อาคารสีเหลืองหลังนี้ตั้งอยู่ที่สี่กั๊กเสาชิงช้า บนซุ้มด้านหน้าประดับลายมังกรโดดเด่นสะดุดตา ตัวอาคารมีลักษณะโค้งรับกับพื้นที่วงกลมเช่นเดียวกับอาคารอื่น ๆ ที่ตั้งรายเรียงอยู่ใกล้เคียงกัน นี่คือ ‘ร้านชาอ๋องอิวกี่’ ที่ยืนหยัดจำหน่ายใบชาชั้นเยี่ยมจากเมืองจีนมานานเกินศตวรรษ

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

คอลัมน์ Heritage House ครั้งนี้ไม่อยากจำกัดเนื้อหาหลักให้ครอบคลุมเพียงเฉพาะเรื่องราวในเชิงสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่อยากเปิดเผยเรื่องราวอันเป็นวิถีชีวิตของบรรพชนผู้สร้างตนจากการเป็นพ่อค้าชา ซึ่งทายาทต้องใช้ความอุตสาหะในการสืบเสาะ ค้นหา และรวบรวมข้อมูลเป็นจำนวนมาก เพื่อทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับรากเหง้าของตนเอง สิ่งสำคัญกว่านั้นคือความตั้งใจที่จะสืบทอดธุรกิจชาให้คงอยู่ โดยทุ่มเทศึกษาวิธีการชงชาแต่ละชนิดให้ได้กลิ่นและรสครบถ้วนเฉกเช่นบรรพบุรุษ

คุณบี๋-นพพร ภาสะพงศ์ ทายาทรุ่นที่ 3 ของร้านชาอ๋องอิวกี่ คือผู้สืบทอดมรดกล้ำค่าของบรรพบุรุษ ขณะนี้เธอพร้อมแล้วที่จะพาเราไปรู้จักกับ ‘อาก๋ง’ พร้อมด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับร้านชา 5 แผ่นดินแห่งนี้ในทุกมิติ

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

อ๋องอิวกี่ที่ภาคภูมิใจ

“อาก๋งเป็นชาวจีนฮกเกี้ยน ท่านมีชื่อว่า เปี๋ยน แซ่อ๋อง ท่านเดินทางเข้ามาเมืองไทยช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 แต่อันนี้เป็นข้อสันนิษฐานนะคะ ความที่สมัยก่อนไม่มีบันทึกที่ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร พี่เริ่มสืบค้นเกี่ยวกับอาก๋งจากเอกสารชิ้นนี้ นี่คือโฆษณาชิ้นแรกของร้านที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้” คุณบี๋หยิบหนังสือพิมพ์เล่มบางที่เก็บรักษาไว้อย่างดีในห่อกระดาษไข นั่นคือ หนังสือพิมพ์กรรมกร ฉบับวันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2466

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

“หนังสือพิมพ์ฉบับนี้เผยแพร่ช่วงปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นั่นเป็นข้อสันนิษฐานแรกที่พี่พยายามคำนวณว่าอาก๋งเข้ามาเมืองไทยช่วงไหน”

ผมขออนุญาตคัดข้อความโฆษณาของร้านมาให้อ่านกันนะครับ ผมว่าเป็นภาษาโฆษณาที่จี๊ดโดนใจมาก

“ไชยโย ๆ ทิวาราตรีสวัสดิ์ เมื่อท่านได้รับทราบแล้วควรจะยินดีหรือไม่ ด้วยบัดนี้ใบชาพันธุ์ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมกว่าใบชาพันธุ์อื่น ๆ ที่ท่านทั้งหลายได้พากันร่ำร้องบ่นถึงอยู่ เพราะได้คอยมานานหลายเดือนด้วยการคมนาคมไม่สะดวกนั้น บัดนี้ควรจะมีความโสมนัสยินดียิ่ง ที่ใบชาพันธุ์นี้ได้มีโอกาสส่งเข้ามาถึงห้างข้าพเจ้าในเที่ยวเมล์คราวนี้ 40 – 50 หีบเท่านั้น และอาจถือได้ว่าเป็นชาใหม่ กลิ่นรสสดใสนัก ขอเชิญท่านผู้ปรารถนาใบชาชนิดนี้ จงรีบมารับประทานเสียโดยเร็ว ๆ เถิด

ก่อนลงท้ายข้อความว่า ห้างอ้วงอิวกี่ สี่กั๊กเสาชิงช้า กรุงเทพฯ

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

“นอกจากนี้พี่ก็ได้พบกับหลักฐานสำคัญอีกอย่าง นั่นคือโฆษณาอีกชิ้นที่อยู่ในหนังสือ สยามรัฐพิพิธภัณฑ์ พิมพ์เผยแพร่ประมาณ พ.ศ. 2470 หลังจากพิธีเปิดสวนลุมพินีเป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของไทยผ่านไป 1 ปี โฆษณาชิ้นนี้เป็นภาษาอังกฤษ ใต้ชื่อร้านที่สะกดว่า OUANG EWE KEE มีข้อความเขียนไว้ว่า Established 20 years in Siam”

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

ผมกับคุณบี๋รีบใช้วิชาเลขผสมประวัติศาสตร์เพื่อคำนวณช่วงเวลาที่อาก๋งเดินทางเข้ามาสู่ประเทศไทย ถ้า พ.ศ. 2470 ร้านเปิดมาแล้ว 20 ปี ก็แปลว่าร้านเปิดดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ พ.ศ. 2450 นั่นคือปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ตามที่คุณบี๋สันนิษฐานมาแต่ต้น ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่า คุณบี๋เป็นผู้มีความสามารถในเชิงสืบค้นเป็นอย่างยิ่ง หรือว่าเธอคือนักสืบตัวแม่แห่งโลกไซเบอร์

“ฮ่า ๆๆ ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เลย และพี่ก็ไม่ได้เป็นนักประวัติศาสตร์นักโบราณคดีอะไรเลยค่ะ พี่เรียนทางด้านอักษรศาสตร์มาและชอบอ่านหนังสือมาก พอเพื่อน ๆ รู้ก็เลยให้แต่หนังสือเป็นของขวัญ พี่ก็ใช้ข้อมูลจากหนังสือเหล่านี้แกะรอยรื่องราวของบรรพบุรุษ”

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

แล้วคุณบี๋สืบเรื่องราวของอาก๋งต่อไปอย่างไรอีกบ้างครับ – ผมถาม (ว่าที่) นักสืบหญิงผู้นี้

“ตอนอาก๋งมีชีวิตพี่ก็ยังเด็กมาก ๆ นะ แต่ว่าพี่เป็นคนช่างถาม ชอบไปคุยกับคุณป้า ท่านเล่าว่าครอบครัวที่บ้านเกิดอาก๋งก็ปลูกชาและตั้งอยู่ในแหล่งชาสำคัญของฮกเกี้ยน นั่นคือบนเทือกเขาอู่อี๋ซาน (Wuyishan)”

ด้วยวัยเพียง 18 ปี นายเปี๋ยน แซ่อ๋อง ตัดสินใจเดินทางมาเมืองไทยเพื่อสำรวจลู่ทางทำมาหากินในดินแดนที่สงบและปลอดภัยกว่าเมืองจีน ในที่สุดก็ลงหลักปักฐานและดำรงชีพในฐานะพ่อค้าชา เมื่อตัดสินใจดังนั้น ท่านก็เดินทางกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง เพื่อลำเลียงชาคุณภาพดีมาขายที่นี่

“ตอนนั้นอาก๋งเปิดร้านขึ้นเป็นแห่งแรก ซึ่งพี่ก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ทราบแต่ว่าท่านทำธุรกิจอยู่กับเพื่อน เมื่อขายชาได้หมดก็เดินทางกลับจีนไปขนชาเข้ามาใหม่ แต่พอกลับมาปรากฏว่าร้านปิดไปแล้ว เพื่อนก็หายไปด้วย งงเลย (หัวเราะ) ผลกำไรจากการค้าชาคราวก่อนก็เลยสูญไปด้วย” คุณบี๋เล่า ส่วนผมอุทาน “อ้าว” ออกมาดัง ๆ

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
อาก๋งเปี๋ยน แซ่อ๋อง

“อาก๋งต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้มีเหตุการณ์สำคัญ นั่นคือมีแม่สื่อมาแนะนำอาก๋งให้รู้จักกับผู้หญิงฮกเกี้ยนคนหนึ่ง ครอบครัวของเธอมาจากจากสิงคโปร์และพูดภาษาอังกฤษได้ อาก๋งสนใจก็เลยไปแอบดู พอพบตัวจริงเข้าก็ตะลึงจนเดินตกฟุตปาธ (หัวเราะ) ต่อมาผู้หญิงคนนี้ก็คืออาม่าของพี่ แปลว่าอาม่าต้องสวยมาก ๆ สวยจนอาก๋งเดินขาพลิกเลย พอแต่งงานกับอาม่า คราวนี้ก็ไม่ต้องกลัวร้านหายอีกแล้ว” คุณบี๋จบประโยคด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
อาก๋งคือสุภาพบุรุษตรงกลางภาพ ใส่หูกระต่าย แต่งกายสากลนิยม

อาก๋งตัดสินใจเปิดร้านที่บริเวณสี่กั๊กเสาชิงช้าอันเป็นสถานที่ตั้งของร้านมาจนปัจจุบัน อาม่ารับหน้าที่เฝ้าร้านและดูแลลูก ๆ ในระหว่างที่อาก๋งเดินทางไปจีนเพื่อนำชาชั้นดีกลับมาขาย อาก๋งต้องเดินทางไปเมืองจีนปีละครั้งโดยเรือสำเภา

เมื่อคุณบี๋กล่าวประโยคนี้จบลง ผมก็นึกถึงกาพย์บทหนึ่งจากพระราชนิพนธ์ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ความว่า

“เดือนสามสำเภามา 

มีใบชาชาติจุหลัน

ถ้ำคู่อยู่เคียงกัน

มองให้เห็นเป็นปริศนา”

วินาทีต่อมาคุณบี๋ก็อธิบายถึงการเดินทางด้วยสำเภาไปเมืองจีนอย่างละเอียด

“มีบันทึกที่กล่าวไว้ชัดเจนว่า เรือที่จะไปค้าขายเมืองจีนต้องออกจากปากน้ำเจ้าพระยาราวเดือน 8 ล่องไปถึงจีนในเดือน 9 แล้วต้องคอยอยู่ที่จีนเป็นเวลา 5 เดือน ถึงเดือนยี่หรือเดือน 2 จึงจะมีลมตะเภาสำหรับล่องเรือกลับมาเมืองไทย กว่าจะถึงเมืองไทยก็จะตกเดือน 3 ตรงตามที่รัชกาลที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เลยค่ะ

“ช่วง 5 เดือนที่อาก๋งรอลมตะเภาอยู่ที่เมืองจีนนั้น ท่านจะเดินทางเสาะหาชาพันธุ์ดีชนิดต่าง ๆ บนเทือกเขาอู่อี๋ซาน แล้วค่อยลำเลียงกลับลงมาลงเรือ การเดินทางข้ามเขาในสมัยนั้นย่อมลำบากและใช้เวลานานหลายเดือนเช่นกัน”

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

เทือกเขาอู่อี๋ซานเป็นแหล่งปลูกชาอู่หลง (Oolong Tea) ชั้นดีหลากสายพันธุ์ บริเวณบ้านเกิดอาก๋งนั้นเป็นแหล่งปลูกชาอู่หลงสายพันธุ์ ‘ทิกวนอิม (Tie Guan Yin)’ ที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาจนถึงทุกวันนี้

มณฑลฮกเกี้ยนอุดมไปด้วยเทือกเขามากมาย มีสายน้ำที่คนจีนขนานนามว่า ‘จิ่วชิวซี (Jiu Qu Xi)’ แปลว่าธาราเก้าโค้ง ด้วยไหลคดเคี้ยวแทรกเซาะไปตามเทือกเขาน้อยใหญ่ นับได้ 9 โค้งเฉกเช่นท้องมังกร และแต่ละโค้งคือแหล่งเพาะปลูกชาอู่หลง 1 สายพันธุ์ ก่อให้เกิดชาอู่หลง 9 สายพันธุ์แตกต่างกัน ทั้ง 9 สายพันธุ์ล้วนได้รับการยกย่องว่าเป็นชาชั้นยอดของแผ่นดิน

“เมื่อนำชากลับมาเมืองไทย อาก๋งไม่ได้ขายชาแค่เพียงหน้าร้านเท่านั้นนะคะ แต่บรรจุห่อชาวางเรียงลงในกระด้งออกเดินเร่ขายแบบ Direct Sales อีกด้วย (หัวเราะ) อาก๋งมีลูกค้าอยู่ทั่วถนนบำรุงเมือง เจ้านายในวังก็ส่งคนมาซื้อชาเข้าไปเสวย คุณป้าจำได้ว่าเคยมีรถม้ามาจอดหน้าร้าน แล้วก็มีผู้หญิงสวยมาก ๆ ดูเป็นผู้ดี แต่งตัวดีเดินเข้ามาซื้อชา ที่สำคัญคือมีกลิ่นหอมมาก ๆ คุณป้าจำได้ว่ากลิ่นหอมติดร้านไปนานทีเดียว”

อาก๋งเป็นคนหนุ่มที่ขยันขันแข็ง จึงสร้างฐานะได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ และยังคงเดินทางไปเสาะหาชาชั้นดีจากเมืองจีนเป็นประจำทุกปี ในสมัยนั้นใครต้องการชาคุณภาพก็ต้องมาที่ร้านอ๋องอิวกี่ทั้งนั้น

ร้านชาอาก๋ง

“สภาพร้านที่เห็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่สภาพดั้งเดิมนะคะ ร้านนี้เป็นร้านที่สร้างขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. 2500 ช่วงที่คุณพ่อเข้ามาช่วยดูแลกิจการ ถ้าเป็นร้านเดิมนั้น สภาพคล้ายกับตึกแถวฝั่งตรงข้าม คือเป็นอาคารสูง 2 ชั้น โครงสร้างผนังก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ตามลักษณะตึกแถวที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5”

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

คุณบี๋นำรูปร้านดั้งเดิมออกมาให้ผมดู ซึ่งเป็นภาพขาวดำที่เก็บรักษาไว้อย่างดี

“สังเกตที่ประตูร้านนะคะ สมัยนั้นจะนำไม้ท่อนมากลึงให้ขึ้นรูปเป็นแผ่น ลักษณะเป็นบานเฟี้ยม เวลาปิดร้านก็เอาไม้แต่ละท่อน ๆ มาวางเรียงปิดหน้าร้านเอาไว้ พอจะเปิดร้านก็นำบานเฟี้ยมไม้ออกมาวางขวาง มีลังชารองรับอยู่ที่ปลายทั้ง 2 ด้าน เพื่อใช้เป็นโต๊ะสำหรับห่อชา ขายชา เขียนใบเสร็จ ฯลฯ ไม่ต้องไปซื้อโต๊ะเลยค่ะ ใช้บานเฟี้ยมไม้กับลังชานี่แหละแทนโต๊ะ”

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

สันนิษฐานว่าประตูเฟี้ยมไม้กระดานดังกล่าว เป็นลักษณะของบานประตูที่ปรากฏอยู่ตามตึกแถว ซึ่งมักเป็นอาคารพาณิชย์ที่ตั้งเรียงรายอยู่บนบนถนนบำรุงเมืองมาตั้งแต่แรก

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตัด ‘ถนนเจริญกรุง’ ขึ้นเพื่อความสะดวกในการแล่นรถม้าของชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในบางกอกในขณะนั้น นับเป็นถนนสายแรกที่ก่อสร้างขึ้นตามแบบตะวันตก ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการปรับปรุง ‘ถนนเสาชิงช้า’ ซึ่งเป็นถนนเก่าแก่มาแต่ครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โดยพระราชทานพระราชทรัพย์จ้างชาวจีนมาสร้างเป็นถนนสมัยใหม่ สองฟากถนนได้สร้างอาคารแบบตะวันตกขึ้น โดยทรงส่งนายช่างชาวไทยไปศึกษาแบบการก่อสร้างจากสิงคโปร์และปัตตาเวีย (ปัจจุบันคือกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย) พระราชทานนามถนนสายนี้ว่า ‘ถนนบำรุงเมือง’

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
ร้านอ๋องอิวกี่ อยู่ 2 คูหาทางด้านซ้าย คูหาหนึ่งมีกันสาด

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หนังสือราชกิจจานุเบกษาปีที่ 4 ฉบับ พ.ศ. 2420 ได้บันทึกสภาพของถนนบำรุงเมืองเอาไว้ว่า

“…นายแบดแมนเช่าพื้นที่ทำห้างแบดแมน เพื่อขายสินค้านานาชนิด ห้างแขกเปอร์เซีย ขายสินค้าจากต่างประเทศ ห้างเอส.ทิสแมน ขายนาฬิกา อำแดงทรัพย์ขายหมากพลูและบุหรี่ จีนหงีทำบ่อนเบี้ย จีนฮวดหลีตั้งโรงจำนำ จีนยิดขายเหล้าและหมี่ จีนหนูขายผ้า…” 

ข้อความดังกล่าวคงพอยืนยันว่า ถนนบำรุงเมืองเป็นแหล่งการค้าสำคัญของพระนครได้เป็นอย่างดี

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
ถนนบำรุงเมืองในอดีต
ภาพ : Nextsteptv.com/Khongdee

“ส่วนอันนี้เป็นภาพถ่ายทางอากาศโดย ปีเตอร์ วิลเลียมส์-ฮันต์ (Peter Williams-Hunt) จะเห็นสี่กั๊กเสาชิงช้าที่ยังปรากฏวงเวียนอยู่ตรงกลาง มีทางรถราง 2 สายพาดผ่าน สายหนึ่งวิ่งจากถนนบำรุงเมืองมุ่งตรงไปยังถนนเฟื่องนคร อีกสายวิ่งจากถนนตะนาวมุ่งลงถนนบำรุงเมือง และร้านเราก็ปรากฏอยู่ตรงมุมแยกด้านถนนตะนาว ปัจจุบันนี้ทั้งวงเวียนและรถรางไม่หลงเหลืออยู่แล้ว”

คุณบี๋ชวนชมภาพถ่ายสำคัญของช่างภาพชาวอังกฤษที่ฝ่ายสัมพันธมิตรส่งเข้ายังประเทศไทย เพื่อบันทึกภาพถ่ายทางอากาศเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงใน พ.ศ. 2489 และภาพที่เรากำลังดูอยู่นี้เป็น 1 ใน 1,671 ภาพที่เขาบันทึกไว้ทั้งหมด

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
ภาพถ่ายทางอากาศของปีเตอร์ วิลเลียมส์-ฮันต์ เห็นวงเวียนสี่กั๊กเสาชิงช้าตรงกลางภาพ
ถนนบำรุงเมืองคือเส้นที่วิ่งจากบนลงล่าง ถนนเฟื่องนครคือเส้นที่วิ่งจากทางด้านซ้ายมาจรดวงเวียน
ถนนตะนาวคือเส้นที่วิ่งจากวงเวียนไปทางด้านขวาของภาพ ร้านอ๋องอิวกี่อยู่ทางมุมที่เชื่อมกับถนนตะนาว

“ความจริง ‘สี่กั๊ก’ ก็คือสี่แยก เพราะบริเวณนี้ก็คือสี่แยกนั่นเอง ส่วนคำว่า สี่กั๊ก นั้นมาจากคำว่า ‘ซี่กั๊ก’ ในภาษาจีนแต้จิ๋ว พี่เคยทราบมาว่าสมัยก่อนโรงน้ำแข็งผลิตน้ำแข็งออกมาเป็นก้อนใหญ่ ๆ จำเป็นต้องใช้เลื่อยแบ่งออกเป็น 4 ก้อนย่อย โดยตัดแบ่งจากซ้ายมาขวาและจากบนลงล่าง เพื่อให้ได้น้ำแข็ง 4 ก้อนขนาดเท่ากันพอดี แต่ละก้อนก็เรียกว่า ‘กั๊ก’ เวลาไปซื้อน้ำแข็ง ลูกค้าก็จะไปซื้อกันทีละกั๊ก แล้วโรงงานก็ใช้แกลบหรือขี้เลื่อยโปะเอาไว้เพื่อกันละลาย จากนั้นจึงห่อ แล้วใช้เชือกมัดเพื่อให้หิ้วน้ำแข็งกั๊กนั้นกลับมาบ้าน พอจะกินก็ล้างแกลบออกให้สะอาด แล้วจึงค่อย ๆ ทุบน้ำแข็งออกเป็นก้อนเล็ก ๆ นำไปบรรจุไว้ในกระติกทรงกลมทำด้วยแก้วสองชั้น ปิดฝาให้แน่น”

ดังนั้น ‘สี่กั๊กเสาชิงช้า’ จึงหมายถึงพื้นที่วงกลมตรงสี่แยกบริเวณที่ถนนบำรุงเมืองตัดถนนเฟื่องนครเชื่อมต่อถนนตะนาว ซึ่งในอดีตเคยมีวงเวียนตั้งอยู่ตรงกลาง สิ่งที่น่าสนใจคืออาคารที่ตั้งอยู่รายล้อมพื้นที่วงกลมนี้สร้างขึ้นโดยผนังของอาคารยังรักษาแนวโค้งรับกับพื้นที่ แม้ว่าอาคารหลาย ๆ หลังจะสร้างขึ้นใหม่ในยุคต่อมา แต่ก็ยังคงรักษาแนวโค้งของอาคารเอาไว้เช่นเดิม ปัจจุบันนอกจากสี่กั๊กเสาชิงช้าแล้ว ยังปรากฏสี่กั๊กพระยาศรีด้วยอีกเพียง 1 แห่ง และผนังของอาคารบริเวณนั้นก็ยังคงรักษาแนวโค้งไว้เช่นเดียวกัน

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
ภาพสี่กั๊กเสาชิงช้าระยะใกล้ จะเห็นเส้นทางวิ่งของรถราง 2 สายพาดผ่าน

“ตัวร้านปัจจุบันสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2500 แทนร้านเดิม ขณะนั้นอาคารพาณิชย์หลายหลังที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ก็มีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิมเช่นกัน” คุณบี๋เล่า 

จากหนังสือ บ้านในกรุงเทพ ฯ : รูปแบบและการเปลี่ยนแปลงในรอบ 200 ปี (พ.ศ. 2325-2525) โดย ผศ.ผุสดี ทิพทัส และ ผศ.มานพ พงศทัต คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผลงานวิจัยที่จัดทำขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2525 เนื่องในวาระสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี บรรยายลักษณะทางสถาปัตยกรรมของชนชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในอาคารพาณิชย์บริเวณย่านเมืองเก่าพอสรุปความได้ว่า

ในช่วงการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ พ.ศ. 2500 การสำรวจกลุ่มชนชั้นกลางที่อาศัยตึกแถวหรือห้องแถวเป็นที่อยู่อาศัย มักเป็นกลุ่มพ่อค้าที่มีกิจการค้าขนาดกลางและเล็ก ส่วนมากเป็นการค้าปลีก อาศัยอยู่ในชุมชนที่เคยเป็นแหล่งการค้าสำคัญของพระนครมาก่อน อาคารมักสูงเพียง 2 – 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นพื้นที่ค้าขาย ส่วนชั้นบนเป็นพื้นที่เก็บสินค้าและอยู่อาศัย

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
ร้านอ๋องอิวกี่ที่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2500 และใช้เป็นร้านมาจนปัจจุบัน

อาคารมักมีโครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยมีวิวัฒนาการมาจากห้องแถวไม้หรือห้องแถวก่ออิฐถือปูนที่สร้างขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น ห้องแถวแถบแพร่งนรา แพร่งสรรพศาสตร์ รวมทั้งย่านการค้าสำคัญอย่างถนนบำรุงเมืองด้วย

รูปแบบสถาปัตยกรรมของห้องแถวช่วง พ.ศ. 2500 นั้น มักคำนึงถึงด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก กล่าวคือ ราคาก่อสร้างไม่สูงเกินไปนัก สร้างอาคารต่อกันไปเป็นแถวยาว เป็นอาคารเพียงไม่กี่ชั้น จึงยังไม่นับว่าเป็นอาคารสูง ส่วนมากก่ออิฐฉาบปูนเรียบ ไม่มีลวดลายประดับ และทำให้สถาปัตยกรรมในยุคนี้มีความคล้ายคลึงกัน ก่อนที่อาคารสูงจะเกิดขึ้นในเวลาต่อมาประมาณช่วง พ.ศ. 2520 โดยมีสาเหตุจากราคาที่ดินพุ่งสูงมากขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้พื้นที่อย่างเต็มประสิทธิภาพสมราคา และเพื่อขยายพื้นที่ให้สอดรับกับขยายตัวของจำนวนประชากร รวมทั้งธุรกิจการค้าปลีกที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ

“อาคารหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อเกือบ 70 ปีก่อน และยังคงรักษาความโค้งเพื่อให้รับกับพื้นที่วงกลมของวงเวียนเหมือนกับอาคารในอดีต อาคารก็เป็นอาคารเรียบ ๆ แทบไม่มีลูกเล่นเลย ยกเว้นว่าเราให้ช่างทำลายมังกรประดับอยู่บนซุ้มหน้าอาคารเท่านั้น ซึ่งยังปรากฏให้เห็นจนถึงทุกวันนี้ เดี๋ยวพี่มีรูปเก่า ๆ มาให้ดูด้วย” คุณบี๋เล่าพร้อมนำภาพอดีตของร้านปัจจุบันมาให้ชม

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
สภาพร้านในปัจจุบัน

ส่วนภายในอาคารนั้น ลักษณะการตกแต่งแห่งยุค พ.ศ. 2500 คือการใช้พื้นหินขัดโดยมีสีขาวเป็นสีพื้น ส่วนสียอดนิยมอื่น ๆ คือสีแดง เขียว และเหลือง ซึ่งมักเป็นสีที่พบในอาคารพาณิชย์ของคนไทยเชื้อสายจีน ทั้ง 3 สีถือเป็นสีมงคลตามคติจีน เป็นสีหลักที่มักใช้ตกแต่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เสมอ เช่น ศาลเจ้า

นอกจากนี้ยังมีการตัดขอบทองเป็นลวดลายงดงาม เพื่อใช้ตกแต่งหรือบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่นั้น ๆ อย่างกรณีร้านอ๋องอิวกี่คือรูปกาและถ้วยชานั่นเอง

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

พื้นหินขัดเป็นวัสดุที่ใช้ในอาคารพาณิชย์อย่างแพร่หลายอยู่จนกระทั่ง พ.ศ. 2520 เมื่ออาคารเริ่มกลายเป็นอาคารสูงขึ้นและมีวัสดุใหม่ ๆ ที่บำรุงรักษาหรือซ่อมเปลี่ยนได้ง่ายกว่า เช่น กระเบื้องเข้ามาทดแทน

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
พื้นหินขัดหลากสี

สภาพร้านในช่วงที่อาก๋งยังมีชีวิตเป็นอย่างไรบ้างครับ – ผมถามคุณบี๋

“ที่พี่จำได้ดีคือ ในร้านเก็บชาไว้เยอะมาก บริเวณด้านหลังของร้าน เรามีห้องแถวอีก 1 ห้องที่จัดสรรไว้สำหรับเป็นที่อบชา สมัยนู้นไม่ได้ใช้เครื่องจักรอบชานะคะ แต่เราใช้เตาถ่าน แล้วต้องใช้ถ่านที่ไม่มีควันด้วย ไม่เช่นนั้นควันไฟจะไปทำให้กลิ่นและรสของชาเปลี่ยนไป เพราะใบชาจะดูดกลิ่นควันเข้าไปผสมด้วย เตาถ่านมีลักษณะกลม ๆ เรียงกันเป็นแถวอยู่หลายเตา เป็นเหมือนรูกลม ๆ เรียงต่อ ๆ กันไป พอติดถ่านจนร้อนได้ที่ก็จะนำขี้เถ้าที่เก็บสะสมไว้มาโรยกลบถ่าน ป้องกันไม่ให้มีเปลวไฟ เพราะเราต้องการแค่ความร้อนเท่านั้น”

“เราจะวางกระจาดที่สานด้วยไม้ไผ่ลักษณะคล้ายนาฬิกาทรายอยู่เหนือหลุมถ่าน แล้วใส่ใบชาลงในนั้นก่อนปิดฝาด้านบน ความร้อนจากเตาก็จะระอุขึ้นมา คนอบชาต้องคอยพุ้ยใบชาไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้รับความร้อนโดยทั่วถึง เขาจะใช้มือพุ้ยใบชาเพื่อสัมผัสความร้อนได้เต็มที่ จะได้ทราบว่าเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมแล้วหรือยัง แล้วก็ต้องคอยเติมขี้เถ้าเพื่อควบคุมอุณภูมิไม่ให้ร้อนเกินไป หากใครไม่ชำนาญก็อาจทำให้ใบชาไหม้ได้ ในห้องอบชาเต็มไปด้วยคนงานหลายคนเลย”

กระบวนการผลิตชาคุณภาพนั้นใช้เวลาและความพิถีพิถันเป็นอย่างยิ่ง ชาเป็นเครื่องดื่มสำคัญและยังเป็นวิถีชีวิตของชาวจีนอีกด้วย

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
ห้องอบชาในอดีต
ภาพ : Wufeng-tea.com

“คนจีนดื่มชามานานนับพันปีจนเป็นเครื่องดื่มที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิต แขกไปใครมาก็ต้อนรับด้วยชา จะแต่งงานกับใครก็มีพิธียกน้ำชาเพื่อฝากเนื้อฝากตัวเข้ามาเป็นลูกเขยลูกสะใภ้ ทำผิดก็ไปยกน้ำชาเพื่อขอโทษ จะยินดีกับใครก็ยกน้ำชาขึ้นคารวะ ชาเป็นเครื่องดื่มรสเข้มที่ช่วยเรียกสติให้จดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้า ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือวิถีชีวิต”

เมื่อธุรกิจของอาก๋งสืบทอดมายังทายาทรุ่นสามอย่างคุณบี๋ เธอไม่อยากให้การบริโภคชาจำกัดอยู่เพียงคนรุ่นพ่อรุ่นแม่อีกต่อไป เธอจึงเดินหน้านำชาเข้าไปสู่ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ ทดลอง และบริโภคชาชั้นดีด้วยเช่นกัน

“พี่ไปเปิดร้าน ‘อ๋องที – Ong Tea’ ในเยาฮัน เกษรพลาซ่า สยามดิสคัฟเวอรี แล้วก็ที่พารากอน ค่อย ๆ เปิดไปแต่ละที่ ไปทำร้านชาอยู่หลายสิบปี ทำประวัติชาแต่ละชนิด เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตชาสายพันธุ์ต่าง ๆ เอาแต่ชาคุณภาพดี ๆ มาแนะนำ มีคนมาลองดื่มกันเยอะมาก ผลตอบรับเป็นที่น่าดีใจ”

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

นอกจากนั้น เธอยังผันตัวมาเป็นนักเขียนโดยมีคอลัมน์ ระบำชา เป็นคอลัมน์ประจำในนิตยสาร พลอยแกมเพชร ที่พาผู้อ่านไปดื่มด่ำกับโลกของชาจนกลายเป็นคอลัมน์ยอดนิยม ในที่สุดสำนักพิมพ์ได้นำบทความของเธอมารวมเล่มตามคำเรียกร้อง

“หลังจากพารากอนแล้วพี่ก็เพิ่งมาหยุดไปตอนช่วงก่อนโควิด ตอนนั้นพี่อายุครบ 60 ปีแล้ว เลยตัดสินใจกลับมาขายชาเฉพาะที่ร้านอาก๋งตรงนี้เท่านั้น หากใครสนใจก็มาทดลองดื่มชาต่าง ๆ ที่ร้านเราได้ทุกวันจันทร์-เสาร์ ตั้งแต่ 9.00 – 17.00 น.หรือติดตามเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับชาทาง Facebook เพจ Ong Tea by Bee หรือที่เพจ Bee Ong Phasaphong นะคะ”

ชาจีนในถิ่นไทย

ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ของร้านอ๋องอิวกี่ที่เกิดและเติบโตมากับชา ผมอนุมานว่าคุณบี๋คงดื่มชาเป็นน้ำมาตั้งแต่เกิด

“ไม่เลยค่ะ (หัวเราะ) ตอนเด็ก ๆ พี่ไม่ดื่มชาเลยเพราะโรงเรียนสอนว่าเด็ก ๆ ไม่ควรดื่ม ชาเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เราเป็นเด็กดีเราก็เลยเชื่อฟังครู (หัวเราะ) แต่พอพี่ไปเรียนต่อที่ไต้หวัน อ้าว! เพื่อน ๆ ดื่มชากันทั้งนั้น ดื่มกันแทบจะแทนน้ำ ทุกคนก็ดูแข็งแรงดี พี่ก็เลยปรับทัศนคติเสียใหม่ ตั้งแต่นั้นก็กลายเป็นคนดื่มชาอย่างจริงจัง”

คุณบี๋ไม่เพียงแต่กลับตัวกลับใจมาบริโภคชาเท่านั้น เธอได้เริ่มพันธกิจใหม่ นั่นคือการเดินหน้าสืบหาคำตอบว่าชาวสยามเริ่มบริโภคชากันตั้งแต่เมื่อไหร่

“วันหนึ่งเพื่อนนำหนังสือ จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม มาให้ ในบันทึกนั้นมีเรื่องราวเกี่ยวกับชาที่ชาวสยามดื่มอยู่ด้วย”

ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubère) เป็นหัวหน้าคณะราชทูตฝรั่งเศสที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โปรดเกล้าฯ ให้เดินทางเข้ามาเจริญพระราชไมตรีกับราชอาณาจักรอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2230 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ลาลูแบร์ได้บันทึกเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสยามเพื่อส่งกลับไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในรูปแบบของจดหมายเหตุชื่อว่า Du Royaume de Siam แม้ว่าลาลูแบร์จะพำนักอยู่ที่อยุธยาเพียง 3 เดือน 6 วัน แต่บันทึกของเขาฉบับนี้คือหลักฐานชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์ของอยุธยา

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. 2230

“จากบันทึกของลาลูแบร์ จะเห็นว่าชาวสยามดื่มชากันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่อาจจำกัดอยู่เพียงภายในอยุธยาเท่านั้น ไม่ได้แพร่หลายไปยังถิ่นอื่น ชาถือว่าเป็นเครืองดื่มที่เจ้าบ้านนำมารับรองแขกตามมารยาทของผู้ดี โดยชาวอยุธยานิยมบริโภค 3 ชนิด ได้แก่ ‘ฉ่าบ๋วย’ สีออกแดง กล่าวกันว่าทำให้อ้วนและท้องผูก ทั้งยังเป็นยาคุมด้วย ‘ชาซอมลู’ มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ส่วนชาตัวที่ 3 ไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ ไม่มีคุณสมบัติทั้งระบายหรือคุมอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดเป็นชาที่นำเข้ามาจากเมืองจีน”

เมื่อได้คำตอบที่พอจะยืนยันได้ว่าคนไทยดื่มชากันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว คุณบี๋ยังคงพยายามสืบหาต่อไปว่าชาที่ลาลูแบร์กล่าวถึงนั้นคืออะไร และยังมีหลงเหลืออยู่จนทุกวันนี้หรือไม่

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

“ชาตัวแรกที่พี่สนใจคือชาที่ในบันทึกฉบับแปลเป็นภาษาไทยระบุว่าชื่อ ฉ่าบ๋วย ตอนแรกเราก็สันนิษฐานว่าอาจทำจากบ๊วยก็ได้นะ (หัวเราะ) ทีนี้ถ้าไปดูต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสจะพบว่าลาลูแบร์สะกดว่า ‘Tcha-boüi’ บนตัว U มีจุดอยู่ 2 จุดแบบอักซ็องต์ (Accent) ในภาษาฝรั่งเศส พี่เลยเอาตัวสะกด Tcha-boüi ไปให้เพื่อนที่ใช้ฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่ช่วยอ่าน เขาอ่านออกเสียงว่า ‘ชา-บู๋-อี๋’ ซึ่งคือชื่อภูเขาอู่อี๋ซานในมณฑลฮกเกี้ยน แสดงว่าคนสยามดื่มชาจากถิ่นเดียวกับบ้านเกิดของอาก๋งมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พี่นี่กรี๊ดเลย ฉันก็ฉ่าบ๋วย บ๋วย บ๋วย มาเป็นสิบ ๆ ปี คราวนี้ฉันรู้แล้ว ๆ” คุณบี๋หัวเราะอย่างมีความสุข

“ชาอีกตัวที่บันทึกฉบับแปลระบุชื่อว่า ชาซอมลู ลาลูแบร์สะกดชื่อชาตัวนี้ว่า ‘Somloo’ พี่ก็ไปหาข้อมูลจนพบเรื่องราวเกี่ยวกับเรือโกเธนเบิร์ก (Gothenburg) ซึ่งเป็นสำเภาเดินสมุทรของบริษัท Swedish East India ที่ออกเดินทางจากกวางโจวกลับไปเมืองโกเธนเบิร์กที่สวีเดนในปี 1745 บรรทุกใบชา เครื่องเคลือบ เครื่องเงิน และผ้าไหมกว่า 700 ตัน ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุทำให้เรืออับปางลง 

“อีก 239 ปีต่อมา มีการดำน้ำลงไปสำรวจเรือลำนี้ พบถ้ำดีบุกบรรจุชาเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเอกสารปิดผนึกไว้อย่างมิดชิด เอกสารนั้นระบุว่ามีชาชนิดหนึ่งชื่อ ‘ชาซ่งหลัว’ ซึ่ง Somloo ที่ลาลูแบร์สะกดนั้น คนฝรั่งเศสอ่านว่า ‘ซง-โล’ ใกล้เคียงกับชาซ่งหลัวที่พบบนเรือโกเธนเบิร์กมาก ๆ พี่ก็ไปสืบค้นต่อจนได้ความว่า เป็นชาเขียวชั้นดีที่ได้รับความนิยมมากช่วงราชวงศ์ชิง ราชวงศ์สุดท้ายของจีน ก่อนเสื่อมความนิยมไปเมื่อเกิดการปฏิวัติ”

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม

จากสมัยอยุธยา คุณบี๋ก็ยังคงสนุกที่จะสืบค้นเพื่อเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ

“มีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องของชาจีนในไทยเยอะมาก สมัยรัชกาลที่ 1 มีบันทึกสินค้าจากจีนว่าในช่วงปี 1800 – 1850 จีนส่งสินค้ามาสยามหลายรายการ รวมถึงกาน้ำชาจำนวน 30,000 ชิ้น นวมกาน้ำชาจำนวนไม่น้อย รวมทั้งชาดำคุณภาพดีอีกมาก รัชกาลที่ 2 ก็ทรงพระราชนิพนธ์ กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ระบุถึงเดือน 3 สำเภามาพร้อมชาจุหลัน

สังฆราชปาลเลอกัวซ์ (Jean-Baptiste Pallegoix) สังฆนายกคณะมิสซังโรมันคาทอลิกชาวฝรั่งเศส เข้ามาถึงเมืองบางกอกในสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านได้บรรยายเรื่องเครื่องดื่มของคนสยามไว้ว่า ‘เครื่องดื่มทั่วไป รองจากน้ำเย็นบริสุทธิ์คือน้ำชา เพราะคนจีนนำเข้ามาทุกปี ปีละมาก ๆ’ และยังบันทึกอีกว่า ‘คนสยามไม่นิยมใส่น้ำตาลในน้ำชาเพราะน้ำชาที่ปราศจากน้ำตาลนั้นย่อมบรรเทากระหายได้ดีกว่า’ รัชกาลที่ 5 เองก็ทรงสะสมปั้นชาเป็นที่เพลินพระราชหฤทัยเมื่อทรงว่างจากพระราชกรณียกิจ”

ประวัติศาสตร์เรื่องชาบนผืนแผ่นดินไทยนั้นมีบันทึกไว้มากมายทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พบได้ในวัดวาอารามสำคัญทั่วไป และยังรอให้เราสืบค้นต่อไปได้เรื่อย ๆ ไม่รู้จบ

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

จากประวัติของชาตั้งแต่อดีตที่คุณบี๋ถ่ายทอดให้ฟัง และแล้วก็มาถึงคำถามสำคัญที่ผมอยากรู้ว่าคุณบี๋รู้สึกอย่างไรกับชายอดนิยมอย่าง ชานมไข่มุก ที่หนุ่มสาวยุคปัจจุบันดื่มและดูดกันอย่างแพร่หลาย คุณบี๋เองเคยลองชาสุดฮิตประเภทนี้บ้างหรือไม่

“ดื่มค่ะ อร่อยมาก (หัวเราะ) ดูดหมดเลย เกลี้ยงเลย อร่อยมาก (หัวเราะ)” เวลาเธอเอ่ยคำว่ามาก ผมขอให้คุณผู้อ่านช่วยเติม ก ไก่ ไปอีกล้านตัวเพื่อให้ได้อรรถรสนะครับ

“แต่พี่กินปีละแก้วนะคะ (หัวเราะ) ความจริงชาไข่มุกก็นำเบสของชาอู่หลงเนี่ยแหละมาทำ แล้วก็เพิ่มนม เพิ่มครีม เพิ่มความหวานมันลงไป ที่กินปีละครั้งก็ไม่ใช่ว่าพี่ต่อต้านชาชนิดนี้นะคะ ชานมไข่มุกอร่อยมากอย่างที่บอกจริง ๆ แต่คนวัยพี่เคลื่อนไหวน้อยลงกว่าหนุ่ม ๆ สาว ๆ มาก กินทีนึงพลังงานทั้งหมดคงจะอยู่ในตัวพี่ไปอีกเป็นเดือน ๆ (หัวเราะ)”

หลังจบประโยคนี้ ผมก็หยิกพุงน้อย ๆ ของตัวเอง พร้อมกับนึกถึงชานมไข่มุกที่เพิ่งทานไปเมื่อวานนี้

ชิมชา

เราคุยกันมานานจนคอเริ่มแห้ง คุณบี๋เลยชวนผมลองชิมชาชนิดต่าง ๆ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ผมอยากให้เธอพาชมของเก่าอันเป็นสมบัติดั้งเดิมที่ยังรักษาไว้จากรุ่นอาก๋งมาจนวันนี้

“ถ้ำชา คือภาชนะหรือสถานที่เก็บรักษาคุณภาพใบชา ถ้ำชานี้อยู่บนผนังกำแพงร้านและเป็นของดั้งเดิมที่อยู่คู่ร้านมาตั้งแต่แรก สมัยก่อนเวลาอาก๋งขนชากลับมาจากเมืองจีน ชาจะอยู่ในลังไม้ที่ตีบิดด้วยไม้ไผ่สานละเอียด พอมาถึงกรุงเทพฯ ก็จะนำใบชามาตรวจสอบคุณภาพเสียก่อน ใบชาอาจนิ่มลงเพราะได้รับความชื้นระหว่างรอนแรมมาในทะเล ดังนั้นเลยต้องมีกระบวนการอบชาที่หลังร้าน พออบเสร็จก็จะนำชามาแบ่งออกเป็นกองย่อย ๆ แล้วห่อด้วยกระดาษ 2 ชั้น เป็นกระดาษแบบพิเศษเพื่อรักษากลิ่นและรส แล้วนำห่อชาเล็ก ๆ 10 ห่อ มาห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลอีกครั้ง ก่อนนำไปเก็บรักษาในถ้ำชา ถ้ำชาทำจากแร่ธาตุอย่างดีบุกหรือเงิน เพราะเชื่อว่าช่วยรักษาคุณภาพดีที่สุด”

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
ถ้ำชาดั้งเดิมบนผนังกำแพงร้านที่ยังมีอยู่จนทุกวันนี้

ในยุคหลัง ใบชาที่เก็บมาจะบรรจุอยู่ในกระป๋องเหล็ก ทำให้ถ้ำชาลดความสำคัญลงไป แต่ในบางกรณีที่ใบชาบางชนิดยังบรรจุอยู่ในกล่องกระดาษ ทางร้านก็ยังนำกล่องกระดาษเข้าถ้ำชาเพื่อเก็บรักษาคุณภาพไว้เช่นเดิม

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
ถ้ำชาสภาพปัจจุบัน

ผมไล่อ่านข้อความที่ปรากฏอยู่บนถ้ำชาไปเรื่อย ๆ มี ชาตราทับทิม ตราผีเสื้อ ตราส้มมือ ตรานกคู่ ตราเหรียญทอง จนสายตามาหยุดลงที่ ตราลูกระเบิด อะไรคือชาชนิดนี้ครับเนี่ย!

“เมื่อก่อนชาแต่ละประเภทที่เรียกว่า ‘ตรา’ เนี่ยน่ะค่ะ จะเป็นการนำใบชาคุณภาพหลากหลายประเภทมาผสมผสานกันให้เกิดกลิ่นและรสอันเป็นเอกลักษณ์ของทางร้าน เราเรียกว่าเป็นเบลนด์ (Blend) ซึ่งเป็นเหมือนสูตรลับของใครของมัน ชา 1 ตราอาจมีชาอู่หลงสายพันธุ์นี้ผสมสายพันธุ์นั้น จำนวนเท่านี้เท่านั้นต่าง ๆ กันไป ลูกค้าไม่รู้หรอกว่าชาตรานั้นตรานี้มาจากชาอะไรบ้าง”

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า
ชาตราลูกระเบิด

“อย่างชาตราลูกระเบิดเป็นชาที่ผลิตขึ้นตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วก็เป็นเบลนด์พิเศษเบลนด์หนึ่งของทางร้าน คือของก็ต้องขาย ระเบิดมาก็ต้องวิ่งหนี โอย ชีวิตทุลักทุเล (หัวเราะ) อาก๋งเลยตั้งชื่อชาที่ผลิตขึ้นมาช่วงนั้นว่า ชาตราลูกระเบิดเสียเลย (หัวเราะ)”

ปัจจุบันนี้ชาตราระเบิดไม่มีจำหน่ายแล้ว แต่ชาตราทับทิม ตราผีเสื้อ หรือตราปั้น ฯลฯ ยังมีอยู่นะครับ

จากนั้นคุณบี๋นำภาชนะโบราณสีเทาออกมาวางให้ดู เป็นเหมือนกระป๋องทรงสูงสำหรับใส่ชา

“อันนี้ก็เป็นถ้ำชาเหมือนกัน แต่เป็นภาชนะแบบกระป๋องที่ทำหน้าที่เหมือน Tester สำหรับเก็บชาตัวอย่างและพร้อมชงให้ลูกค้าลองชิมก่อนตัดสินใจซื้อ ถ้ำชาแต่ละกระป๋องก็จะเก็บชาแต่ละตราเอาไว้ เวลาลูกค้าอยากชิมชาตราไหน ๆ ก็ตาม เราหยิบชาออกมามาชงให้ลูกค้าลอง พอลูกค้าชอบใจ จะสั่งกี่กล่องกี่ลังก็ว่ามาเลย บนถ้ำชาแบบกระป๋องจะมีหมายเลขระบุไว้ ซึ่งต้องตรวจสอบให้ตรงกันกับที่จะจำหน่ายด้วย”

สืบรากเหง้าชาจีนบนแผ่นดินไทยจาก ‘อ๋องอิวกี่’ ร้านชาเก่าแก่คู่ย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า

และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญที่วันนี้ผมจะได้ทดลองชาร้านอ๋องอิวกี่เสียที ทางร้านยังรักษาวิธีการชงชาไว้ครบถ้วนตามตำรับแบบโบราณ

“เราต้องเริ่มด้วยการใช้น้ำร้อนลวกภาชนะที่จะนำมาใช้ชงชาทั้งหมดเสียก่อน จากนั้นจึงใส่ใบชาลงไปในถ้วยชา เติมน้ำร้อนอีกครั้งเพื่อล้างใบชาให้สะอาด แล้วก็เทน้ำทิ้ง จากนั้นเราค่อยเติมน้ำร้อนลงไปบนใบชาที่ล้างสะอาดแล้ว แช่ชาทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 วินาที รินเฉพาะน้ำชาออกมาแล้วจึงดื่ม ก่อนที่จะทิ้งชานั้น เติมน้ำร้อนกลับลงไปบนใบชาเดิมเพื่อดื่มต่อได้อีก 4 – 5 เที่ยวนะคะ”

เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชากับทายาทรุ่น 3 ของบริษัท ใบชาอ๋องอิวกี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชาจีนมาตั้งแต่ปลายยุค ร.5

สำหรับชาที่ผมเลือกดื่มในวันนี้ได้แก่ ชาตราปั้น ซึ่งเป็นชาสูตรดั้งเดิมของร้านอ๋องอิวกี่ และเป็นชามหาชนที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องมายาวนาน

“ชาตราปั้นเป็นชาที่อาก๋งทำให้ดื่มง่าย ๆ ราคาไม่แพง ร้านอาหารจีนทั่วไปก็นำไปใช้ชงใส่น้ำแข็งให้แขกดื่มแก้กระหาย เรียกว่าเป็นชามหาชนที่ใคร ๆ ก็ดื่มได้”

เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชากับทายาทรุ่น 3 ของบริษัท ใบชาอ๋องอิวกี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชาจีนมาตั้งแต่ปลายยุค ร.5

ชาตัวที่ 2 ผมขอคุณบี๋ลองชาจูหลัน ตามที่เคยอ่านมาจากบทพระราชนิพนธ์ กาพเห่ชมเครื่องคาวหวาน ในรัชกาลที่ 2

“ชาจูหลันนั้นความจริงออกเสียงว่า ‘จื่อหลาน’ เป็นชาแต้จิ๋วคุณภาพสูง มาจากภูเขาเฟิ่งหวง (Fenghuang) ในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งมีสายพันธุ์ชาคุณภาพชื่อว่า ‘ชาตานฉง (Dan Cong)’ ชาจื่อหลานจะให้กลิ่นหอมนุ่มนวลแบบผู้ดี หอมติดลำคอไปนาน”

เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชากับทายาทรุ่น 3 ของบริษัท ใบชาอ๋องอิวกี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชาจีนมาตั้งแต่ปลายยุค ร.5
ชาจูหลันหรือชาจื่อหลาน รสชาตินุ่มนวลแบบผู้ดี

ชาตัวสุดท้ายที่ผมอยากลอง ก็คือชาที่คุณบี๋คาดว่าเป็น ฉาบ๋วย (Tcha-boüi) ตามที่ลาลูแบร์บันทึกไว้

“เทือกเขาอู่อี๋ซานมีชาหลายสายพันธุ์ ยากที่จะประเมินได้ว่าตัวไหนเป็นตัวที่ลาลูแบร์กล่าวถึง เพราะลาลูแบร์เรียกรวม ๆ ไปเลยว่าชาบู๋อี๋โดยไม่ระบุสายพันธุ์ ดังนั้น วันนี้พี่เลยชวนดื่ม ‘ชาต้าหงเผา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ดีที่สุดของเทือกเขาอู่อี๋ซานละกัน”

ชาต้าหงผามีกรรมวิธีในการชงที่แตกต่างจากชา 2 ตัวแรก เพราะต้องชงในปั้นชาที่ทำจากดินเผา

“ปั้นชา คือภาชนะชงชาที่ทำจากดินเผา มีหลายขนาด ขนาดเล็กมีความจุประมาณ 50 – 60 cc ขนาดใหญ่ขึ้นมาก็ประมาณ 200 – 300 cc แล้วแต่ว่าเราจะชงชาอะไร มากน้อยแค่ไหน ปั้นชาที่ดีจะทำจากดินเผาของเมืองอี๋ชิงซึ่งในเนื้อดินมีแร่เหล็กผสมอยู่ 2 – 9 เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้รักษาความระอุเอาไว้ได้ เวลาชงชาต้าหงเผา เราจะใส่น้ำเดือดลงไปในปั้นชาแล้วเทน้ำออก นำใบชาต้าหงเผาใส่ลงไปในนั้น ปิดฝาไว้แล้วรอสักพัก ความระอุในปั้นจะขับน้ำมันชาให้ระเหยออกมาจากใบ จากนั้นจึงเทน้ำร้อนลงไป ระหว่างนั้นก็เทน้ำร้อนราดลงไปบนปั้นชาที่บรรจุใบชาต้าหงผา รอให้น้ำร้อนบนปั้นชาระเหยจนแห้งแล้วจึงค่อยรินชาออกดื่ม”

เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชากับทายาทรุ่น 3 ของบริษัท ใบชาอ๋องอิวกี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชาจีนมาตั้งแต่ปลายยุค ร.5
ชาต้าหงเผา หนึ่งในสุดยอดชา
ชงในปั้นชาที่ทำด้วยดินจากเมืองอี๋ชิง

วันนี้ผมเพิ่งมีโอกาสรับรู้กลิ่นและรสที่แตกต่างกันของชาแต่ละตัว ชาตราปั้นดื่มง่ายสบายลิ้น ชาจื่อหลานหอมละมุนแบบผู้ดีอย่างที่คุณบี๋ว่า ส่วนชาต้าหงเผานั้น หอมเข้ม หอมลึก เร้าอารมณ์รื่นเริง

อาจจกล่าวได้ว่า วันนี้คือวันแรกที่ผมดื่มชาได้อร่อยที่สุดในชีวิต ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับผมเป็นอย่างมาก และผมก็คิดว่าผมจะหาโอกาสกลับมาลองชาที่ร้านอ๋องอิวกี่อีกอย่างแน่นอน

ผมรู้สึกขอบคุณคุณบี๋ที่ยังคงรักษาธุรกิจของบรรพบุรุษไว้ด้วยความภาคภูมิใจ ศึกษาด้วยตนเองอย่างจริงจัง เพราะเล็งเห็นคุณค่าของทุกเรื่องราวอันเกี่ยวเนื่องกับบรรพบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชาในทุกมิติ รวมไปถึงประวัติศาสตร์ของย่านสี่กั๊กเสาชิงช้า ถนนบำรุงเมือง รวมทั้งสถาปัตยกรรมของอาคารที่อยู่ในยุคเดียวกัน

“พี่คิดว่าชาเป็นเครื่องดื่มที่กลิ่นและรสช่วยกระตุ้นโสตประสาทให้เกิดสุนทรียภาพ เป็นความรู้สึกที่พี่ขอเรียกว่า ‘ชื่นชูจิตใจ’ ทุกครั้งที่ดื่ม เราจะรู้สึกซาบซึ้งกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการผลิตชาทั้งหมด ไม่ว่าเกษตรกรที่เพาะปลูกอยู่บนเขาสูง คนเก็บใบชา คนที่นำชามาอบมานวดเพื่อดึงกลิ่นและรสออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ต้องใช้ความอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง”

เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชากับทายาทรุ่น 3 ของบริษัท ใบชาอ๋องอิวกี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชาจีนมาตั้งแต่ปลายยุค ร.5

และแล้วก็มาถึงคำถามสุดท้ายของผมในวันนี้ว่า ชาที่คุณบี๋คิดว่าดีที่สุดคือชาอะไร

“ชาที่ดีที่สุดขึ้นอยู่ว่าดื่มกับใคร ชาที่ดื่มกับเพื่อนแท้เพื่อนสนิท ดื่มไปคุยไป ก่อให้เกิดมิตรภาพที่งดงาม ต่อให้ชาไม่อร่อย แต่ดื่มกับเพื่อนดี ๆ ก็ยังอร่อยเลย จริงไหมคะ”

เราจบการสนทนาในตอนบ่ายของวันนั้นหลังจากที่ผมกวนเวลาของเธอไปนานหลายชั่วโมง คุณบี๋ยกถ้วยชาขึ้นชวนผมดื่มอีกครั้งก่อนกล่าวอำลา มิตรภาพอันงดงามและความรู้ที่ผมได้รับจากคุณบี๋ในวันนี้ ผมขอแบ่งปันให้ผู้อ่านบทความนี้ทุกคนด้วยครับ

หมดจอก… คารวะ

สำหรับผู้ที่สนใจชิมชาที่ร้านอ๋องอิวกี่

ร้านเปิดวันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00 – 17.00 น.

โทรติดต่อเพื่อนัดหมายที่ โทรศัพท์ 02 222 1748

การเดินทางที่สะดวกสุดคือใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ลงที่สถานีสามยอด แล้วเดินเพลิน ๆ มาที่สี่กั๊กเสาชิงช้า (แผนที่)

ขอขอบพระคุณ
  • คุณบี๋-นพพร ภาสะพงศ์ ทายาทรุ่นที่ 3 ของร้านชาอ๋องอิวกี่ ผู้ให้สัมภาษณ์
  • คุณวทัญญู เทพหัตถี สถาปนิกอนุรักษ์ ผู้โพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับร้านชาอ๋องอิวกี่ใน Facebook ซึ่งจุดประกายให้ผู้เขียนอยากทำบความเกี่ยวกับร้านนี้
  • ดร.ยุวรัตน์ เหมะศิลปิน สถาปนิกอนุรักษ์ ผู้แนะนำแหล่งข้อมูลอันเกี่ยวเนื่องกับสถาปัตยกรรมอาคารพาณิชย์ในย่านเก่าที่ปลูกสร้างขึ้นช่วง พ.ศ. 2500 (แหล่งข้อมูลปรากฏอยู่ในเอกสารอ้างอิง)
ข้อมูลอ้างอิง
  • บ้านในกรุงเทพ ฯ : รูปแบบและการเปลี่ยนแปลงในรอบ 200 ปี (พ.ศ. 2325-2525) โดย ผศ.ผุสดี ทิพทัส และ ผศ.มานพ พงศทัต คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผลงานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องในวาระสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี (ปัจจุบัน คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ผุสดี ทิพทัส ราชบัณฑิต ประเภทวิชาสถาปัตยศิลป์ สาขาวิชาสถาปัตยกรรม สำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสภา และรองศาสตราจารย์ มานพ พงศทัต ศาสตราภิชาน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
  • จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม เขียนโดย ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubère) เป็นบันทึกต้นฉบับชื่อ Du Royaume de Siam ฉบับภาษาไทยแปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร

Writer

Avatar

โลจน์ นันทิวัชรินทร์

หนุ่มเอเจนซี่โฆษณาผู้มีปรัชญาชีวิตว่า "ทำมาหาเที่ยว" เพราะเรื่องเที่ยวมาก่อนเรื่องกินเสมอ ชอบไปประเทศนอกแผนที่ที่ไม่ค่อยมีใครอยากไป เลยต้องเต็มใจเป็น solo backpacker Instagram : LODE_OAK

Photographer

Avatar

ผลาณุสนธิ์ ผดุงทศ

ช่างภาพที่โตมาจากเมืองทอง รักแมว ชอบฤดูฝน และฝันอยากไปดูบอลที่แมนเชสเตอร์