นนท์–ธนนท์ จำเริญ กำลังร้องเพลง PLAY กับวงดนตรีแบ็คอัพที่ทำงานด้วยกันมาตลอดในห้องซ้อม เสียงร้องและดนตรีแทบไม่ต่างจากเพลงที่ผ่านกระบวนการอัดอย่างพิถีพิถัน เว้นแต่ลีลาลูกเล่นของน้ำเสียงที่พลิ้วไหวไปตามอารมณ์ของศิลปินหนุ่มเท่านั้นที่บอกว่านี่คือการร้องและเล่นดนตรีแบบสด

ช่วงเวลา 7 ปีที่นนท์เข้ามาปรากฏตัวในเส้นทางสายดนตรี เขามีดีกรีเป็นแชมป์ของ 2 รายการชื่อดัง นั่นคือแชมป์คนแรกของ The Voice Thailand พ่วงด้วยแชมป์ The Mask Singer Season 4 และยังไม่รวมกับที่หลายเพลงของเขาขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตจัดอันดับเพลงต่างๆ ในประเทศไทย

แน่นอนว่า ความเป็นที่ 1 เหล่านี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

นนท์–ธนนท์ จำเริญ

อย่างที่รู้กันว่า นนท์คือเด็กหนุ่มที่เคยเป็นผู้พ่ายแพ้จนถึงกับชิน แต่ไม่เคยยินยอมให้ความท้อแท้มากีดขวางเส้นทางความฝัน ด้วยความรักจากครอบครัวหล่อเลี้ยงให้เขามุ่งมั่นและพยายาม จนสุดท้ายความพ่ายแพ้ยอมหลีกทางให้กับความสามารถอันโดดเด่นจนไม่มีใครปฏิเสธได้

นอกเหนือจากผลงานที่พิสูจน์ความสามารถ เขายังมีเสน่ห์ที่ความเป็นธรรมชาติ ที่กล้าทะลึ่ง ทะเล้น เป็นกันเอง มีมุกตลกหยิกแกมหยอก เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากแฟนคลับทุกเวที แล้วแบบนี้ใครล่ะจะทนไม่รักศิลปินหนุ่มคนนี้ได้

เมื่อนนท์ก้าวจากห้องซ้อมออกมาทักทาย เราสัมผัสได้ถึง ‘ความเป็นนนท์’ สมคำร่ำลือ ที่ไม่ว่าจะเป็นการยืนถือไมค์พูดคุยกับแฟนเพลงบนเวที ออกรายการทีวี หรือนั่งพูดคุยตรงหน้าเราในวันนี้ เขาคือ นนท์-ธนนท์ ตัวจริง เสียงจริง ที่ไม่เคยทิ้งเสน่ห์ของตัวตนดั้งเดิมของตัวเองเลย

กดไปเลยคำว่า Start ไม่ต้องรีต้องรอให้นาน

เส้นทางดนตรีของเด็กชายธนนท์สุดซนเริ่มต้นเมื่อ 4 ขวบ ณ หน้าตู้คาราโอเกะของร้านอาหารห้องแถว ในวัยที่ยังอ่านหนังสือไม่ออก เด็กชายตัวน้อยจับไมค์ร้องเพลงอย่างไม่เคอะเขิน

“ผมเที่ยวคาราโอเกะเก่งมาก” นนท์เริ่มเล่าแบบเรียกเสียงฮา “เพื่อนผมเป็นลูกเจ้าของร้านอาหารห้องแถว มีตู้คาราโอเกะกลางร้าน มีหนังสือเพลงแจกตามโต๊ะ ตอนกลางวันก่อนออกไปเล่น แม่เพื่อนจะให้ไขตู้เอาเหรียญออกมา เครื่องมันจะเปิด เพื่อนก็จะยื่นไมค์ให้ผมลองร้อง ผมรู้สึกว่า เออ สนุกนะ ร้องเป็นเดือนๆ เลย ร้องแบบอ่านหนังสือไม่ออกด้วยนะ เพราะ 4 ขวบเอง แต่อาศัยจำเนื้อเพลง จะร้องชัดตรงคำท้ายประโยค แต่ทุกครั้งที่ร้องก็รู้สึกว่ามีความสุขจังเลย”

นอกจากเป็นห้วงเวลาแห่งความสุขแล้ว การร้องเพลงยังเป็นกิจกรรมเดียวที่เด็กชายทำได้โดยไม่มีใครเดือดร้อน

“ผมเป็นเด็กซนมาก ชอบเล่นจนตัวเลอะเทอะ หัวร้างข้างแตกตลอด จนคนอื่นต้องคอยมาช่วยเหลือ หัวแตก คางแตก แขนเดาะ พ่อแม่ต้องพาไปหาหมอ แต่ดนตรีเป็นสิ่งทำแล้วไม่มีใครต้องมารับผิดชอบเราต่อ เรารู้สึกว่าทำได้ดี โดยไม่เดือดร้อนตนอื่น แถมยังมีความสุขด้วย”

เปิดเรื่องว่ามีความสุขในการร้องเพลงขนาดนี้ เดาว่าเขาต้องมีความฝันเป็นนักร้องแน่ ๆ แต่นนท์ตอบทันควันว่า ไม่! “ผมไม่เคยคิดเป็นศิลปินนักร้องเลย เพราะหน้าจอตู้เพลงไม่มีภาพของคนอาชีพนี้ขึ้นมา มีแต่ตัวอักษรที่เป็นเนื้อเพลง กับผู้หญิงเดินริมน้ำ ใส่บิกินี ผมเลยไม่รู้ว่ามีอาชีพนี้อยู่ด้วย”

กระทั่งเมื่อเข้าวัยที่ได้ดูรายการเพลงและคอนเสิร์ตในโทรทัศน์ ภาพของวงโมเดิร์นด็อก วงพราว วงพอส ติดอยู่ในหัวไม่เคยจางหาย วงดนตรีเหล่านี้กลายเป็นไอดอล ที่ทำให้เขาฝันว่าสักวันจะได้สนุกกับการเล่นดนตรีบนเวทีเช่นนี้เหมือนกัน

“ผมรู้สึกอยากเป็นแบบพี่ๆ แต่ไม่ได้อยากเป็นศิลปินนะ แค่อยากเล่นดนตรี อยากสนุกบนเวที อย่างพี่ป๊อด แต่งตัวแปลกๆ ลงไปดิ้นแล้วหมุนตัวกับพื้น มันติดในหัวเรา และรู้สึกว่าถ้าเป็นแบบเขาเราจะทำอะไรแบบสุดโต่งได้ เริ่มคิดว่าทำยังไง ก็ไปถามพ่อ พ่อบอกว่า ต้องขึ้นเวทีนะลูก และตามต่างจังหวัดมีเพียงทางเลือกเดียวคือ เวทีลูกทุ่งเท่านั้น”

ในวันนั้น เด็กชายตัวสูงโย่ง ผิวดำแดดอย่างกับเด็กเอธิโอเปีย (เขาว่าอย่างนั้น) ที่มีตำแหน่งเป็นนักกีฬาวิ่งของโรงเรียนต้องหาทางเข้าวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนให้ได้ แม้ความเป็นจริงจะไม่เหมือนภาพวงสตริงในฝันก็ตาม

“ผมคิดตามหลักการของนักวิ่งว่า ถ้าจะไปให้ถึงแบบคนอื่นเขา เราต้องรีบทำ เพราะกว่าจะเก่ง ต้องใช้เวลา เหมือนการวิ่งที่ต้องฝึกทำเวลาทุกวันก่อนลงสนาม ไม่ใช่ถึงวันแล้ววิ่ง คุณอาจวิ่งได้ แต่ไม่ใช่คนที่ทำเวลาดีที่สุด เพราะฉะนั้นมีโอกาสแล้ว คว้าไว้ก่อน ขอให้ได้ขึ้นเวทีก่อน”

นนท์–ธนนท์ จำเริญ

หากเล่นแพ้ แพ้ก็ play เล่นใหม่

วงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนมีนักร้องสาวสายประกวดอย่าง แก้ม–วิชญาณี ที่เป็นดาวเด่น ซึ่งเมื่อเทียบกับเด็กชายธนนท์ เขาเป็นเพียงนักร้องประจำวงที่เพิ่งร้องเพลงได้ ทุกๆ วันเขาทุ่มเทไปกับเรียนรู้เทคนิคการร้องเพลงด้วยตัวเองจากการฟังให้มาก เขาเช่าวิทยุมาฟังวันละ 20 บาท เก็บเงินซื้อเทปเพลงทีละ 2 ม้วน (เพราะเทปที่เปิดฟังบ่อยจะยานเร็ว) การฝึกฝนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จวบจนได้โอกาสขึ้นเวทีประกวดร้องเพลงลูกทุ่งครั้งแรก

“วันนั้นผมไม่มั่นใจเลย ชุดที่ใส่ประกวดดันเป็นสีชมพูที่เราไม่ชอบอีก คิดดูว่าเด็กผู้ชายใส่สีชมพูและตัวดำมาก มันไม่ใช่จริงๆ แต่ประหลาดมากที่เวลาร้องเพลง มันเหมือนผมหายไปจากโลกที่อยู่สักพัก ผมจดจ่อและตั้งใจอยู่กับสิ่งที่ทำตรงหน้า เพราะการร้องเพลงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผม ซึ่งนับเป็นโชคดีที่ไม่เก่ง ถ้าผมเก่งผมอาจจะทำแบบผ่านๆ ไม่ใส่ใจรายละเอียดขนาดนี้ และเวทีแรกก็ชนะเลย ชนะด้วยชุดสีชมพู” นนท์เล่าขำๆ เมื่อทบทวนอดีต

“แต่ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้น แพ้ตลอด แพ้เกือบ 4 – 5 ปีได้” เขารีบพูดขึ้น

“ผมไม่รู้เลยว่าทำไมถึงแพ้ และไม่สนด้วย ชนะครั้งแรกก็มีกิเลสนะว่าเวทีต่อไปก็ต้องชนะเหมือนกัน แต่ผลมันกลับไม่ใช่ แรกๆ ไม่เข้าใจเลยว่าแพ้คืออะไร เพราะในเรื่องวิ่งเราไม่เคยเป็นรองใคร ทุกอย่างเราจัดการได้ อยากได้เหรียญทองรายการไหนบอกมา ผมวิ่งทำลายสถิติได้ง่ายๆ เหมือนกับยูเซน โบลต์เลย

“แต่กับเรื่องร้องเพลง ที่เอาจริงๆ ผมหลงใหลกว่ากีฬาวิ่งอีกนะ แต่ทำไมเราทำได้ไม่ดีเท่า ทั้งที่เราอยากทำมันให้ดี ก็ทำไม่ได้ และทำไมต้องรักมันมากกว่าสิ่งที่ทำได้ดีอยู่แล้วด้วย ถ้าเราไม่รักมันก็คงไม่ทุกข์ขนาดนี้ ผมร้องไห้เลยนะ แต่ยังหน้าด้านไปประกวดเรื่อยๆ”

ความพ่ายแพ้ไม่จำเป็นต้องมากับความท้อแท้ เพราะภูมิคุ้มกันที่ครอบครัวมอบให้ช่างแข็งแกร่งเกินกว่าอุปสรรคใด

“แม่เป็นกระจกเงาให้ผมเสมอ ส่วนพ่อก็ไม่รู้คิดยังไงไปซื้อกล้องวิดีโอมา ถ่ายเก็บผลงานให้ผมทุกเวทีที่ขึ้น ถ้าดูเทียบกับเด็กคนอื่นคือผมร้องห่วยนั่นแหละ ผมคือที่โหล่ การชนะเวทีแรกอาจเป็นเพราะกรรมการเอ็นดูที่เราเด็กที่สุด ตัวเล็กที่สุด ตอนนั้นเขาชมว่าเนื้อเสียงดี แต่เทคนิคการร้องยังไม่มี

“ตลอดทางที่แพ้เรื่อยมานั้น ก็มีคำสอนและชุดความคิดที่ดีของทั้งพ่อแม่ ที่บ่มเพาะให้ผมรวมไปถึงพี่ชายมีภูมิคุ้มกันที่ดี ทำให้เราเข้มแข็งไม่ว่าจะเจอกับเรื่องอะไรก็ตาม”

นนท์–ธนนท์ จำเริญ

ใครจะมองยังไงไม่สน จะไม่ทนแอบรักต่อไป

แม้จะพ่ายแพ้ไม่เป็นท่ากับการประกวดร้องเพลง แต่นนท์ยังคงแน่วแน่ในเส้นทางดนตรี เขาผันตัวมาเล่นวงดนตรีสตริงกับเพื่อน เพื่อมุ่งสู่ฝันในการขึ้นไปสนุกสนานบนเวทีเหมือนกับวงดนตรีไอดอล

เมื่อได้ข่าวว่ามีรายการประกวดร้องเพลงเปิดรับในจังหวัดภูเก็ต วงของเขารวมตัวซ้อมกันเต็มที่ เพื่อเตรียมตัวไปแสดงฝีมือบนเวที พวกเขาพากันไปสมัครตั้งแต่เช้า แต่ปรากฏว่า “ผมพาชาวคณะไปกฐินคว่ำ” นนท์เล่าพลางส่ายหน้า

“พาเพื่อนไปแบบมั่นใจโดยไม่รู้ว่าเขาไม่มีประกวดประเภทวงดนตรี มีแต่ประกวดร้องเดี่ยวกับคู่เท่านั้น ตอนแรกผมจะกลับเลยด้วยซ้ำ แต่เพื่อนบอกว่าไหนๆ มาแล้ว ให้ผมลงประกวดจะได้ไม่เสียเที่ยว โดยร้องเพลง ฟ้า ของวง Tattoo Colour ที่ซ้อมกันมานั่นแหละ แล้วเพื่อนก็นั่งรอกลับพร้อมกัน ตอนนั้นผมคิดแค่ว่า ร้องให้ดี ไม่ให้เพื่อนที่ซ้อมกันมารู้สึกเฟลว่าเราร้องห่วย

“ผมไม่อยากให้คนเข้าใจว่าที่ไม่อยากประกวดเดี่ยวเพราะเราแพ้มาตลอด แต่รู้ว่าไม่เหมาะกับเรา ผมมีความสุขที่ร้องเพลงกับวง หันไปแล้วมีเพื่อนอยู่ด้วย เล่นผิดก็ผิดไปด้วยกัน เล่นถูกก็ดีใจไปด้วยกัน ผมชอบแบบนั้น และรักวงดนตรีของผมมาก”

สุดท้ายความสามารถและน้ำเสียงการร้องที่เป็นเอกลักษณ์ผลักดันให้เขาไปสู่เส้นทางที่หลีกหนีมาตลอด

“เหมือนสิ่งที่เราพยายามหนีมันตามเรามา มันกวักมือบอกเลยว่า เอ็งเข้ารอบนะ ตอนนั้นเครียดมาก ไม่อยากไป และไม่อยากทิ้งวงของเราไป แต่ห้วงหนึ่งก็คิดว่าเป็นโอกาสที่ดี เราเห็นภาพพ่อแม่มานั่งเชียร์ และถ้าผลออกมาดี เราก็ให้พ่อแม่ได้มากกว่านี้ ขณะเดียวกันถ้าเราไปแล้วสำเร็จ เราจะเอาเพื่อนกลับมาเล่นด้วย”

“แต่พอวันนี้ที่เราสำเร็จ เพื่อนก็แยกย้ายประสบความสำเร็จในทางของตัวเอง ไม่ได้เล่นดนตรีกันแล้ว ซึ่งถ้าผมไม่ได้มาเป็นศิลปิน คงประสบความสำเร็จน้อยที่สุดในวง ท้ายที่สุดก็คิดว่าตัวเองโชคดีนะ ที่เราตกปากรับคำมา โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลายทางคืออะไร”

นับตั้งแต่โค้ชก้อง–สหรัถ กดปุ่มหันเก้าอี้สีแดงมาหน้าเวที ชีวิตของเด็กชายสาย (แพ้) ประกวดคนนี้ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาพิสูจน์ตัวเองด้วยฝีมือและความตั้งใจจนผ่านการแข่งขันแต่ละรอบมาได้ และกลายเป็นผู้ชนะคนแรกของรายการ The Voice Thailand ด้วยเสียงโหวตจากผู้ชมทั้งประเทศ

เมื่อชื่อเสียงวิ่งเข้ามาอย่างกะทันหันทำเอาแชมป์มือใหม่วัย 16 ปีแทบรับมือไม่ทัน ดังที่หลายคนเคยเห็นภาพเก้อเขินของ ‘นนท์ เดอะวอยซ์’ เวลาสัมภาษณ์ตามสื่อต่างๆ

“ตอนนั้นผมไม่มีประสบการณ์เลย ไปเดินสายโปรโมตก็พูดไม่รู้เรื่อง พูดไม่ได้ พิธีกรเกริ่นมา 2 นาที ‘ไม่น่าเชื่อนะครับ เดอะวินเนอร์ของเราในวันนี้เริ่มจากการประกวดแพ้แล้วแพ้อีก จนมาถึงจุดนี้หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย รู้สึกอย่างไรบ้างครับ’ ผมตอบทุกครั้งคือ ‘ดีครับ’ แล้วเขาจะถามอะไรต่อละ พิธีกรก็อึ้ง ผมก็รู้สึกผิดหวังกับคำตอบและรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง พอกลับบ้านสัญญากับตัวเองเลยว่าจะฝึกพูด ไม่ให้คนที่ร่วมงานกับเราลำบาก”

ตอนนั้นรู้สึกกับวงการนี้อย่างไร เราอยากรู้ความในใจของเด็กหนุ่มใสซื่อในเวลานั้น

“เรารู้สึกว่าวงการนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน” เขาเน้นเสียง “เราอยากมีความสุขที่อยู่กับเพื่อน จึงกลับไปเรียนต่อที่ภูเก็ต 1 ปี แต่ระหว่างนั้นเราพยายามเรียนรู้ตลอดเวลา เปิดทีวีดูบ่อยขึ้น ดูว่าศิลปินเขาทำงานยังไง ดูแลตัวเองแบบไหน เพื่อพัฒนาตัวเองเสมอ ส่วนงานมีคนหยิบยื่นโอกาสมาให้เยอะมาก แต่เราไม่ได้ทำเต็มที่ เพราะต้องเรียนเต็มเวลาแบบเด็กมัธยมอยู่ จนเมื่อย้ายมาเรียนในกรุงเทพ และเริ่มจัดสรรเวลาเพื่อทำงานเพลงมากขึ้น”

นนท์–ธนนท์ จำเริญ

ก็อยากจะลอง ลอง play ตามหัวใจ

นนท์กลับมาปรากฏตัวในวงการอีกครั้งด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป การพูดจาสนทนาก็มีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด แต่เส้นทางการเป็นศิลปินของนนท์ไม่เน้นการสร้างกระแสฮือฮา ภาพในวงการของเขาจึงไม่หวือหวา จนกระทั่ง ‘หน้ากากเป็ดน้อย’ เป็นแชมป์รายการ The Mask Singer Season 4 แสงสปอตไลต์ก็กลับมาโฟกัสที่เขาอีกครั้ง

“ผมไม่ได้มองว่าเป็นเวทีประกวด แต่มองว่าเป็นรายการที่ให้ไปร่วมสนุกกัน และถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ร้องเพลงร่วมเวทีกับศิลปิน ดารา ซูเปอร์สตาร์ ผมยังเด็กในวงการนี้ จึงอยากไปเรียนรู้การทำงาน และเรียนรู้โปรดักชั่นของรายการ เพราะผมชอบด้านนี้อยู่แล้ว”

“ตอนแข่งก็เตรียมไปแค่ 2 เพลง ไม่ได้คาดหวังอะไร พอผ่านรอบลึกเลยเริ่มไม่สนุกแล้ว ไม่รู้จะร้องเพลงอะไรต่อ ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นทำโชว์ดีๆ ดีกว่า ให้ตัวเองได้ดู เผื่อมีลูกจะได้เปิดอวดได้ แค่นั้นเลย เรามีโอกาสได้โคฟเวอร์เพลงศิลปินหลายท่าน นำเพลงที่เราชอบมาร้องมาออกแบบโชว์ พอสนุกก็ทำไปเรื่อยและออกมาอย่างที่ทุกคนเห็น ไม่ได้คิดทำมาเพื่อฟาดฟันกับคนอื่น แต่ตั้งใจในการร้องและทำมาก ซึ่งงานก็ให้คำตอบตามความตั้งใจของเรา”

การสวมหน้ากากเป็ดน้อยขึ้นเวทีนี้ เปิดโอกาสให้นนท์ได้เปิดเผยตัวตนให้คนรู้จักมากขึ้น นับเป็นการปิดหน้าตาและภาระหน้าที่ของการเป็นศิลปิน เพื่อเปิดตัวตนที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ดังที่เป็ดน้อยแสดงออกมาบนเวที

“หลายคนเข้าใจว่าผมเป็นคนนิ่งมาก อาจเพราะผมหายหน้าไปจากวงการนาน และคนส่วนใหญ่ไม่ได้ตามเราอย่างต่อเนื่อง ก็จะไม่รู้ว่าเป็นคนอารมณ์ขัน เติบโตจากบ้านที่สุขภาพจิตดี พอมาเจอตรงนี้ทุกคนรู้สึกว่า นนท์มีมุมนี้ด้วยเหรอ เป็นคนก๋ากั่นพอสมควรนะ เราก็ดีใจที่ได้บอกตัวตนของเรา เจ๋งที่สุดคือ คนกลับชอบเรามาก”

การเปิดตัวตนครั้งนี้นับเป็นการตอกย้ำความตั้งใจแรกเริ่มของเขาที่จะทำงานในวงการโดยไม่ฝืน ไม่ปรุงแต่งตัวเอง

“จริงๆ ผมทำงานอาชีพนี้โดยไม่คิดว่าตัวเองเป็นศิลปิน ผมเป็นคนธรรมดาที่มาทำงานในวงการบันเทิง และพยายามทำให้ดีที่สุด อาจไม่ใช่คนสมบูรณ์พร้อม และผมก็ไม่พยายามสร้างอะไรแบบนั้น แต่กลายเป็นว่าคนชอบในสิ่งที่เราเป็น เราตลกก็ตลกเลย ไม่ได้ Keep Look ตลอดเวลา ไม่ใช่คนที่ 5 4 3 2 เข้ารายการแล้วเปลี่ยนเสียงเป็นอีกคน ผมเป็นแบบนี้เลย เสียงนี้เลย ไม่มีเสียงสอง

“ตอนเป็นเป็ดน้อยก็ทะลึ่ง เราไม่ได้ปิด พอเป็นธรรมชาติ ต่อให้เป็นสิ่งไม่ดี แต่เป็นเรื่องจริง เราหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้ บ้านเราก็ไม่ได้สอนให้โกหก อย่างตอน The mask ผมโกหกว่าไม่ได้เป็นเป็ดน้อย ตาไม่ได้เลย ผมโกหกไม่เป็น”

ไม่น่าแปลกใจที่ความเป็นธรรมชาติไม่เหมือนใคร ยิ่งเพิ่มจำนวนแฟนคลับมากขึ้นทุกวัน และเชื่อว่าความเข้าอกเข้าใจจิตใจของแฟนๆ เป็นเสน่ห์สำคัญที่ทำให้ใครๆ ต่างรักเขามากมายขนาดนี้

“ผมยังย้ำจุดเดิมว่า แค่ไม่เกลียดผมก็พอ เพราะบางเรื่องผมยังเกลียดตัวเองเลย ที่ทำเรื่องพิเรนทร์หรือไม่เข้าท่า เอาจริงๆ คือผมเป็นคนบ้า วันหนึ่งอยากหยุดร้องเพลงสัก 2 ปี ผมหยุดเลยนะ แต่ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงาน กับแฟนคลับ ไม่ได้พูดเอาใจนะครับ ผมมีแฟนๆ ที่ดี และอยากทำเพื่อพวกเขาต่อไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าการไปหาคนที่ต้องการเจอเราในช่วงเวลาที่เขาต้องการ ดีกว่าไปหาเขาในช่วงเวลาที่เขาไม่ต้องการเจอเราแล้ว”

การวางตัวเป็นคนธรรมดาอาจเป็นเหตุผลที่เราไม่ค่อยได้ยินเรื่องราวชีวิตส่วนตัว ความรัก รวมถึงข่าวดราม่าต่างๆ

“อยากมีข่าวกับสาวๆ จังเลย ยังไม่มีโอกาสเลยครับ” นนท์รีบตอบด้วยเสียงทะเล้น “อาจเพราะผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำและทำเต็มที่ แต่วันหนึ่งก็ต้องมีข่าวไม่ดีอยู่แล้ว เราไม่มีทางทำร้อยอย่าง แล้วถูกใจทุกคนหมด เราโตในห้องเรียน เพื่อน 40 คนยังไม่รักเราทั้งหมดเลย แล้วเราทำงานที่คนเป็นล้านต้องเห็น มีต้องมีสักคนอย่างน้อยที่ไม่ชอบงานหรือตัวเรา วันหนึ่งต้องเจอดราม่า ต้องเจอข่าวไม่ดี ถ้าเป็นความจริงก็ต้องยอมรับ แล้วก็ปรับเปลี่ยนแก้ไข แต่ถ้ามันไม่จริง ท้ายที่สุดการกระทำของเราจะเป็นตัวบอกเองว่าไม่จริง”

“ผมเคยเสียใจจากข่าวที่ไม่ได้มาจากตัวเองเหมือนกันนะ เข้าใจว่าเขาขายข่าวได้ แต่ต้องทำลายคนอื่นเลยเหรอ ต้องทำลายหัวใจ ความรู้สึกของเราเลยเหรอ แต่เราก็บอกว่า ไม่เป็นไร แต่เราจะไม่ทำแบบนี้กับคนอื่น นี่คือสิ่งที่เราได้”

นนท์

เมื่อรักไปแล้ว มันก็เหมือนเกม ที่เล่นไปแล้ว หยุดเล่นไม่ได้

หลังได้แชมป์ The Voice นนท์ทำงานควบคู่กับการเรียนมาตั้งแต่มัธยมปลาย จนปัจจุบันเขาคือนักศึกษาปี 3 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ เชื่อไหมว่าเขาไม่เคยดร็อปเรียนเลยสักครั้ง

“ไม่รู้ว่าเป็นแบบอย่างได้ไหม แต่ผมไม่เคยดร็อปเรียนเลย หลายคนที่พอทำงานไม่ว่าจะเป็นนักร้อง สตรีมเมอร์ แคสต์เกม รู้สึกอย่างดร็อปเรียน ผมบอกอย่าหยุดเรียนเลย เพราะการเรียนเป็นเรื่องที่เราขี้เกียจกับมันได้ง่ายมาก ถ้าหยุดคือยาวเลยนะ มันน่ากลัว เหมือนหมึกปากกาที่แห้งไว วันหนึ่งเราเขียนว่า ขี้เกียจ หรือดร็อปเรียน ลงในกระดาษ เราต้องลบด้วยลิควิดเท่านั้น แล้วเผลอๆ ช่วงชีวิตของใครบางคนอาจไม่เจอลิควิดเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเรียนต่อไป

“พยายามทำหน้าที่แรกที่ได้รับ เรียงลำดับมันให้ดี ไม่ไช่ได้สองแล้วลืมหนึ่ง ได้สามแล้วลืมสอง ได้สองมาก็ทำหนึ่งให้เสร็จก่อนแล้วไปทำสอง หรือทำสองกับหนึ่งก็ได้ อย่าไปเชื่อว่าจับปลาสองมือแล้วพลาด คุณเชื่อเรื่องนั้นได้กับเฉพาะผู้หญิงครับ แต่เรื่องงานถ้าคุณจริงจัง คุณทำได้ แต่ขอให้รักมันจริงๆ ถ้าคุณรัก คุณจะขยันกับมันมาก ต่อให้ทำพร้อมกันสองอย่างแล้วเหนื่อย แต่ถ้ารัก เหนื่อยก็ทำ”

ถึงตรงนี้ เราชักสนใจวิธีการบาลานซ์ชีวิตในฐานะศิลปินที่ทั้งทำงาน เรียน และใช่ชีวิตส่วนตัวได้ดีขนาดนี้ นนท์ขยับตัว ตั้งหลักพูดเกริ่นมาเสียยาว ก่อนสรุปที่แบบเรียกเสียงฮาว่า “คุณต้องมีผู้จัดการครับ”

“คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำสามสี่อย่างในเวลาเดียวกัน แต่ผมไม่มีตัวเลือก ผมต้องเรียนด้วย และทำงานในเวลาเดียวกัน แล้วยังมีชีวิตส่วนตัวที่ต้องเติมเต็มอีก ต้องเล่นเกมอีก ต้องมีเวลานอนอีก ผมโชคดีที่มีพี่ๆ ดูแลเราดี มีครอบครัวคอยสนับสนุน เรื่องเรียนก็โชคดีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพเข้าใจ ช่วยเรื่องเวลาเรียน แต่เขาไม่ช่วยเรื่องเกรดนะครับ คุณต้องทำโปรเจกต์ คุยกับอาจารย์ มีหลักฐานการทำงานจริงจัง ซึ่งงานของเราเช็กง่ายมาก เข้าโซเชียลก็เห็นแล้ว”

“แต่สุดท้าย ผมรู้สึกว่าคนที่โชคดีที่สุดคือ คนที่ได้โตตามวัยของตัวเอง เพราะผมไม่ได้เป็นแบบนั้น  7 ขวบต้องทำงานหาค่าขนม ร้องเพลงตามงาน ทุกเทศกาลต้องมีนักร้อง แต่คุณรู้ไหมว่าบางทีนักร้องเขาไม่ได้อยากยืนร้องเพลงนะ เขาอาจจะอยากไปปาลูกโป่งข้างล่าง แต่เขาไม่มีทางเลือก ผมอยู่จุดนั้นมาก่อน แล้วอิจฉาเพื่อนและเด็กที่ได้โตตามวัยเสมอ”

นนท์

เมื่อรักเธอแล้ว จะให้ถอนตัวอย่างไร

นนท์พูดเสมอว่า การทำงานในอุดมคติของเขาคือการได้สร้างผลงานดีๆ ไว้ให้กับวงการ เพื่อเป็นมาตรฐานให้คนรุ่นหลังได้สร้างงานที่มีคุณภาพดีขึ้นอีกต่อไป เหมือนกับครั้งหนึ่งที่มีรุ่นพี่ในวงการเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างสรรค์งานดีๆ

ดังนั้นเขาจึงให้คุณค่ากับทำงานเพลงคุณภาพ เพื่อส่งมอบผลงานที่ดีที่สุด และทุกบทเพลงของเขาได้มอบรางวัลให้แก่ความตั้งใจ เพราะไม่ว่าจะปล่อยเพลงไหนออกมาก็ดังติดหู เพลงติดชาร์ต ยอดชมมิวสิกวิดีโอทะลุหลักล้าน กลายเป็นเพลงยอดนิยมชนิดข้ามปี

“เราไม่โกงเขา เราซื่อสัตย์ต่อคนดูคนฟัง เราไม่หลอกเขา ไม่ทำงานแบบผ่านๆ ใครก็ตามแต่ที่เขาอาจบังเอิญเปิดวิทยุมาแล้วได้ฟัง อาจจะรู้สึกว่าเพลงนี้ยากจัง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพลงดี เพลงผมเล่นยากมาก ตัวผมเองก็เล่นแบบนี้ไม่ได้ เราอยากให้คนฟังรู้สึกว่านี่คือของดีมีคุณภาพ ต่อให้ไม่ใช่ของที่คนกินเยอะที่สุด ไม่ใช่แบรนด์ดัง แต่อร่อยจริง ดีจริง เมื่อคนฟังรู้ว่าดี เขาจะบอกกันว่าว่าฟังเพลงนี้สิ ร้องละเอียดมาก มือกีต้าร์เล่นดีมาก เขาจะบอกต่อกันเอง”

หลังจากฝากน้ำเสียงในการร้องเพลงสากล Stand Up for Love บนเวที The Mask Singer และอีกหลายบทเพลงที่ได้มีโอกาสร้องในโอกาสต่างๆ เขาเริ่มติดใจขนาดที่วางแผนทำเพลงสากลแบบเวิลด์ไวด์ในอนาคต

“ตั้งแต่ที่ร้องในรายการ The Mask Singer ผมรู้ว่าทุกคนฟังเสียงร้องสากลของเราได้ ล่าสุดผมจึงลองไลฟ์ถามแฟนๆ ดูว่า ถ้าผมอยากทำเพลงสากล แต่ขายในไทยคงไม่ได้ และไม่อยากพาทีมงานมาเหนื่อยกับงานที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ขอเก็บเงินคุณได้ไหม ผมขอตรงๆ พูดเล่นแต่คิดจริง ปรากฏว่าเขาเอาด้วย จะทำเมื่อไหร่ให้บอกมา”

“ส่วนตัวผมเองอยากทำอยู่แล้ว เพราะอาร์แอนด์บีในไทยไปไม่สุด ด้วยวรรณยุกต์ของภาษาบ้านเราล็อคไว้ ถ้าเป็นเพลงสากล จะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ แต่ก็ยากในฝั่งเนื้อร้องที่ต้องหาคนเขียนเก่งๆ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่มีแพลนไว้แล้ว”

นอกเหนือจากการร้องเพลงแล้ว นนท์ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการแสดงทั้งภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ และก้าวกระโดดไปถึงละครเวทีที่ต้องใช้ทักษะและความสามารถรอบด้าน

“ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ ไม่กล้าสนใจการแสดงเลย เพราะไม่คิดว่าจะมีสิทธิ์สนใจ เรื่องภาพลักษณ์หน้าตาอย่าใช้คำว่าดูดีขึ้น ใช้คำว่าทุเรศน้อยลงกว่าเมื่อก่อนดีกว่า แต่ที่ได้ไปเล่นละครเวทีเพราะการชักชวนครับ ต้องขอบคุณทางพี่บอย–ถกลเกียรติ และทางรัชดาลัยเธียร์เตอร์ที่นึกถึงผม ให้ผมเข้าไปออดิชันเป็นตาอ๊อด ตอนรีเสตจ สี่แผ่นดิน รอบที่ 4”

“เมื่อได้ไปเล่น ผมปวดหัวชนิดไมเกรนขึ้นเลย เครียดมาก แต่พยายาม ตั้งใจ จริงจัง เพราะการเล่นละครเวทีเป็นอีกศาสตร์ที่คุณต้องทำ 4 อย่างในเวลาเดียวกันคือ แสดง เต้น ร้อง พูด และทั้ง 4 อย่างนี้จะทำได้โดยที่ไม่รู้สึกว่าต้องทำก็ต่อเมื่อเชื่อในคาแรกเตอร์ เชื่อมโยงกับบท เข้าใจตัวละครจริงๆ และจำได้ทั้งเรื่อง ไม่มีเทค ไม่มีคัท

“ผมทำทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดีหรือไม่ พยายามถามพี่ๆ ถามครู ถามหลายท่าน เขาก็บอกว่าดีแล้ว ชอบแล้ว ซึ่งเราอยากได้คำแนะนำ ไม่ได้อยากได้กำลังใจ เราอยากแก้ให้ดีขึ้น เพราะต้องเล่นกับพี่นก–สินจัย นักแสดงที่ได้รับรางวัลการแสดง และแม่เราชอบมาก กับเราที่ไม่มีรางวัลอะไรการันตีเลย แต่สุดท้ายความตั้งใจ การเตรียมตัว การหมั่นเพียรในการซ้อมแล้วซ้อมอีก ทำให้เรารู้ผลลัพธ์ของงานตอนที่มีการเพิ่มรอบ จาก 30 รอบ เพิ่มเป็น 50 รอบ และจบที่ 80 รอบ”

ที่ผ่านมามีงานการแสดงติดต่อเข้าไม่ขาดสาย แต่เขาขอเลือกที่จะปฏิเสธโอกาสดีๆ เหล่านั้นไป เพราะรู้ข้อจำกัดของตัวเอง และไม่ตัดโอกาสของคนอื่น

“การแสดงไม่ใช่งานหลักของเรา และผมก็ยังอินกับงานเพลงมากกว่า ถ้าเป็นการแสดงอยากทำงานเบื้องหลัง งานเขียนบท ส่วนการแสดงต้องดูว่าบทเหมาะกับเราไหม ไม่ใช่เราไปแล้วเป็นภาระเขา เราไปต้องทำให้ได้ เราไม่เก่งก็ต้องบอกเลยว่า งานนี้เราทำไม่ได้ ในมุมคนดูก็คงอยากเห็นนักแสดงที่เหมาะสมกับบทบาทนั้น เราเลยจะไม่เข้าข้างตัวเอง อวยตัวเอง และไม่ตัดโอกาสคนอื่นที่เหมาะสมกว่าเรา”

นนท์

เมื่อรักเธอแล้ว จะรักจนกว่าเธอจะแพ้หัวใจ

คุยถึงตรงนี้เราอยากรู้ว่า หลังจากที่นนท์ได้ทำงานในวงการมาถึง 7 ปี เขามีความรู้สึกอย่างไร ชอบมากขึ้นกว่าเดิมไหม หรือว่าน้อยลง

“ผมเพิ่งชอบการเป็นศิลปินตอนที่ได้เป็นศิลปินนี่แหละ ตอนแรกยังไม่ชอบเพราะไม่รู้ว่าดีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเป็นอาชีพที่ทำให้เรากลายเป็นความสุขของคนมากมาย เราเป็นความสุขให้คนที่เราไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ บางทีเราได้รับรางวัลเขาร้องไห้ดีใจ ทั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ร้องขนาดนั้นเลย นั่นเพราะเราเป็นความสุขของเขา

“ผมรู้เลยว่าการเป็นศิลปิน เป็นคนทำงานในวงการนี้ มันเจ๋งจังเลย ไม่รู้ว่าอาชีพอื่นจะมีอย่างนี้ไหม วันนี้เราได้ทำงานตรงนี้แล้ว ก็ทำให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทน ขอบคุณสิ่งที่ทุกคนให้มา”

แม้ได้ประกอบอาชีพในฝันของคนนับล้านแต่ศิลปินหนุ่มคนนี้กลับมองหาลู่ทางกลับไปใช้ชีวิตแบบที่เคยมีมาอีกครั้ง

“ถึงวันหนึ่งผมคงมีครอบครัวแบบคนธรรมดาทั่วไป ผมจะไม่ดึงตัวเองให้โสด เพื่อให้ตัวเองฮอต การที่เราร้องเพลงรักโดยที่มีความรักไม่ได้ มันเป็นตลกร้ายนะ ผมอยากใช้ชีวิตแบบคนปกติ ถ้ามีงานตรงไหนในวงการที่ทำอยู่ได้ก็ทำ ซึ่งน่าจะเป็นงานเบื้องหลังมากกว่า

“ตอนนี้ผมซื้อบ้านที่ภูเก็ตไว้แล้ว อาจจะเปิดสตูดิโอจิ๋วๆ ไว้รับอัดเพลง เปิดห้องซ้อม ให้เด็กไม่ค่อยมีตังค์มาซ้อมเหมือนผมสมัยก่อน มาซ้อมได้แต่ฝากถนอมของหน่อยนะ เราเคยได้รับมาเยอะ ก็อยากให้บ้าง แต่ก็ไม่ได้จำกัดนะว่าจะอยู่ที่ไหน เผลอๆ อาจไปทำงานอื่นเลยก็ได้”

หากเปรียบชีวิตเป็นเกมที่คลั่งไคล้ คิดว่าตอนนี้เล่นอยู่ในด่านไหน เราถามคำถามสุดท้ายเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่ต้องยุติการสนทนาเพื่อให้เขาได้พักก่อนรีบไปทำงานในตารางที่แน่นเอี๊ยดทั้งวัน

“ผม win แล้วนะ ผมกำลังเล่นด่านเอ็กซ์ตร้า เป็นด่านเสริมแบบ DLC เพราะผมถือว่าตัวเองสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่ผมเล่นดนตรีกับเพื่อนแล้วมีความสุข ทั้งที่วันนั้นยอมรับว่าเล่นห่วยมาก จนห้องข้างๆ เปิดประตูมาด่า แต่นั่นคือภาพที่ผมตั้งไว้ แล้วทำมันได้ และมีความสุขด้วย“การที่เราทำอะไรแล้วมีความสุขก็เพียงพอแล้วไหม ไม่ใช่ว่าตอบเอาหล่อนะ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

Writer

Avatar

เชิญพร คงมา

อดีตเด็กยอดนักอ่านประจำโรงเรียน ชอบอ่านพอๆ กับชอบเขียน สนุกกับการเล่าเรื่องราวรักการเที่ยวเล่น ติดชิมของอร่อย และสนใจธรรมะ

Photographer

Avatar

ณัฎฐาจิตรา ชินารมย์รัตน์

ช่างภาพที่ชอบการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลงและหลงรักในความทรงจำ