ในวัย 26 ปี นทคิดว่าอายุความคิดของตัวเองคือเท่าไหร่?

“โห ไม่รู้เลย เท่าไหร่ดี”

ถ้ายังพอจำกันได้ เมื่อหลายปีก่อน นท พนายางกูร สลัดภาพเด็กสาวยิ้มสดใสเล่นอูคูเลเล่ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ นท THE STAR เป็นสาวผมประบ่าสีฟ้าสุดชิคที่มีซินธิไซเซอร์อยู่ตรงหน้าในทุกคอนเสิร์ต

ภาพใหม่ของ นท พนายางกูร จากนักร้อง THE STAR สู่ศิลปินผู้กำลังจะมีนิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 2

เรื่องจริงคือ ก่อนหน้านี้เราเองไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวนทนัก ติดตามผ่านสื่อและโซเชียลมีเดียของเธอบ้างเป็นครั้งคราว แต่ยังไม่เคยรู้จักความคิดของเธอสักที

เรานัดกับนทที่สตูดิโอแห่งหนึ่ง ที่ที่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเธอกำลังจะจัดแสดงผลงานชุด Energy Diary 02 นิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 2 ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ การหายใจ และการทำสมาธิ

ใช่ เธอคือหญิงสาวคนเดียวกันกับที่เคยทำผมสีฟ้านั่นแหละ

ขณะนั่งฟังเทปสัมภาษณ์ในวันนั้น เราได้ยินตัวเองและช่างภาพพูดซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ “นทดูเย็นและเข้าใจชีวิตมากๆ” เธอเป็นอย่างนั้นจริงๆ การแสดงออก น้ำเสียง และสายตา ของเธอ ตรงกันข้ามกับเสื้อยืดลายหยินหยางและกางเกงพลีตสีเหลืองสดที่ใส่มาอย่างสิ้นเชิง

นทในวันนี้เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ การทำสมาธิ และพยายามไม่ยึดติดกับสิ่งภายนอก เธอยังคงตั้งใจทำงานเพลงและงานศิลปะที่จะสามารถเข้าถึงจิตใจคนอื่น เราคิดอยู่นานว่าจะเล่าเรื่องความคิดของนทออกมาในรูปแบบไหน ก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดผ่านสิ่งที่เธอได้รับจากการเติบโต ประสบการณ์ ผู้คน และความเชื่อ ออกมาเป็นข้อคิดชีวิต 5 ข้อหลังจากนี้

ภาพใหม่ของ นท พนายางกูร จากนักร้อง THE STAR สู่ศิลปินผู้กำลังจะมีนิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 2

01

ลองในสิ่งที่อยาก แล้วลุยให้ถึงที่สุด

นทเป็นเด็กเชียงใหม่ที่เรียนโรงเรียนนานาชาติมาตั้งแต่เด็ก สภาพแวดล้อม การศึกษา ครอบครัว และคนรอบๆ ตัว หล่อหลอมให้เธอโตมากับการลองทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกีฬา ดนตรี ศิลปะ และการดูทีวีหรือเล่นอินเทอร์เน็ตไม่ใช่หนึ่งในกิจวัตรประจำวันของเธอ แม่สนับสนุนให้นททำกิจกรรมทุกอย่าง ส่งเรียนดนตรีสารพัด ในขณะที่พ่อเลี้ยงนทเหมือนเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่าแมลงและงูก็เคยจับมาแล้ว 

“เราเพี้ยนมาตั้งแต่เด็ก”

ภาพใหม่ของ นท พนายางกูร จากนักร้อง THE STAR สู่ศิลปินผู้กำลังจะมีนิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 2

การเติบโตมาแบบนั้นสอนให้นทลุยกับทุกสิ่ง และลองทำทุกอย่างที่อยากทำ จึงไม่แปลกที่ผู้หญิงคนนี้จะมีประสบการณ์ประกวดร้องเพลง ไปต่างประเทศคนเดียว ลองสัก ลองเจาะ ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20

“แต่ก่อนเราชอบตัดผมตัวเอง เพราะมองว่าเป็นการทดลองอย่างหนึ่ง เอากรรไกรมาตัดหน้าม้าให้เต่อๆ ทำเดรดล็อกเอง ชอบเจาะโน่นเจาะนี่ เคยเจาะเหงือกด้วยรู้ไหม ส่องกระจกเจาะเอง เอาต่างหูมาตัดปลาย ลนไฟ แล้วเจาะเข้าไปเลย เราเป็นคนที่มีความคิดอะไรแปลกๆ เยอะ พอมีก็ลงมือทำทันที ไม่ได้คิดว่าควรทำไม่ควรทำ แต่โชคดีที่ส่วนใหญ่จะเป็นความคิดที่ดี”

เราเองเพิ่งรู้ว่าก่อนประกวด THE STAR ค้นฟ้าคว้าดาว นทไม่เคยดูรายการมาก่อน

“ใช่ เพราะเราไม่ดูทีวี ไม่เล่นโซเชียล ค่อนข้างฮิปปี้เลยแหละ มารู้จัก THE STAR หลังไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อิตาลีตอนอายุ 16 พอกลับมารู้สึกว่าเราเก่งแล้ว เราเที่ยวยุโรปคนเดียวมาแล้ว จะทำอะไรก็ได้แล้วในชีวิตนี้ ตอนนั้นเห็นป้ายโฆษณาประกวด THE STAR พอดี เลยบอกแม่ว่า ‘แม่ๆ นททำได้ เชื่อไหม’ ก็เลยลองไปประกวดเล่นๆ เพราะชอบดนตรี ชอบร้องเพลงมากๆ อยู่แล้ว อยากเป็นนักร้อง เป็นนักดนตรีมืออาชีพ เลยคิดว่าถ้าเราเข้าไปตรงนี้ก็น่าจะได้ทำอะไรแบบนั้น ตั้งแต่วันที่คิดจะไปเล่นๆ ก็มาถึงวันนี้”

ภาพใหม่ของ นท พนายางกูร จากนักร้อง THE STAR สู่ศิลปินผู้กำลังจะมีนิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 2

02

ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง

เมื่อได้หนึ่ง ต้องตามมาด้วยสอง และการอยู่ในสปอตไลต์หมายถึงต้องยอมเป็นคนที่ไม่ใช่ตัวเอง หรือทำบางสิ่งที่ไม่อยากทำ จะว่าไปก็คล้ายๆ กับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ทำทุกอย่างตามใจไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มันอาจจะเป็นเหตุผลให้หลายๆ คำตอบของนทฟังดูไม่เหมือนความคิดของคนวัย 26 และแม้จะเคยต่อต้านมากแค่ไหน มาถึงตอนนี้ มองย้อนกลับไปนทไม่เคยเสียใจเลยสักครั้งที่ได้ยืนอยู่จุดนั้น กลับรู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาสและบทเรียนที่ได้กลับมา

“เราไม่เคยอยากเป็นคนของสังคม ไม่อยากเป็นดารา เซเลบ ไม่เคยคิดเลย เราแค่อยากจะผลิตผลงานออกมา อยากแสดงตัวตนออกมาเท่านั้น แต่สิ่งอื่นๆ ที่ตามออกมามันต่อเนื่องกันอยู่แล้ว ตอนแรกๆ ก็ไม่ชอบหรอก แอนตี้ แต่ต้องทำ เพราะเป็นความรับผิดชอบ ห้าปีตรงนั้นได้สอนอะไรหลายๆ อย่าง สอนว่าเราเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่างไม่ได้ การทำงานร่วมกับคนอื่นต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามเข้าใจทุกคน มีความอดทน มีความรับผิดชอบ และพอถึงจุดหนึ่งที่ไม่ต้องทำแล้ว เราก็เลือกเดินออกมา”

ภาพใหม่ของ นท พนายางกูร จากนักร้อง THE STAR สู่ศิลปินผู้กำลังจะมีนิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 2

“แล้วตอนเดินออกมาไม่กลัวเหรอ” เราถาม

“ไม่เลย เราตัดสินใจพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำตัวเพี้ยนสุด ทำสีผมอะไรก็ไม่รู้ เราไปจนสุดขั้วเพราะอยากให้คนลืมภาพจำของเราที่มีมาตลอด พอออกมาปั๊บก็ทำวงดนตรีอิเล็กทรอนิกชื่อ X0809 กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง

“งานและตัวตนของเราก็เปลี่ยนไปเลย จากแมสสุดเป็นเพี้ยนสุด ตอนนั้นก็รู้แหละว่ามีคนที่ชอบเราในแบบนท THE STAR อยู่ แต่ลึกๆ เชื่อว่าคนที่ติดตามเราจริงๆ มาตั้งแต่แรกจะรู้ว่าเราเป็นยังไง และเขาจะรักในตัวตนของเรา”

นททำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทำเพลงเอง ไปเล่นงานคอนเสิร์ตเอง ขนของเอง เก็บของเอง จนวงประสบความสำเร็จ ได้ไปงานแสดงดนตรีต่างประเทศหลายครั้ง

แต่สิ่งที่นทภูมิใจมากกว่า คือคนลืมภาพเก่าของเธอ จำภาพใหม่ และยอมรับตัวตนของ นท พนายางกูร ในฐานะนักดนตรี ศิลปิน และคนคนหนึ่งที่อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง

ภาพใหม่ของ นท พนายางกูร จากนักร้อง THE STAR สู่ศิลปินผู้กำลังจะมีนิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 2

03

เข้าใจตัวเอง เข้าใจคนอื่น เข้าใจโลก

สิ่งที่เราสัมผัสได้จากการคุยกับนทได้ครึ่งหนึ่ง คือการยอมรับและเห็นความสวยงามในความแตกต่างของคน นทในวันนี้จะเรียกว่าปล่อยวางได้บ้างแล้วก็คงไม่ผิดนัก ทั้งคำพูด กิริยา วิธีคิด และผลงานของเธอ แสดงให้เห็นถึงความไม่ยึดติดในแบบที่เห็นไม่บ่อยนักในคนวัยยี่สิบกลางๆ

“เราเดินทางเยอะ มันสอนให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักคนอื่นมากขึ้น รู้จักโลกมากขึ้น ทำให้ได้แรงบันดาลใจทำอะไรใหม่ๆ เวลาเจออะไรก็อยากเอามาปรับกับตัวเอง การเดินทางทำให้ชอบคุยกับคนมากขึ้น เพราะเวลาคุยกับใคร เราจะได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก คนแต่ละคนมีแบ็กกราวนด์ไม่เหมือนกัน มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เวลาที่เจอปัญหาหรือมีปัญหากับใคร เราจะคิดตลอดว่าเขาอาจจะไม่ได้แย่หรอก แต่เขาโตมาแบบนี้ เลยมีความคิดแบบนี้ เราเลยเข้าใจโลกและคนมากขึ้นไปด้วย พอคิดแบบนี้ก็ไม่รู้สึกแย่ ไม่รู้สึกโกรธ แค้น หรือเกลียด พอเราเข้าใจ เราก็พร้อมที่จะปล่อยวางให้หายไปได้”

แต่ความเข้าใจโลกแบบนี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่แรกหรอก นทเองเคยใช้ชีวิตแบบไม่สมดุลและหลงระเริงในบางสิ่งที่ไม่ใช่ความจริงมาก่อน นทเคยกังวลเรื่องยอดไลก์ เคยแคร์เวลามีคน Unfollow และเก็บเอาคอมเมนต์แย่ๆ มาคิดมากเหมือนเราทุกคนนี่แหละ

“เราเคยเห็นคนลงรูปโน้นรูปนี้ ก็อยากมีอย่างเขาบ้าง เคยหมกมุ่นกับโซเชียลมีเดียตลอดเวลา แทนที่ชีวิตเราจะเอาเวลาไปเจอครอบครัว เจอเพื่อน นั่งคุยกัน แต่เรากลับมาบ้านก็อยู่กับโทรศัพท์ เห้ย รูปนี้สีไม่ดีเลย ลบๆ ลงใหม่ๆ มันปลอม สุดท้ายเราทุกข์มากๆ ก็เลยมาดูดีๆ พบว่าจริงๆ แล้วมันคือสิ่งนี้ที่ทำให้เราทุกข์ ไม่อยากเป็นอย่างนั้นแล้ว เลยออกมาและพยายามหาบาลานซ์ให้ตัวเอง”

“เพราะอะไรที่มากไปไม่เคยส่งผลดีต่อเรา?”

“ถูก เราก็มีบางช่วงที่นอนเยอะเกินไป กินเยอะเกินไป แต่พอรู้ตัวก็ต้องดึงตัวเองกลับมาจุดตรงกลาง ให้เรามีสติ คอยเตือนตัวเอง ให้รู้ตัวเองตลอดว่าเรากำลังทำอะไรอยู่”

Energy Diary 02 โดย นท The Star

04

เมื่อมีทุกข์ก็ต้องหาวิธีสุข และส่งต่อให้คนอื่นๆ

เพราะก่อนหน้านี้เคยเครียดและมีอาการซึมเศร้า นทจึงเริ่มศึกษาเรื่องจิตวิญญาณจริงจัง โดยเริ่มจากการทำสมาธิ จนก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ เธอเพิ่งไปเรียนเรื่อง Sound Healing หรือการรักษาด้วยเสียงที่ประเทศเนปาล ฟังผ่านๆ ดูงมงายเหมือนกันแหละ เธอพูดติดตลก แต่จริงๆ มันคือวิธีการใช้ชีวิตเพื่อหาความสงบ โดยมีหลักการบางอย่างอยู่เบื้องหลัง

“เสียงคือความถี่ มีแรงสั่นสะเทือน พอมีความสั่นสะเทือนส่งออกไป เราจะรู้สึกได้เลยเพราะสองในสามของร่างกายมนุษย์เป็นน้ำ ความเครียดต่างๆ ก็จะลดลง ดนตรีของเราก็เป็นการเยียวยามากขึ้น เราอยากให้คนฟังได้อะไรมากกว่านั้น เพราะเอนเตอร์เทนเมนต์มันเยอะมากแล้ว เราอยากให้คนมีความสุขแหละ แต่เราอยากลงลึกไปถึงจิตวิญญาณของเขามากกว่า

“ส่วนงานศิลปะ ถ้าเอาแค่เรื่องจิตวิญญาณที่ตัวเองเชื่อมาพูดอย่างเดียว คนอาจจะไม่เข้าใจ คิดว่างมงาย เราเลยอยากนำเสนอให้มีความจริงมากที่สุด โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทำให้คนเห็นว่าสองโลกนี้บาลานซ์กันได้นะ สมมติว่าถ้าจิตวิญญาณอย่างเดียว ก็จะเหมือนอยู่กับโลกในฝัน เข้าถึงคนส่วนใหญ่ไม่ได้ หรือถ้าเทคโนโลยีเกินไป เราก็ไม่มีความสุข อยู่แต่ในโลกปลอมๆ พอบาลานซ์ได้ก็เข้าใจทั้งสองโลก”

ความสนใจนี้ส่งผลโดยตรงกับงานและตัวตนของนท ที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้แรงบันดาลใจคนในเชิงทัศนศิลป์อย่างเดียว แต่เต็มไปด้วยคติสอนใจและแนวทางการใช้ชีวิตที่เติบโตไปพร้อมกับตัวศิลปิน

“งานของเราพูดถึงจิตวิญาณและความเข้าใจซะส่วนใหญ่ เหมือนเวลาเราดูภาพวาดบนกำแพงวัด ทุกอย่างจะมีเมสเสจอยู่ในนั้น ยกตัวอย่างงานชิ้นหนึ่งในนิทรรศการครั้งนี้ เราได้แรงบันดาลใจมาจาก Sand Mandala อาร์ตเวิร์กที่พระทิเบตค่อยๆ ทำโดยการเรียงทรายเป็นลายสีๆ พอเรียงเสร็จเขาจะนั่งสมาธิกัน ก่อนจะเอาแปรงปัดทรายที่ทำมาทั้งหมดออกไป แล้วค่อยเอาไปทิ้งลงแม่น้ำเพื่อขอบคุณธรรมชาติ เขาต้องการจะสื่อว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรยั่งยืน เพราะฉะนั้นอย่ายึดติดกับอะไรทั้งนั้น จริงๆ มันก็เหมือนสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ที่เวลาเราไปยุ่งหรือแตะมากๆ ก็จะพัง”

นทส่งต่อความเชื่อผ่านงานศิลปะที่คนเข้าถึงง่าย ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทำให้คนเชื่อมโยงกับมันได้มากขึ้น อีกหนึ่งงานที่ทำให้เราทึ่งในวิธีคิดของผู้หญิงคนนี้คือเครื่อง Breathing Machine ที่มีพู่กันติดอยู่ด้วย การทำงานของมันคือเมื่อเราหายใจเข้าไปในเครื่อง ลมหายใจจะไปทำให้เกิดกลไกที่สามารถขยับพู่กัน วาดออกมาเป็นชิ้นงานศิลปะ

“งานชิ้นนี้มาจากที่เราไปเรียนเรื่องการทำสมาธิ ซึ่งเกี่ยวกับลมหายใจโดยตรง เวลาหายใจลมหายใจจะเชื่อมกับคลื่นสมอง ถ้าหายใจถูกต้องสุขภาพทั้งกายและใจจะดีไปด้วย ทำให้เรารู้สึก High โดยไม่ต้องเสพอะไรเลย การหายใจเป็นอะไรที่เบสิกที่สุดแล้ว เพราะคนเราหายใจตลอด ถ้าเครียดแล้วก็หายเครียดได้ด้วยการหายใจอย่างถูกวิธี ไม่ต้องสูบบุหรี่ ไม่ต้องกินเหล้า ไม่ต้องกินกาแฟแล้ว เราเลยอยากสร้างเครื่องที่แสดงให้คนเห็นว่าลมหายใจมีพลังมากแค่ไหน”

Energy Diary 02
Energy Diary 02

05

อย่ายึดติด เพราะไม่มีอะไรยั่งยืน

“พอมาเรียนเรื่องนี้ทำให้เราไม่ยึดติด และไม่โดนโลกทำให้เราหลงไปกับสิ่งต่างๆ พอเรามีความสงบในตัวแล้ว ก็ไม่ต้องการให้อะไรมาเติมเต็ม พอใจกับสิ่งที่มี เราก็จะไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่ไปเบียดเบียนโลก ไม่รู้สึกว่าอยากได้ของชิ้นนี้ ทำให้เราต้องไปซื้อมา ทำให้เขาต้องผลิต ทำให้ต้องไปเบียดเบียนทรัพยากรโลก ต่อกันไปอีก มันเป็นจุดเล็กๆ ที่ทำให้โลกไม่พังเร็ว เคยได้ยินเรื่องวัดเผาศพที่เนปาลไหมคะ”

เราส่ายหัว นทจึงเล่าต่อว่าตอนไปเนปาลมีโอกาสได้ไปวัดหนึ่ง วัดนี้มีแม่น้ำสายหลักของเนปาลไหลผ่านตรงกลาง คนเนปาลเชื่อว่าถ้าตายแล้ว ได้มาเผาศพที่นี่จะได้ขึ้นสวรรค์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครก็ตามจึงอยากมาเผาศพที่นี่

วัดนี้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง วันนั้นที่นทไปที่นั่นแค่ 3 ชั่วโมงก็มี 5 ศพแล้ว เริ่มจากที่รถโรงพยาบาลเข้ามาจอด ขนศพลงจากรถ นำไปล้างหน้าล้างเท้าที่แม่น้ำ ก่อนจะโยนเสื้อผ้าของผู้ตายทิ้งลงไปด้วย จากนั้นนำไม้มาก่อ วางศพลงด้านบนแล้วจุดไฟเผา เมื่อเผาเสร็จก็ไม่มีการเก็บเถ้ากระดูกให้ญาติพี่น้องเหมือนพิธีกรรมทั่วไป เขาจะนำทุกสิ่งลงแม่น้ำทั้งหมดเลย

“ไม่มีการเก็บอะไรกลับมาให้ยึดติด และคนแถวนั้นมองความตายเป็นเรื่องปกติมาก ไม่มีใครตื่นเต้น ฝั่งนี้เผาศพ อีกฝั่งของแม่น้ำก็ทำพิธีบูชาวัดไป มันทำให้เราเข้าใจและปลงเลยนะว่าจริงๆ ชีวิตก็แค่นี้”

Energy Diary 02

“แปลว่าไม่กลัวตายเหรอ?” 

หญิงสาววัย 26 ปียิ้ม “ไม่กลัวค่ะ ไม่กลัวเลย เดี๋ยวเราก็ต้องตาย ชีวิตก็แค่นี้แหละ เราไม่คิดอะไรมาก ตอนนี้แค่อยากทำชีวิตให้มีประโยชน์ต่อคนอื่นและต่อโลกมากที่สุด ในแบบที่เราทำได้ ในแบบที่เรามีความสุข อย่างเรามีความสุขกับการทำงานศิลปะ ทำงานเพลง เราก็จะทำศิลปะและเพลงที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจเรื่องนี้”

ในวัย 26 ปี นทคิดว่าอายุความคิดของตัวเองคือเท่าไหร่? เราถามอีกครั้ง

“ไม่รู้จริงๆ… แต่ไม่น่าใช่ 26 (หัวเราะ)”

Energy Diary 02

Energy Diary 02 คือการรวบรวมงานศิลปะบำบัดที่ถ่ายทอดพลังบริสุทธิ์ของ นท พนายางกูร เพื่อให้คนอื่นได้ค้นพบความสงบและความสมดุลในชีวิตผ่านการใช้เสียง การหายใจ และการทำสมาธิ นิทรรศการจะจัดขึ้นที่ Warehouse 30 ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม ถึงวันที่ 27 กันยายน 2562 เวลา 11.00 – 20.00 น.

Writer

พิมพ์อร นทกุล

พิมพ์อร นทกุล

บัญชีบัณฑิตที่พบว่าตัวเองรักหมามากกว่าคน

Photographer

มณีนุช บุญเรือง

มณีนุช บุญเรือง

ช่างภาพสาวประจำ The Cloud เป็นคนเชียงใหม่ ชอบแดดยามเช้า การเดินทาง และอเมริกาโน่ร้อนไม่น้ำตาล