เมื่อใกล้ถึงวันออกพรรษาของทุกปี หนึ่งในสิ่งที่ประชาชนชาวไทยมักนึกถึงคือบั้งไฟพญานาคที่แม่น้ำโขง ในจังหวัดหนองคาย พญานาคเป็นสัตว์ในตำนานความเชื่อของชาวพุทธที่แทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมไทยหลายอย่าง ไม่ว่าตำนานครุฑต่อสู้กับนาค (ครุฑยุดนาค) ที่นำมาสร้างเป็นช่อฟ้า ใบระกา นาคสะดุ้ง และหางหงส์ บนหน้าบันของอุโบสถ์ตามวัดต่างๆ หรือแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความนิยมอย่างถ้ำนาคาที่จังหวัดบึงกาฬ


อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือภาพปลาพญานาค หรือปลาออร์ ที่แพร่หลายอยู่ทั่วโลกในช่วง พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) จนถึงปัจจุบัน ผู้อ่านที่เกิดในยุค 90 ไม่น่าจะมีใครไม่เคยเห็นภาพทหาร 20 กว่าคนถือปลาตัวยาวๆ ลักษณะคล้ายพญานาค ภาพนี้แพร่หลายอยู่ในอินเทอร์เน็ต รวมถึงร้านอาหารมากมายในแถบภาคอีสานและประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาและลาว วันนี้ผมจะมาเล่าถึงเบื้องหลังของภาพปลาพญานาคในตำนาน หรือที่อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ปลาออร์ (Oarfish) ให้ฟังครับ

ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. 2557 ผมได้โอกาสศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขาชีววิทยาทางทะเล ที่สถาบันสมุทรศาสตร์ทางทะเลสคริปป์ (Scripps Institution of Oceanography) ในเมือง La Jolla รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ผมได้ทำวิจัยอยู่ในห้องเก็บตัวอย่างสัตว์มีกระดูกสันหลังในทะเล (Marine Vertebrate Collection) โดยห้องเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลในสถาบันแห่งนี้เก็บรวบรวมตัวอย่างปลาน้ำจืดและน้ำเค็มจากทั่วโลกไว้ทั้งหมดราวๆ 2 ล้านกว่าตัว และมีจำนวนมากถึง 6,000 ชนิด (ยังไม่รวมตัวอย่างที่ยังไม่ทราบชนิดของปลา) ซึ่งคือ 1 ใน 6 ของชนิดปลาทั้งหมดบนโลกนี้


ในวันแรกที่ผมเริ่มงาน เพื่อนร่วมงานของผม คุณ H.J. Walker ผู้ดูห้องเก็บตัวอย่างสัตว์แห่งนี้ได้พาผมเข้าไปในห้องเก็บตัวอย่างเพื่ออธิบายบริเวณต่างๆ ของห้อง ก้าวแรกที่เดินเข้าไป ผมได้เจอกับภาพปลาพญานาคแปะอยู่หน้าห้อง มีข้อความเขียนไว้ว่า
“SIO 96-82 ถูกพบที่ชายหาดของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ ของสหรัฐอเมริกา ใกล้กับชายหาดโคโลนาโด รัฐแคลิฟอร์เนีย ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) มีความยาวประมาณ 7.3 เมตร”

ผมตกใจกับภาพนี้มาก เลยบอกกับคุณ Walker ว่า รู้หรือไม่ว่าภาพนี้โด่งดังมากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุณ Walker ตอบกลับมาว่ารู้ และบอกว่าตัวอย่างของปลาในภาพนี้อยู่ในห้องเก็บตัวอย่างสัตว์แห่งนี้
ผมตื่นเต้นมาก คุณ Walker ถามกลับมาว่า รู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนเก็บตัวอย่างปลาพญานาคในภาพกลับมา
คุณผู้อ่านลองทายสิครับว่าเขาคนนั้นคือใคร ใช่แล้วครับ คุณ Walker เป็นผู้ที่ไปจัดการเก็บตัวอย่างหัวปลาพญานาคกลับมาไว้ที่ห้องเก็บตัวอย่างสัตว์แห่งนี้เมื่อ 24 ปีที่แล้ว ผมจึงได้โอกาสสัมภาษณ์คุณ Walker เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น
ย้อนกลับไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1996 หรือ พ.ศ. 2539 ช่วงเวลา 11 โมงเช้า ณ ห้องเก็บตัวอย่างสัตว์มีกระดูกสันหลังในทะเลสคริปป์ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผู้พูดปลายสายคือครูฝึกทีมน้ำฟ้าฝั่งนาวีสหรัฐหรือ Navy SEALs ได้โทรมารายงานว่าเขาได้พบปลาประหลาดที่มีลำตัวยาวสีเงิน นอนเกยตื้นอยู่ที่ชายหาดโคโรนาโด ในเมืองแซนดีเอโก (San Diego) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ขณะที่เขากำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่
คุณ Walker และเพื่อนอีกสองคนจึงได้ขับรถลงไปยังบริเวณดังกล่าวแล้วได้พบกับเจ้าปลาประหลาดตัวนี้ เมื่อไปถึง ทหารเรือ 20 กว่านายได้ยกร่างไร้ชีวิตของเจ้าปลาดังกล่าวกลับไปยังฐานทัพริมทะเลเพื่อทำความสะอาดและเก็บข้อมูล เพื่อนของคุณ Walker และช่างภาพจากสำนักข่าวหน่วย Navy SEALs ได้ถ่ายภาพนี้ไว้ ก่อนภาพนี้จะกลายเป็นตำนานไปทั่วโลก
เนื่องจากคุณ Walker เป็นนักมีนวิทยาผู้ศึกษาปลามาเป็นระยะเวลากว่า 40 ปี เขารู้ทันทีว่าเจ้าปลาตัวนี้คือปลาออร์ หรือที่คนไทยได้เรียกกันว่าปลาพญานาค คุณ Walker และเพื่อนๆ วัดขนาดของเจ้าปลาตัวนี้ พบว่ามีขนาดยาวถึง 7.3 เมตร และหนักประมาณ 140 กิโลกรัม เมื่อผ่าชันสูตรศพก็พบว่าในกระเพาะของปลาตัวนี้มีแต่สิ่งชีวิตขนาดเล็กๆ ไม่พบแผลภายใน และพบรอยเหมือนโดนฟันที่บริเวณหัว จึงคาดว่าเสียชีวิตจากอุปกรณ์บางอย่างของมนุษย์
หลังจากทำการเก็บข้อมูลเสร็จ คุณ Walker ระบุชนิดว่าคือปลาออร์ยักษ์ (Giant oarfish ; Regalecus glesne) โดยตัดหัวและหางของเจ้าปลาตัวนี้ไว้เพื่อมาเก็บรักษาไว้ในห้องเก็บตัวอย่างสัตว์ สาเหตุที่ไม่เก็บปลาทั้งตัวไว้ เนื่องจากปลาดังกล่าวลำตัวยาวมาก และกระดูกบริเวณหัวและหางของปลาเป็นส่วนสำคัญที่ใช้ในการจำแนกชนิดปลาต่างๆ
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น คุณ Walker จึงนำหัวและหางของเจ้าปลามาเก็บรักษาสภาพไว้ในห้องเก็บตัวอย่างสัตว์มีกระดูกสันหลังในทะเลสคริปป์จนถึงปัจจุบัน

หลังจากนั้นคุณ Walker เล่าให้ฟังว่า เพื่อนของเขาได้ขายภาพปลาพญานาคนี้ให้กับหลายสำนักพิมพ์ในยุคนั้น และภาพดังกล่าวได้ถูกเผยแผ่ไปทั่วโลก โดยที่ตอนนั้นคุณ Walker และเพื่อนไม่เคยทราบถึงตำนานเรื่องพญานาคมาก่อน
หลังจากภาพนี้เผยแพร่ในช่วง พ.ศ. 2540 คนจำนวนมากมายติดต่อมาที่ห้องเก็บตัวอย่างเพื่อขอมาดูหัวปลา จนกระทั่งวันหนึ่งชาวกัมพูชาท่านหนึ่งได้โทรมาหาเพื่อจะมาขอบูชาพญานาค นั่นคือวันแรกที่คุณ Walker ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องพญานาค เขาบอกคุณ Walker ว่าต้องให้เขาเข้าไปบูชา ไม่เช่นนั้นจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับคุณ Walker แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ให้เข้ามาชมเพราะเกรงเรื่องความปลอดภัย

ท้ายที่สุดผมถามคุณ Walker ว่ามีอะไรพิเศษน่าเล่าให้ฟังอีกไหม คุณ Walker เล่าว่า เขาแอบเก็บเนื้อปลาพญานาคตัวนั้นมาลองกิน โดยเขาเอาชิ้นเนื้อเล็กๆ ของปลาพญานาคไปอบในเตาอบ เนื้อของปลาพญานาคนุ่มนิ่มมาก แต่รสชาติคล้ายกระดาษมากๆ ไม่อร่อยเลย
ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับรสชาติของเนื้อปลาพญานาคมาเพิ่มเติม พบว่าใน พ.ศ. 2492 มีรายงานระบุว่ารสชาติของปลาพญานาคไม่สมควรเอามาทำเป็นอาหาร แม้แต่สุนัขของชาวสแกนดิเนเวียที่ปกติชอบกินเนื้อปลา ก็ไม่กินเนื้อปลาชนิดนี้ ไม่ว่าสุกหรือดิบ
นั่นแหละครับ เบื้องหลังตำนานภาพปลาพญานาคอันโด่งดัง
ปลาพญานาคตัวนี้เคยถูกเชื่อว่าเป็นภาพพญานาคที่พบในแม่น้ำโขงในสมัยยุคสงครามเวียดนาม หลายคนคิดว่าการเกยตื้นตายของปลาพญานาคสื่อถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ ชาวญี่ปุ่นโบราณเชื่อว่าปลาพญานาคเตือนภัยเรื่องแผ่นดินไหวได้ บ่อยครั้งปลาพญานาคมักนอนเกยตื้นที่ริมชายฝั่งก่อนจะเกิดแผ่นดินไหว
ความเชื่อนี้ได้ถูกพิสูจน์ในเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2562 เมื่อคณะนักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดแผ่นดินไหวและการเกยตื้นของปลาน้ำลึกหลายชนิดรวมถึงปลาพญานาค คณะวิจัยพบว่า สองปัจจัยดังกล่าวไม่มีความสัมพันธ์กันทางสถิติ ดังนั้น ปลาพญานาคจึงใช้เป็นเครื่องเตือนภัยแผ่นดินไหวไม่ได้

นอกจากนี้ ปลาพญานาคชนิดต่างๆ ยังปรากฏในความเชื่อด้านการเดินเรือและประมงในหลายๆ ประเทศ เช่น ในศตวรรษที่ 15 นักเดินเรือในมหาสมุทรเชื่อตำนานปีศาจงูทะเล (Sea Serpent) ซึ่งบางคนสันนิษฐานว่าตำนานดังกล่าวอาจหมายถึงปลาพญานาค
ชาวนอร์เวย์โบราณก็เชื่อว่าหากใครทำร้ายปลาพญานาค จะส่งผลทำให้ปีนั้นจับปลาเฮร์ริง (Herrings) ได้ลดลง หรือแม้แต่ชาวอเมริกาที่อาศัยอยู่ทางด้านชายฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา ก็มีความเชื่อว่าปลาริบบิ้น (Ribbonfish; Trachipterus altivelis) ซึ่งเป็นญาติห่างๆ กับปลาพญานาค เป็นผู้นำทางปลาแซลมอนจากท้องทะเลให้กลับมาวางไข่ในแม่น้ำได้ถูกต้อง เพราะมีชาวประมงเคยเห็นฝูงปลาแซลมอนว่ายน้ำตามหลังปลาปลาริบบิ้นในทะเลไปยังปากแม่น้ำ
ชาวอเมริกาเหนือจึงเรียกปลาริบบิ้นว่า ราชาแห่งแซลมอน (King-of-the-Salmon) และตั้งกฎไม่ให้มีการล่าปลาริบบิ้นในสมัยโบราณ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อทั้งสองอย่างที่กล่าวมายังไม่ถูกพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์


ท้ายที่สุด ผมอยากย้ำว่าบทความนี้มิได้นำเสนอว่าพญานาคมีหรือไม่มีอยู่จริง หากแต่ต้องการเล่าถึงเรื่องราวเบื้องหลังของภาพปลาพญานาคเท่านั้น พญานาคจะมีจริงหรือไม่ก็ต้องสืบหากันต่อไป
สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไว้กับผู้อ่านทุกท่านคือ วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่สวยงามและมีประโยชน์กับมนุษยชาติ แต่ในเวลาเดียวกัน ความเชื่อและวัฒนธรรมของมนุษย์ที่ถูกสืบทอดต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นองค์ประกอบสำคัญของสังคมมนุษย์และมีคุณค่าในตัว ดังนั้น การหาจุดสมดุลระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อ อาจเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้สังคมของเราแข็งแรงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น