ก่อนหน้านี้ The Cloud เคยเล่าเรื่องราวของ บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเครือ โคคา-โคล่า ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ในคอลัมน์ People Passion ว่าด้วยสวัสดิการที่ใส่ใจพนักงานไปจนถึงช่วงเกษียณอายุ
แต่หากย้อนกลับไปถึงจุดตั้งต้นของเรื่องราวน่าประทับใจ คือวิสัยทัศน์และแก่นหลักการทำงาน ‘สังคมอยู่ได้ ธุรกิจก็อยู่ได้’ ที่ส่งต่อมากว่า 55 ปี นับตั้งแต่ผู้บริหารรุ่นแรก จนถึง ดอลลาร์-พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันของ บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน)
ฉะนั้น เราจึงเห็นโครงการเพื่อสังคมจากหาดทิพย์มากมาย เริ่มต้นจากโรงงานผลิตเครื่องดื่มที่มุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด หรือการส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนขึ้น โดยเฉพาะการใช้บรรจุภัณฑ์ขวดแก้วเพื่อลดการพึ่งพาบรรจุภัณฑ์พลาสติก การลดปริมาณและน้ำหนักของบรรจุภัณฑ์พลาสติก รวมถึงการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติก PET รีไซเคิล (rPET) โครงการที่ช่วยจัดการบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล และขยายต่อไปถึงความตั้งใจที่จะช่วยเหลือดูแลสังคม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยอาสาช่วยเหลือน้ำท่วม ไปจนถึงกองทุนสนับสนุนเจ้าหน้าที่เวรเปลผู้ทำหน้าที่รับ-ส่งผู้ป่วย โดยโครงการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แต่มาจากความเข้าใจปัญหาหน้างานในฐานะคนในพื้นที่ และค่อย ๆ พัฒนาจนฝังรากลึกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรที่ว่า ‘หาดทิพย์ เคียงข้างชาวใต้’
เขามีวิธีบริหารจัดการอย่างไรให้เกิดสมดุลระหว่างธุรกิจกับโครงการเพื่อสังคม เรื่องราวต่อไปนี้คือคำตอบ

จากทหารสู่นักธุรกิจ
แม้ดอลลาร์จะเติบโตมากับหาดทิพย์ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว แต่เขาไม่เคยอยากเป็นนักธุรกิจ หลังเรียนจบเขาเริ่มรับราชการทหารเรื่อยมา เพราะชอบความตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
จนกระทั่งเขาต้องเข้ามารับช่วงดูแลกิจการต่อจากคุณพ่อ (ร้อยตรี ไพโรจน์ รัตตกุล) ดอลลาร์จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ เปลี่ยนบทบาทสู่ผู้บริหาร ซึ่งหากมองในภาพรวม เขามองว่าทักษะ 2 อย่างนี้มีบางจุดที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะการบริหารทรัพยากรและเวลาให้คุ้มค่า รวมทั้งการสื่อสารให้บุคลากรมองไปในทิศทางเดียวกัน บวกกับก่อนหน้านี้เขาพอจะมีประสบการณ์จากการเข้ามาช่วยคุณพ่อทำงานในบริษัทเป็นครั้งคราว จึงไม่ค่อยมีเรื่องใหญ่ ๆ ที่ต้องปรับตัวมากนัก

นอกจากเรื่องงานแล้ว หลายคนอาจจดจำเขาในฐานะสามีผู้รักและดูแลภรรยา คุณหญิงบัว (หรือที่หลายคนคุ้นชื่อเดิมว่า คุณหญิงแมงมุม-ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล รัตตกุล) อย่างดี ฉะนั้น การเป็นผู้บริหารที่ต้องดูแลทั้งพนักงาน ชุมชน และครอบครัว จึงเป็นภารกิจใหญ่ที่น่าเรียนรู้วิชาจากกัปตันทีมคนนี้
ซึ่งดอลลาร์ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ในเรื่องของ Work-life Balance นั้น การมีทีมที่ดีช่วยให้บริหารจัดการชีวิตได้ดีขึ้น
“ผมโชคดีเพราะมีทีมที่เข้าใจเราและเป็นทีมที่แข็งแรง ทุกอย่างจึงอยู่ในระดับที่จัดการไหว
“ผมชอบทํางานเป็นทีมนะ เพราะเชื่อว่าไม่มีใครรู้ทุกเรื่องหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผมเอง เราจึงต้องรู้ว่าเราไม่รู้เรื่องอะไร เพื่อหาทีมที่มีความสามารถมาเติมเต็มตรงนั้น ผมชอบการทำงานกับคนที่หลากหลายและกล้าแสดงความคิดเห็น คุยกันด้วยเหตุผล แล้วตัดสินใจร่วมกัน เป็นทีมที่พร้อมจะสำเร็จด้วยกัน หรือถ้าผิดพลาดก็ผิดพลาดไปด้วยกัน
“ผมชอบฟังคนอื่น จะทําตามหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ต้องฟัง เพราะบางทีอาจได้ความคิดดี ๆ จากเพื่อนร่วมงาน ผมมองทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงาน ทุกคนเป็นสมาชิกในทีมที่ทำงานร่วมกันเพื่อภารกิจของบริษัท ผมคิดว่าผู้นําที่ดีควรเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังแล้วเอามาคิด คิดแล้วตัดสินใจ เมื่อตัดสินใจแล้วทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพียงแต่คนที่รับผิดชอบหลักคือตัวผมเอง นี่คือสไตล์การทำงานของผม”

ดูแลบ้านหลังที่ 2
“อยากให้เขายังคิดเสมอว่า ที่นี่คือบ้านหลังที่ 2” ดอลลาร์เอ่ยถึงความตั้งใจ เมื่อเราถามถึงการทำงานที่หาดทิพย์
“เขาทุ่มเทให้เรามาตลอด ไม่ใช่ว่าพออายุถึง 60 ปีแล้วจบกันไป เพราะในชีวิตการทํางาน เราอยู่ที่ทํางานแทบจะมากกว่าที่บ้าน ผมอยากให้เขายังคิดเสมอว่าที่นี่คือบ้านหลังที่ 2 เมื่อเกษียณไปแล้ว หวังว่าถ้ามีอะไรก็มาบอกกล่าวกัน ช่วยเหลืออะไรได้เราก็จะช่วย เราอยากให้เกิดสังคมแบบนี้”
นอกจากการดูแลคน หาดทิพย์ยังให้ความสำคัญกับการดูแลสภาพแวดล้อมและบริหารจัดการทรัพยากรในโรงงานพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
“เราไม่ค่อยเหมือนโรงงานที่เป็นตึก ๆ เพราะโรงงานหาดทิพย์ที่พุนพินมีต้นไม้เยอะมาก การตัดต้นไม้แม้แต่ 1 ต้นถือเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องต้องมาถึงผม แม้แต่กิ่งเดียวก็ไม่ยอมถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เพราะเราเสียดายต้นไม้
“ถ้าไปดูที่โรงงานพุนพินและบริเวณรอบ ๆ คุณจะเห็นทั้งสวนยาง สวนปาล์ม ม้า นกกระยาง เหยี่ยว แสดงว่าธรรมชาติที่นั่นสมบูรณ์มาก เราพยายามรักษาไว้ ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่มันดีต่อใจและความรู้สึกของพนักงานด้วย”


ส่วนการบริหารจัดการทรัพยากรของหาดทิพย์ยังคงเป็นไปตามมาตรฐานระดับโลกของโคคา-โคล่า ทั้งโครงการสนับสนุนการขนย้ายวัสดุรีไซเคิลรวมถึงบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วออกจากเกาะในพื้นที่ภาคใต้ และการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ยั่งยืนด้วยการเพิ่มไลน์ผลิตขวดแก้วแบบคืนขวดที่นำกลับมาใช้ได้ใหม่ และลังบรรจุขวดก็ต้องเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ที่ช่วยป้องกันการกระแทกและลดรอยขีดข่วนได้ตลอดทั้งขวดซึ่งจะช่วยให้ขวดแก้วเหล่านี้นำกลับมาใช้งานได้นานมากยิ่งขึ้น ฉลากของขวดแก้วหาดทิพย์ก็เลือกใช้เป็นกระดาษเพราะย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
ในฐานะโรงงานผลิตเครื่องดื่ม น้ำคือทรัพยากรสำคัญที่สุด โรงงานหาดทิพย์หมุนเวียนน้ำในกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่เพื่อการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างคุ้มค่าที่สุด และคืนน้ำสะอาดที่ผ่านการบำบัดที่ได้มาตรฐานกลับสู่ชุมชนและธรรมชาติ ด้วยระบบบำบัดน้ำแบบบ่อปรับเสถียรบนพื้นที่ 26 ไร่ที่รักษาความสมดุลของระบบนิเวศไว้อย่างดี จนมีสัตว์ต่าง ๆ แวะเวียนมาอาศัยพักพิงอยู่เสมอ ส่วนพลังงานไฟฟ้าในกระบวนการผลิตประมาณ 25% ก็มาจากแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาอาคารผลิตและแผงโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ รวมมากกว่า 10,000 แผง


เมื่อเข้าถึง จึงเข้าใจ
เมื่อบ้านหลังที่ 2 แข็งแรงแล้ว ขั้นต่อมาคือการช่วยเหลือ ‘เพื่อนบ้าน’ โดยเฉพาะ 14 จังหวัดในภาคใต้ พื้นที่ที่หาดทิพย์ทำธุรกิจอยู่
เพราะหากคนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีกำลังจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ธุรกิจก็มีโอกาสเติบโตต่อไปได้เช่นกัน ฉะนั้น โครงการช่วยเหลือสังคมของหาดทิพย์จึงเกิดขึ้นมาจากปัญหาจริงในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น
หนึ่ง การประสบอุทกภัยในภาคใต้ที่เกิดซ้ำทุกปี ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนท้องถิ่นก็เป็นหนึ่งในผู้ประสบภัย หาดทิพย์จึงตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยขึ้นมา โดยระดมอาสาสมัครพนักงาน จัดเตรียมพาหนะ เช่น รถขนส่ง เรือเจ็ตสกี และเรือท้องแบน เพื่อลำเลียงถุงยังชีพ น้ำดื่ม สิ่งของจำเป็นไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน และทำอย่างต่อเนื่องจนหลายครั้งความช่วยเหลือเหล่านี้ก็ขยายไปไกลกว่าพื้นที่ภาคใต้เสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นช่วงมหาอุทกภัยใน พ.ศ. 2554 หรือกระทั่งอุทกภัยในภาคเหนือเมื่อ พ.ศ. 2567 ที่เพิ่งผ่านไป

สอง การช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนตัวเล็ก ๆ ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ สืบเนื่องจากการต้องทำงานร่วมกับโรงพยาบาลบ่อยครั้ง หาดทิพย์จึงเล็งเห็นกลุ่มคนที่เป็นกำลังสำคัญ แต่ยังขาดการสนับสนุนที่เพียงพอ อย่างกลุ่มพนักงานเปลและลูกจ้างชั่วคราวในโรงพยาบาลทางภาคใต้ ซึ่งคอยอำนวยความสะดวกเคลื่อนย้าย รับ-ส่งตัวผู้ป่วย เป็นทีมสนับสนุน CPR และหน้าที่อีกสารพัดสิ่ง หาดทิพย์จึงจัดตั้ง ‘กองทุนพนักงานเปลดีเด่น’ ขึ้นมา เพื่อสร้างขวัญกำลังใจและสนับสนุนให้คนทำงานในหน้าที่นี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อย โดยดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี

สาม ปัญหาพื้นที่ในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ โดยเฉพาะโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา ที่เปรียบเสมือนโรงพยาบาลศูนย์กลางของภาคใต้ มีผู้ป่วยจากหลากหลายจังหวัดเดินทางมารักษา โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องมีการฉายแสง ใส่แร่ รับยาเคมีบำบัด รอผ่าตัด รอพบแพทย์ที่มีจำเป็นต้องมีที่พักรักษาตัวจนกว่าจะสิ้นสุดการรักษา
ผู้ป่วยและญาติหลายรายบ้านอยู่ไกลและไม่มีกำลังทรัพย์พอสำหรับพักโรงแรมหรือห้องเช่า จึงต้องไปพักที่วัดใกล้โรงพยาบาล ทำให้เกิดความแออัดและเป็นภาระต่อวัด เพื่อแก้ปัญหานี้ โรงพยาบาลจึงร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงหาดทิพย์ จัดสร้างที่พักชั่วคราวสำหรับผู้ป่วยและญาติ ช่วยลดค่าใช้จ่าย และอำนวยความสะดวกในการเข้ารับการรักษา
“ความทราบถึง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ในการก่อสร้างอาคารที่พักเพิ่มเติมเป็นทุนเริ่มต้นในการก่อสร้างอาคารเย็นศิระหลังที่ 1 และด้วยพระมหากรุณาธิคุณนี้ ทำให้ญาติคนไข้ได้มาพักอาศัยชั่วคราว มีอาหารกิน 3 มื้อ และมีที่หลับที่นอนเป็นสัดเป็นส่วน โดยจ่ายวันละ 5 บาท โครงการนี้ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมาจนปัจจุบันมีอาคารเย็นศิระ 3 หลังแล้ว แม้ไม่ได้ใช้งบประมาณหลักจากบริษัทเราทั้งหมด แต่เราได้ร่วมใช้ความคิดและความเข้าใจปัญหาในพื้นที่เพื่อช่วยประสาน จัดหาทุนให้เกิดความร่วมมือในการช่วยกันแก้ปัญหา”

สมดุลของการทำธุรกิจและสังคม
เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากอีกหลากหลายโครงการเพื่อสังคมของหาดทิพย์ แต่เมื่อเป็นภาคธุรกิจ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าจะหาสมดุลระหว่างธุรกิจและสังคมได้อย่างไร
“ผมคิดว่าบาลานซ์ไม่ได้ ถ้าเราคิดว่าทําในสิ่งที่ถูกต้อง ธุรกิจเราไม่แย่แน่นอนอยู่แล้ว แค่นั้นเองครับ” เขาตอบอย่างหนักแน่น พร้อมอธิบายว่า ไม่ใช่ทุกโครงการต้องใช้เงินจากบริษัทเสมอไป ขอแค่มีความเข้าใจปัญหาและมีความรู้บางอย่างก็สร้างสิ่งที่ดีขึ้นมาได้เช่นกัน หรือหากเป็นงานบางอย่างที่ต้องเสียสละ ขออาสาสมัครจากพนักงานในบริษัท หลายคนก็เต็มใจช่วยเหลือจนเหมือนเป็นดีเอ็นเอของชาวหาดทิพย์ ซึ่งเขามองว่าการเปิดโอกาสให้พนักงานอาสามาช่วยเหลือสังคม ช่วยสร้างทั้งความสุข ขวัญกำลังใจ ความผูกพัน และภาพจำการช่วยเหลือกัน รวมถึงความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร คล้ายกับสวัสดิการทางใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลย้อนกลับมาที่ประสิทธิภาพการทำงานอีกทอดหนึ่ง
“ผมมองว่าเป็นหน้าที่ของเราในฐานะคนไทยคนหนึ่งหรือคนไทยกลุ่มหนึ่งที่จะต้องทําอะไรให้สังคม ถ้าเราทําได้
“แต่ในระยะยาว ถ้าคนชอบเรา เขาก็ซื้อสินค้าของเรา จริง ๆ มันคือตรรกะที่ตรงตัวเลยครับ ถ้าเขาไม่ชอบเราหรือไม่มีเงิน เขาก็ไม่ซื้อของเรา เราก็ไม่มีเงินเดือนจ่ายลูกน้อง กระทบความมั่นคงบริษัทต่อไป
“เราไม่ได้เป็นคนดี ไม่ได้เป็นองค์กรการกุศล แต่เป็นสิ่งถูกต้องที่เราต้องทํา โดยพื้นฐานมันก็คือเรื่องเรียบง่ายอย่างน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า และสุดท้ายก็จะกลับมาที่เรื่องเดิม คือหากสังคมอยู่ได้ ธุรกิจเราก็จะอยู่ต่อไปได้เช่นกัน” ดอลลาร์เอ่ยทิ้งท้าย


10 Things you never know
about Patchara Rattakul
1. ชื่อ ‘ดอลลาร์’ มีที่มาอย่างไร
คุณพ่อตั้งให้ตอนอยู่ออสเตรเลีย เขาใช้แบงก์ดอลลาร์แล้วได้รับข่าวว่าเราเกิดพอดี
2. นอกจากหาดทิพย์แล้ว (ชาย) หาดไหนไปบ่อยที่สุด
หาดกะตะน้อย ภูเก็ต ถ้าเมื่อก่อนจะไปบ่อย
3. สนุกกับงานส่วนไหนมากที่สุด
คน ผมชอบปวดหัวกับคน (หัวเราะ)
4. เครื่องดื่มโคคา-โคล่าที่ดื่มบ่อยที่สุด
Coke Light
5. ชอบแบบดื่มแบบขวดหรือกระป๋องมากกว่า
แบบกระป๋อง เพราะ Coke Light ไม่มีแบบขวด
6. ถ้าไปภาคใต้ ไปสถานที่ไหนบ่อยที่สุด
ไปที่ทำงาน
7. ภาษาใต้ที่พูดบ่อยที่สุด
พันพรือมั่ง แปลว่า เป็นอย่างไรบ้าง
8. สิ่งที่ต้องมีติดกระเป๋า
เงิน
9. งานอดิเรกช่วงนี้
เก็บเหรียญกษาปณ์
10. ความสุขทุกวันนี้คืออะไร
เห็นภรรยายิ้ม