราจัดการกับชีวิตได้ง่ายขึ้น หลายๆ อย่างที่ผ่านมาเป็นเหมือนบทเรียนให้กับเรา วันนี้แพทว่าแพทโตขึ้นมาก

พอโตขึ้นคุณมองวงการที่อยู่เปลี่ยนไปไหม

เปลี่ยนนะคะ ระยะเวลาผ่านมาขนาดนี้ หลักๆ ที่เห็นเลยคือด้านโซเชียลมันเปลี่ยนเร็วมาก แล้วก็มีอิทธิพลที่สูงมาก ทุกคนวันนี้ใช้โซเชียลฯ ใช้อินเทอร์เน็ต มีอะไรหรือรู้สึกอะไรก็พิมพ์บอกทันที

แพทตี้ อังศุมาลิน
แพทตี้ อังศุมาลิน

แล้วปกติคุณติดโซเชียลฯ หรือเปล่า

คิดว่าตัวเองไม่ติดนะคะ สมมติถ้าอยู่ในกองถ่ายส่วนใหญ่เราก็จะอยู่กับคนนั้นคนนี้ มีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมบ้างแต่ไม่ได้โซเชียลฯ ขนาดที่ต้องเปิดตลอดเวลา นานๆ แพทค่อยเปิดที ลงรูปก็ไม่ค่อยลง สองสามวันลงที อัพเดตบ้าง ไม่ให้ถึงกับหายไปเลย

ที่ไม่ถ่ายรูปตัวเองตลอดเวลาเพราะเห็นว่ามันไม่จำเป็น ไม่ชอบ หรือเพราะอะไรจึงไม่ทำ

ตั้งแต่เด็กๆ เราไม่ได้มาสายนี้อยู่แล้ว แพทเป็นเด็กสายออกกำลังกาย เป็นเด็กอยู่สโมสร วันๆ ก็ออกกำลังกายกับที่บ้าน มันก็เลยอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราจะต้องมาถ่ายรูปตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้ที่เราทำก็เพราะเรามีแฟนคลับที่ติดตามเราอยู่ คือเขาก็รู้สึกว่าเขาคิดถึงเรา เขาอยากเห็นเรา บางทีหายไปนานๆ คนเขาก็จะถามว่าเป็นยังไงบ้าง ทำอะไรอยู่ เราก็ลงรูปเพื่อให้เขารับรู้ว่าเรายังอยู่นะ เรามีอัพเดตให้เขาเห็น เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้มองว่าสิ่งที่เราทำเรามันคือการทำเพื่อโชว์หรือทำเพื่ออะไรในเชิงนั้น

ในฐานะเน็ตไอดอลยุคแรกๆ แพทตี้มองคำว่าเน็ตไอดอลยังไง

แพทมองว่าก็เหมือนเป็นคนที่ทุกคนให้ความสำคัญในโลกออนไลน์ เป็นแบบอย่าง เป็นตัวอย่าง แต่ตัวอย่างดีหรือไม่ดีก็แยกกันไป

การแบกรับคำว่าเน็ตไอดอลในตอนนั้นมันทำให้แพทตี้ใช้ชีวิตยากกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันไหม

(นิ่งคิด) แพทไม่เคยแบกรับกับสิ่งเหล่านี้เลยค่ะ ก็แค่รับรู้ว่าเหมือนเราเป็นหนึ่งในเน็ตไอดอล แต่เราไม่ยึดติดกับสิ่งนั้นอยู่แล้ว ชีวิตเราก็ปกติ มันแค่เป็นภาพที่ทุกคนตีเอาไว้ ซึ่งเราก็รับไว้ว่าทุกคนรับรู้แบบนั้น เรารู้แล้วว่ามีหลายคนที่ชื่นชอบหรือติดตามเรา เห็นเราเป็นเน็ตไอดอล เราก็แค่ต้องพยายามทำทุกอย่างให้มันอยู่ในสิ่งที่ควร ไม่ทำอะไรที่ดูไม่เหมาะสม ก็แค่ระวังตรงนั้น

การเป็นเน็ตไอดอลทำให้เราสูญเสียอะไรไปบ้างไหม

หลักๆ เลยก็อาจจะเป็นเรื่องที่ความเป็นส่วนตัวที่หายไปเท่านั้นเอง แค่เวลาไปเดินห้างเราอาจจะไม่สามารถเดินอิสระได้ขนาดนั้น ทุกคนอาจจะหันมามองเราเป็นระยะๆ ซึ่งมันก็ต้องแลกกัน มันก็เป็นหน้าที่การงานของเรา มันก็ให้เงินเรา ให้รายได้ ให้สังคม

แพทตี้ อังศุมาลิน

สูญเสียความเป็นส่วนตัวแล้วโหยหาไหม

คือความเป็นมนุษย์มันก็มีโหยหาอยู่แล้วค่ะ ในมุมที่บางทีเราอยากจะเป็นตัวเราเองร้อยเปอร์เซ็นต์ สมมติวันนี้เราเกิดปวดท้องเมนส์มา เราอาจจะหน้ามุ่ย แล้วเราต้องไปเดินห้าง แต่ถ้าหน้ามุ่ยแล้วคนอื่นเห็น เขาจะรู้สึกมั้ยว่าทำไมคนนี้หยิ่งจัง เขาอาจจะตัดสินเราจากภาพแรกที่เขาเห็นโดยที่เขาไม่ได้รู้ว่าเราอาจจะมีเรื่องอะไรมาก่อนก็ได้ ซึ่งแพทมองว่าถ้าเราอยากจะมีเวลาส่วนตัว สิ่งเดียวที่ทำได้คือบินไปต่างประเทศ แค่นั้นเลยค่ะ

อึดอัดบ้างไหมกับชีวิตแบบนี้

เราก็แค่รับรู้ว่าหน้าที่การงานเราเป็นแบบนี้ สิ่งที่ตามมาเป็นแบบนี้ ผลเป็นแบบนี้ สิ่งที่เราจะจัดการกับมันได้เป็นแบบนี้ ก็แค่บินไปต่างประเทศ ไปที่ที่คนไทยไม่ค่อยไปหรือไปต่างจังหวัดก็ได้ หรือไปที่ไหนก็ได้ที่คนไม่รู้จักเรา แค่นั้นเราก็เป็นส่วนตัวแล้ว เราจะเดินมองหน้าคนไหนก็ได้ คือจริงๆ แพทเป็นคนชอบมองหน้าคนมากเลย เวลาแพทไปเมืองนอกมันเลยเหมือนเราได้ปลดปล่อยมั้ง แพทมองหน้าทุกคนเลย อ๋อ คนนี้หน้าตาเป็นแบบนี้ เดินดูคน แต่อยู่เมืองไทยเราจะมองแต่พื้นหรือไม่ก็มองเลยคนไปเลย เราจะทำได้แค่นี้ เราไม่กล้าสบตาคน เรากลัวว่าเขาจะมองยังไง

มันไม่ใช่ความทุกข์ใช่มั้ย

มันไม่ใช่ความทุกข์ มันแค่เป็นสิ่งที่เราต้องปรับตัวมากกว่า เพราะเราก็รู้ว่ามันเป็นงานของเรา

สิ่งนี้ทำให้คุณไม่อยากออกจากบ้านหรือเปล่า

ไม่ค่ะๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นแพทว่าไปทำงานอาชีพอื่นดีกว่า ถ้ามันจะทุกข์ขนาดนั้น

แพทตี้ อังศุมาลิน

ส่วนใหญ่คนมักติดภาพที่คุณดูสดใสตลอดเวลา จริงๆ คุณมีความทุกข์อะไรกับเขาบ้างไหม

มันก็มี (ลากเสียง) เราเป็นมนุษย์ มีอยู่แล้วเรื่องทุกข์สุข แต่ว่าบางทีเวลาเราทำงานเราก็อยากให้คนรอบข้างเขาแฮปปี้ มีความสุข ซึ่งสุดท้ายมันจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมันเกิดจากเราก่อน เราก็เลยพยายามยิ้มแย้ม พยายามมีความสุขก่อน

แพททำงานตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งปัญหาที่เข้ามามันก็ตามวัย ตามอายุ อายุช่วงนี้ก็จะเจอปัญหาแบบหนึ่ง พอเริ่มโตขึ้นทำงานเยอะขึ้นปัญหาก็จะใหญ่ขึ้น แต่ละสเต็ปก็ทำให้เราต้องคอยปรับว่าเจออย่างนี้ครั้งหน้าเราต้องทำยังไง ให้ไม่เจอแบบนั้นอีก หรือถ้าเจอเรามีวิธีการจัดการกับมันยังไง ทำยังไงให้เราจัดการสิ่งนั้นได้เร็วที่สุด มันจะได้ไม่ต้องมีความทุกข์นั้นอยู่ติดตัวตลอดเวลา

สมมติเจอเรื่องหนึ่งเข้ามา เราวิเคราะห์เลยว่าจะจัดการกับมันยังไงไล่ไปทีละสเต็ป สมมติเราวิเคราะห์ได้แล้วว่าสเต็ปหนึ่งทำอย่างนี้ สเต็ปสองทำอย่างนี้ สเต็ปสามทำอย่างนี้ พอเราเรียงแบบนี้แล้ว แค่นี้เราก็สบายใจแล้ว ไม่ต้องมานั่งคิดวนไปวนมาว่าทำไมเราต้องเจอเรื่องนี้ เราจะไม่เป็นแบบนั้น

ส่วนใหญ่ความทุกข์มาจากไหน โลกโซเชียลฯ หรือเปล่า

ไม่เลยค่ะ ความทุกข์แพทไม่ได้เกิดจากโลกโซเชียลฯ ความทุกข์ของแพทส่วนใหญ่จะเกิดจากคนรอบข้างมากกว่า อาจจะคนที่เรารัก ซึ่งบางทีในบางมุมเขาไม่เข้าใจเรา อันนี้ทำให้เรารู้สึกเป็นทุกข์ ส่วนคนอื่นที่ไม่ได้รู้ชีวิตเรา ไม่รู้จักเรา หรือในโลกโซเชียลฯ ที่เขามาว่าเราโน่นนี่นั่น แล้วเรารู้ตัวดีว่าเราทำอะไรอยู่ มันไม่ได้ทำให้เราเป็นทุกข์ได้เลย สิ่งที่ทำเราได้คือคนรอบข้างมากกว่า

การที่คนตัดสินคุณจากภาพที่เห็นภายนอกถือเป็นปัญหาในชีวิตไหม

มันอยู่ที่ว่าเราเก็บมาใส่ใจด้วยหรือเปล่า สมมติถ้าเราไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ทุกอย่างก็จบ ทุกอย่างจะไม่มีผลต่อเรา แต่ว่าถ้าเก็บมาใส่ใจ แพทว่ามันก็จะเป็นปัญหาหนึ่งเหมือนกัน ที่เราจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมคนนี้ต้องคิดอย่างนี้กับเรา ทำไม ทำไม ทำไม มันจะมีคำถามว่าทำไมเยอะมาก

แพทมองว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์มากๆ ที่ทุกคนเจอกันแวบแรกอาจจะชอบหน้าหรือไม่ชอบหน้า ถูกชะตาหรือไม่ถูกชะตา มันเป็นไปได้ทั้งหมด ซึ่งมุมแพท วิธีจัดการคือไม่ต้องสนใจเลย ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นคนยังไง ถ้ารู้ว่าสิ่งที่เราทำเราคิดดี ไม่ได้หวังประสงค์ร้ายกับคนอื่นจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัวอะไรเลยค่ะ ใครจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เดี๋ยวเราทำให้ดู แค่นั้นเอง

แพทตี้ อังศุมาลิน
แพทตี้ อังศุมาลิน

เวลาเจอคนพิมพ์ในสิ่งที่เราก็รู้ว่าไม่จริงในโลกโซเชียลฯ อยากไปตอบคอมเมนต์เถียงบ้างไหม

มันก็มีแหละ บางทีก็คิดว่า เฮ้ย เหรอ ใช่เหรอ แต่มันก็แค่ประมาณ 2 – 3 วินาที แล้วก็ช่างมัน

ปล่อยวาง

ใช่ค่ะ สุดท้ายแล้วจะทุกข์ไม่ทุกข์ก็อยู่ที่เราปล่อยวางได้มั้ย ทุกวันนี้เราทุกข์เพราะเราแบกมันไว้ เรายึดมันไว้ ถ้าเราปล่อยมันได้เมื่อไหร่เราก็ไม่ทุกข์ แค่นั้นเอง เป็นหลักง่ายๆ เลย

อะไรบอกสอนสิ่งนี้กับคุณ

หลายอย่างรวมกัน ระยะเวลา การที่เราผ่านชีวิตมา การที่เราเจอเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต ทุกอย่างมันสอนเราหมด แล้วอย่างแพทเองมีโอกาสได้เข้าวัดบ้าง ซึ่งมันก็มีส่วนช่วยด้วย

คนเราส่วนใหญ่เข้าวัดเพราะทุกข์ใช่มั้ย ทุกข์แล้วถึงจะเข้าวัด ทุกข์แล้วถึงจะพึ่งศาสนา เพื่อความสบายใจ แต่เราก็ต้องมองย้อนกลับไปด้วยว่าสิ่งที่เราทุกข์เกิดจากอะไร สมมติถ้าเกิดจากสิ่งนี้ เราลองจัดการมั้ย เราจัดการได้มั้ย ถ้าจัดการไม่ได้แล้วจะยังไง สุดท้ายถ้ามันไม่ได้จริงๆ ก็แค่ปล่อยวาง ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ปล่อยให้มันผ่านไป เท่านั้นเอง

อย่างที่คุณว่า คนเราส่วนใหญ่เข้าวัดเพราะทุกข์ แล้วแพทตี้เข้าวัดเพราะอะไร

แพทเข้าวัดเพื่อไปชำระล้างจิตใจ ในมุมที่เราอยู่ในโลกที่วุ่นวาย ทำงานเจอคน เจอปัญหา เจอคนเหวี่ยงใส่ รถติดคนก็บีบแตรใส่ ขับรถมาปาดหน้า แล้วทุกอย่างพอมันนานๆ เข้ามันก็หล่อหลอมให้เราลืมตัว เราอาจจะเริ่มอารมณ์ร้อนมากขึ้น บางทีเราใช้อารมณ์มากกว่าสติที่เรามี การเข้าวัดของแพทก็เหมือนเราไปชำระล้างสิ่งเหล่านี้ออกไป

พวกความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ที่มันอยู่ในหัว มันเหมือนน้ำที่ทิ้งไว้นานๆ แล้วก็มีตะกอนเต็มไปหมด พอเราเข้าวัดมันก็เหมือนได้เอาสารส้มไปแกว่งให้มันใส ล้างข้างในมันเท่านั้น

บางทีเราก็นอนไม่หลับเพราะมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ฟุ้งซ่านเข้ามาเต็มเลย การไปเข้าวัดเหมือนเราได้ล้างมันออกไป เราไปรีเฟรชตัวเองด้วยการไปอยู่สภาพแวดล้อมที่ดี มันทำให้เราใจเย็นลง มันคือการดึงสติให้เราอยู่กับตัวเอง แล้วในชีวิตเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น ถ้าคุณมีสติ คุณจะสามารถทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางอย่างที่มันควรจะเป็น

แพทตี้ อังศุมาลิน

Writer

Avatar

จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์

อดีตบรรณาธิการบทสัมภาษณ์ The Cloud และเจ้าของนามปากกา jirabell เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่มชื่อ เราไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่คนเดียว, ความทรงจำอยู่ที่ไหน ความคิดถึงอยู่ที่นั่น, Lonely Land ดินแดนเดียวดาย, The Fairy Tale of Underfox และ รักเขาเท่าทะเล

Photographer

Avatar

ธีรพันธ์ ลีลาวรรณสุข

ช่างภาพ นักออกแบบกราฟิก นัก(หัด)เขียน โปรดิวเซอร์และผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ และอื่นๆอีกมากมายแล้วแต่ว่าไปเจออะไรน่าทำ IG : cteerapan