นี่คือยาสระผมแบรนด์แรกที่เราไม่อยากทิ้งขวด เพราะนอกจากจะช่วยให้ห้องน้ำดูเก๋ขึ้นแล้ว ยังกลายเป็นแจกันแต่งห้องได้ด้วย
“เราออกแบบขวดมาเพื่อสนับสนุนให้คนเอาไปใช้ซ้ำได้ รีไซเคิลต่อได้ หรือซื้อถุงรีฟิลมาเติม บางทีจะเห็นไอเดียน่ารัก ๆ บางคนเอาไปใส่ดอกไม้ บางทีเอาไปใส่เครื่องเขียนในห้อง” ตั้ม-ธนทัต สุกาญจนพงษ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Organics Buddy’ เฉลยว่าเราไม่ใช่คนเดียวที่ไม่กล้าทิ้งขวด แถมยังเป็นความตั้งใจของแบรนด์ที่อยากออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมือนของแต่งบ้านชิ้นหนึ่ง
Organics Buddy คือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เน้นส่วนผสมจากธรรมชาติ โดยแยกย่อยออกเป็น 2 แบรนด์ ได้แก่ Soganics น้ำยาซักผ้าและทำความสะอาดบ้านขวดสีครีมสุดมินิมอล และ Common Ground ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณในขวดสีเขียวเข้มเหมือนใบไม้ในฤดูฝน
นอกจากภาพลักษณ์ภายนอกที่แตกต่าง อีกเหตุผลที่หลายคนสมัครเป็นแฟนคลับของแบรนด์นี้คงเป็นเรื่องส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อร่างกาย ใจดีกับสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือราคาจับต้องได้ อยู่ตรงกลางระหว่างผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาดกับสินค้าออร์แกนิกนำเข้าราคาสูงลิ่ว
แต่กว่าจะเจอ ‘ตรงกลาง’ ที่ว่านี้ Organics Buddy มีวิธีคิดและทำอย่างไร ชวนมาหาคำตอบไปพร้อมกันในบทความนี้


เพราะไม่อยากแพ้
ปัญหาหนึ่งของคนผิวแพ้ง่ายคือเหงื่อออกแล้วระคายเคืองผิว กลายเป็นปัญหาสุขอนามัยกวนใจหลายคน รวมทั้งตั้มและคนรอบตัวของเขา
“การซักผ้าไม่ว่าจะซักด้วยเครื่ิองหรือซักมือมักมีน้ำยาตกค้างอยู่ เมืองไทยเป็นเมืองร้อน เวลาเหงื่อออก น้ำยาพวกนี้จะสัมผัสกับผิว ถ้าเจอสารเคมีที่เข้มข้นหรือมีผลรุนแรงขึ้นมา อาจทำให้เกิดอาการแพ้ บางคนอาจเกิดสิวที่หลังหรือมีผื่นคัน ซึ่งเราเคยปรึกษากับหมอผิวหนัง หนึ่งในข้อแนะนำคือให้ลองเปลี่ยนน้ำยาซักผ้า เราจึงเริ่มสนใจสินค้าพวกนี้ขึ้นมา”
จากการตามหาในฐานะลูกค้าค่อย ๆ ขยับมาเป็นการเห็นช่องว่างในตลาดทีละนิด ตั้มพบว่าผลิตภัณฑ์ซักผ้า อาบน้ำ และดูแลผิวพรรณที่มีสารสกัดจากธรรมชาติในบ้านเรา มักเป็นแบรนด์นำเข้าหรือผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกจริงจังที่ราคาจับต้องยาก ไม่ค่อยมีผลิตภัณฑ์ที่ราคากลาง ๆ


เมื่อตั้มหยิบยกเรื่องนี้ไปคุยกับเพื่อน ๆ จากบทสนทนาของเหล่าคนแพ้ง่ายก็กลายเป็นแนวคิดธุรกิจในปี 2018 และใช้เวลาพัฒนาสูตรราว 1 ปี จนเริ่มวางขายครั้งแรกในปี 2019
“กลุ่มลูกค้าหลักคือคนที่คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ธรรมชาติอยู่แล้ว แม้กระทั่งลูกค้าที่เมื่อก่อนไม่เคยให้ความสำคัญ แต่เราพยายามทำให้ราคาอยู่ในระดับที่เขาอยากเปิดใจ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่หันมาใส่ใจสุขภาพหรือคนชอบออกกำลังกาย
“จากนั้นก็มีกลุ่มอื่นขยายเข้ามา เช่น คนที่ชอบดำน้ำลึก เพราะเขารู้สึกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ของเราจะปลอดภัยในการชะล้างลงสู่ทะเลและระบบนิเวศ หรือช่วงโควิด-19 คนให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดบ้าน แต่ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคมีสารตกค้าง ถ้าน้องหมาน้องแมวไปเลียพื้นอาจจะเกิดปัญหาสุขภาพได้ จึงเป็นที่มาของกลุ่มลูกค้าที่มีสัตว์เลี้ยง ช่วยบอกต่อกันไปว่า ใช้ Organics Buddy แล้วไม่อันตรายต่อน้องหมาน้องแมวที่บ้าน
“ยิ่งผมเพิ่งเป็นคุณพ่อมือใหม่ ยิ่งทำให้ผมใส่ใจและเห็นความสำคัญของการดูแลคนรอบข้างมากขึ้นไปด้วย แม้กระทั่งลูกชายผมเอง ผมก็ยังมั่นใจให้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Organics Buddy ตั้งแต่แรกเกิด ทั้งอาบน้ำ ซักผ้า และทำความสะอาดทั่วไป”

ความยืดหยุ่นคือหัวใจ
หัวใจหลักของ Organics Buddy จึงเป็นการหาสมดุลระหว่างผลิตภัณฑ์ธรรมชาติกับราคาที่เอื้อมถึงได้ การทำธุรกิจนี้จึงมีกฎเหล็กว่า ส่วนผสมไหนที่พอจะยืดหยุ่นได้ ส่วนผสมไหนที่ห้ามใส่ในผลิตภัณฑ์ทุกตัว เช่น ต้องปราศจากคลอรีน ซิลิโคน พาราเบน ฟอร์มาลดีไฮด์ ไม่มีแอลกอฮอล์ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ รวมทั้งไม่ทดลองกับสัตว์
“นึกภาพว่าแม่บ้านหรือเราทำความสะอาดทุกวัน แล้วอยู่ในห้องที่อากาศไม่ได้ถ่ายเท ถ้าสูดดมคลอรีนเข้าไปเยอะ ๆ สะสมในร่างกายมาก ๆ อาจจะเกิดผลกระทบกับเขาได้” ตั้มอธิบาย พร้อมบอกว่าสูตรทั้งหมดพัฒนาจากห้องแล็บที่ออสเตรเลีย โดยปรับสูตรให้เข้ากับความชอบและความคุ้นเคยของคนไทย เพราะเป็นประเทศเชี่ยวชาญและมีความพร้อมด้านนี้มากกว่า หลังจากนั้นจึงนำสูตรที่ได้กลับมาผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย
“วิธีคิดของ Organics Buddy กลายเป็นที่มาของชื่อ Common Ground ไปด้วย คือการหาจุดลงตัวสำหรับทุกฝ่าย เราจะทำให้ราคาแพงไปเลยแล้วบอกว่าเป็นแบรนด์ที่ออร์แกนิกที่สุดก็ได้ แต่สุดท้ายอาจจะไม่ตอบโจทย์เรื่องราคา หรือทำแชมพูออกมาโดยไม่ใส่น้ำหอมเลยก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วคนไทยก็ชอบกลิ่นหอมอ่อน ๆ นิดหนึ่ง เราจึงต้องเลือกน้ำหอมที่อ่อนโยนมากพอที่คนแพ้ง่ายจะไม่แพ้ เรียกว่าเป็นการหาจุดลงตัวกันระหว่างหลาย ๆ ฝ่าย”


เมื่อขวดกลายเป็นเฟอร์นิเจอร์
แม้ว่า Organics Buddy จะเกี่ยวข้องกับการทำความสะอาด แต่ตั้มและทีมตัดสินใจแยกสินค้าออกเป็น 2 แบรนด์ คือ Common Ground และ Soganics ซึ่งมีทิศทางการออกแบบไม่เหมือนกัน เพื่อให้ผู้บริโภคไม่สับสนว่าผลิตภัณฑ์ไหนใช้ทำความสะอาดร่างกาย ผลิตภัณฑ์ไหนใช้ทำความสะอาดพื้นผิว
“Soganics เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด จึงออกมาเป็นสีขาวครีมให้ความรู้สึกสะอาด โทนกลาง ๆ สบายใจที่จะวางไว้ทุกที่ ลองนึกภาพว่า มีแขกมาบ้านกะทันหัน เรามักต้องรีบเอาขวดนู่นนี่นั่นไปเก็บให้บ้านดูเรียบร้อย บางคนอยู่คอนโดมิเนียม ไม่ได้มีพื้นที่จัดเก็บเยอะ งั้นก็ทำให้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด กลายเป็นของตกแต่งบ้านชิ้นหนึ่งที่เข้ากับบ้านทุกหลังได้เลยดีกว่า


“ส่วน Common Ground เราใช้พลาสติกรีไซเคิล ณ ตอนนั้นเทรนด์สีชากำลังมา แต่เราเห็นบ่อยแล้ว สีเขียวจึงน่าจะตอบโจทย์ที่สุด เป็นโทนที่เหมาะกับแบรนด์ด้วย”
นอกจากนี้ ถ้าสังเกตอีกนิดจะพบว่า Organics Buddy เป็นแบรนด์ที่ต้องพลิกอ่านชื่อผลิตภัณฑ์ก่อนเสมอ เพราะบางขวดหน้าตาคล้าย ๆ กัน แต่บนฉลากบ่งบอกว่าเป็นสินค้าคนละชนิด ซึ่งเป็นความตั้งใจของแบรนด์เพื่อแก้โจทย์เรื่องราคา
“มันเป็นเรื่อง Economy of Scale เราอยากทำให้ขวดมันแชร์กันได้ เช่น ขวดเจลอาบน้ำกับแชมพู เป็นขวดแบบเดียวกัน แน่นอนว่าสูตรไม่เหมือนกัน ฉลากไม่เหมือนกันอยู่แล้ว วิธีนี้ช่วยให้เราทำราคาออกมาจับต้องได้มากขึ้น แทนที่จะสั่งซื้อเจลอาบน้ำกับแชมพูเป็นขวดคนละทรงกัน เราสั่งขวดแบบเดียวกันทีละเยอะ ๆ แต่ใช้ได้หลายผลิตภัณฑ์แทนดีกว่า”


แต่หากใช้จนหมดแล้วเสียดายขวด ทางแบรนด์ก็มีทางเลือกแบบถุงรีฟิลให้เติมได้อีกหลายครั้ง ซึ่งช่วยลดพลาสติก พลังงาน และน้ำที่ใช้ในขั้นตอนการผลิตมากกว่าแบบขวด เราสังเกตเห็นว่าถุงเติมของตั้มค่อนข้างใหญ่กว่าถุงส่วนมากในท้องตลาด และทำราคาออกมาให้จูงใจมากกว่าซื้อขวดใหม่เรื่อย ๆ “ขวด 350 มิลลิลิตร ราคาพอ ๆ กับถุงรีฟิล 500 มิลลิลิตร ถ้าซื้อแบบถุงเติมจะคุ้มกว่า เติมครั้งเดียวก็ยังไม่หมด เราเลยออกแบบให้มีฝาปิด จะได้เก็บง่าย ถือง่าย เพราะอยากทำให้สะดวกต่อผู้ใช้งานมากที่สุด”
นับตั้งแต่ปี 2019 Organics Buddy เติบโตมากขึ้นทุกวัน ทั้งในแง่ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งที่น่ายินดีไม่แพ้ตัวเลขคงจะเป็นเสียงจากลูกค้าที่ย้ำเตือนว่าพวกเขาเดินมาถูกทิศทางแล้ว
“หลายครั้งเราได้ฟีดแบ็กจากลูกค้าว่าใช้แล้วชอบมาก อย่างน้ำยาล้างจาน เขาบอกว่าใช้แล้วมือไม่แห้ง ไม่ลอก ไม่ต้องใส่ถุงมือล้างจาน หรือแม้กระทั่งแชมพู ลูกค้าบอกว่า เมื่อก่อนคันหนังศีรษะ ผมเป็นรังแค แต่พอใช้แล้วรู้สึกสะอาดขึ้น รังแคน้อยลง หนังศีรษะไม่แห้ง การทำธุรกิจของเราจึงเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น
“เราว่าสินค้าแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไหนหรือของใครก็ตาม ถ้าขายให้คนร้อยคน คงไม่ชอบกันทั้งร้อยคนหรอก ขอแค่มีเสียงแบบนี้มาจากลูกค้า มีคนสักกลุ่มชอบสินค้าเราและเราแก้ปัญหาให้เขาได้ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว” ตั้มเอ่ยทิ้งท้าย


