ปารีส ดินแดนในฝันที่ร่ำรวยไปด้วยวัฒนธรรมและความเก่าแก่ อันเป็นดั่งมนตร์ขลังดึงดูดให้นักท่องเที่ยวกว่าหลายล้านชีวิตเดินทางมาที่นี่ทุกๆ ปี เคลิบเคลิ้มฝันหวานด้วยบรรยากาศเหมือนหนัง Midnight in Paris แต่แน่นอนว่าภาพที่วาดฝันไว้นั้นเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวของปารีส ในชีวิตจริงแล้วนั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างสวยหรูด้วยบ้านอพาร์ตเมนต์เฮาส์มันน์ (Haussmann) เหล่าประชากรจำนวนมากใช้ชีวิตอยู่นอกตัวเมือง หรือที่เรียกกันว่า ‘บองลิเออ’ (Banlieue) ชายขอบเมืองปารีส และในพื้นที่เหล่านี้เองที่คุณจะเห็นความหลากหลายแบบปารีสที่แท้จริง
รอบนี้เราขอชวนทุกคนเปลี่ยนทิศการเที่ยว ตีตั๋วออกนอกเมือง เพื่อพบกับอีกหนึ่งมุม ‘ปารีส’ ที่ไม่มีไกด์คนไหนแนะนำ ไปยังเขตนัวซี เลอ กรองด์ (Noisy-le-Grand) อันเป็นอีกหนึ่งบ้านหลักของคนจากหลายเชื้อชาติต่างภาษา โดยส่วนมากจะเป็นประชากรชาวต่างชาติที่อพยพเข้ามาจากแอฟริกา เอเชีย และยุโรปตะวันออก ซึ่งไหลมาเทมาอย่างล้นหลามตั้งแต่ช่วงยุค 50 แบ่งสรรปันส่วนอยู่ใน Social Housing หรือบ้านการเคหะ ที่ทางรัฐได้จัดสร้างไว้ให้
และที่นัวซี เลอ กรองด์ นี่เองก็มีอาคารการเคหะที่โดดเด่นอย่างมากอยู่ 2 ที่ด้วยกัน ออกแบบโดยสถาปนิกสเปนฝีมือท็อปฟอร์มทั้งคู่อย่าง มานูเอล นูนเยซ ยานอฟสกี้ (Manuel Núñez Yanowsky) และ ริการ์โด โบฟีย์ (Ricardo Bofill) (ในอดีตทั้งคู่ร่วมก่อตั้งบริษัทออกแบบ Taller de Arquitectura มาด้วยกัน) ที่ทั้งสวยเตะตาและแปลกประหลาดจนโดนใจทีมโปรดักชันภาพยนตร์ต่างๆ มานักต่อนัก
Le Pavé Neuf
จากสถานีรถไฟเราเลือกที่จะเดินไปทางทิศตะวันออกก่อน เพื่อไปยังอาคารแรกมีชื่อว่า เลอ ปาเว เนิฟ (Le Pavé Neuf) ออกแบบโดยมานูเอล นูนเยซ ยานอฟสกี้ มีอายุกว่า 30 ปี โดดเด่นด้วยตึกรูปทรงกลมแบบเหรียญความสูง 17 ชั้น ผู้คนแถวนั้นเรียกกันว่า กอม็องแบร์ต (Camembert) ตั้งตระหง่านเป็นจุดเด่นทั้งสองด้านทางเข้าออก ตึกพักอาศัยโอบล้อมสวนพักผ่อนหย่อนใจส่วนกลาง ในฤดูร้อนเด็กๆ จะออกมาวิ่งเล่นปั่นจักรยานลอดใต้น้ำพุกันอย่างสนุกสนาน ที่พักแห่งนี้ถูกออกแบบให้มีชีวิตชีวาอย่างครบครัน ทั้งโรงเรียนสำหรับเด็กเล็ก และเขตค้าขายอำนวยความสะดวกให้กับผู้พักอาศัย
มองจากภายนอกเราจะรู้ได้ถึงความน่าเกรงขามของสถานที่ ไม่ใช่แค่จากตึกขนาดใหญ่ แต่ทั้งองค์ประกอบโครงเสาที่ใหญ่โต เสริมด้วยเสาไฟที่ท้าแดดให้เงาผู้อาศัย ผสมผสานการออกแบบแนวกอธิก กรีก และโพสต์โมเดิร์น ผสมดีเทลโชว์ลวดลายแบบ Art Deco เด่นชัดในรูปทรงเรขาคณิต สร้างความตระการตาทุกครั้งที่ได้มอง ไม่รู้เบื่อ
น่าเสียดายยิ่งที่อาคารนี้อยู่ในย่านที่แม้แต่คนปารีสยังต้องเรียกว่าเขตอันตราย มีหลายครั้งที่ข่าวรายงานการค้ายาและเหตุจลาจลในพื้นที่แห่งนี้ เหตุเพราะความยากจนของผู้พักอาศัยและจำนวนคนไร้งานที่สูงเมื่อเทียบกับเขตอื่นๆ ข่าวโจรกรรม การทำร้ายร่างกาย เป็นเรื่องคุ้นเคยของที่นี่ การพัฒนาพื้นที่รวมไปถึงฟื้นฟูอาคารจึงเป็นไปได้ยาก แต่ถึงจะน่ากลัวปานนั้น ก็ไม่หยุดยั้งสายภาพยนตร์หรืองานแฟชั่นที่ยังใช้พื้นที่นี้ในการถ่ายทำอย่างไม่ขาดสาย
Les Espaces d’Abraxas
จากเลอ ปาเว เนิฟ เราเดินข้ามมาอีกฝั่งนึงของสถานี สู่อีกหนึ่งไฮไลต์ เล เซสปาส ดาบราซาส (Les Espaces d’Abraxas) ผลงานออกแบบของสถาปนิกชื่อดัง ริการ์โด โบฟีย์ ด้วยคอนเซปต์การออกแบบ Urban Monument ตามความเชื่อของสถาปนิกว่าด้วยอาคารอสังหาริมทรัพย์นั้นควรต้องมีความยิ่งใหญ่และเอกลักษณ์อันโดดเด่น
ซึ่งกาลครั้งหนึ่งเคยสวยเตะตาระดับฮอลลีวูดไปอยู่ในฉากหลักหนังเรื่อง Brazil ของ เทอร์รี่ กิลเลียม (Terry Gilliam) ที่เล่าถึงโลกอนาคตดิสโทเปียเหนือจินตนาการ และ The Hunger Games : Mockingjay Part 2 อีกด้วย (สำหรับคนที่ยังนึกไม่ออก ที่นี่เป็นอีกหนึ่งด่านกับดักปล่อยน้ำมันสลายร่างแหลก มีใครตายบ้างในฉากนี้ขอไม่สปอยล์ ให้กลับไปดูเองเพื่อเพิ่มอรรถรส)
และนั่นน่าจะเป็นความรู้สึกแรกทันทีที่ทุกคนได้เหยียบที่นี่เช่นกัน ท่ามกลางการโอบล้อมของตึกโค้งขนาดใหญ่อายุเกือบ 40 ปี ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ เลอ ปาซิโอ (Le Palacio), เลอ เตอาร์ต (Le Théâtre) และ ลาร์ค (L’arc) ที่ตอนแรกถูกออกแบบมาให้เหมือน 3 ห้องในพื้นที่ของโรงละคร มีเลอ ปาซิโอ เป็นอาคารหลัก 18 ชั้น รองรับกว่า 441 ห้อง มีทั้งลิฟต์ โถงบันได และทางเดินสายต่างๆ หันมาที่ัฝั่งตรงข้ามจะพบกับเลอ เตอาร์ต อาคารทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ เปรียบเหมือนเกราะจากโลกภายนอกสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย และตึกสุดท้ายตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง ลาร์คเป็นตึกไซส์เล็กกว่าแต่เด่นสง่าใจกลางสองตึก อีกหนึ่งองค์ประกอบสร้างความโดดเด่น ต้องยกให้เรื่องสีสัน ที่นำสีอิฐมาตัดกับชมพูได้อย่างลงตัว
แต่ในความอลังการนี้ แม้จะถูกก่อสร้างมาด้วยแนวคิดแบบยิ่งใหญ่ให้สวยงามดั่งยูโทเปียคอนกรีตสวนกระแสความเรียบง่ายของอาคารเคหะยุคหลังสงครามโลกที่มักจะทื่อๆ น่าเสียดายที่ความจริงแล้วการใช้ชีวิตที่นี่ไม่ได้สวยหรูดั่งการออกแบบ เพราะเหนือสิ่งคาดคิดตอนออกแบบคือการทำให้ผู้อาศัยรู้สึกเหมือนติดอยู่ในกำแพง กลายเป็นรู้สึกโดนกักขังมากกว่าปลอดภัย ก่อเป็นบรรยากาศความห่างเหินตัดขาดทั้งจากโลกภายนอกและคนที่อยู่ภายใน
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็อดไม่ได้ที่จะทึ่งในความยิ่งใหญ่และตั้งใจในการออกแบบ ที่ถึงแม้จะเป็นแค่อาคารเคหะเพื่อพักอาศัยสำหรับชนชั้นล่างผู้อพยพ แต่การออกแบบทั้งสองอาคารก็สอดคล้องกันจนกลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นประจำเมือง เดชะบุญของตึกเหล่านี้ที่รอดพ้นต่อการรื้อถอนมาหลายครั้งหลายคราให้ยังเหลือเป็นบุญตาคนชอบส่องตึก ถึงอย่างนั้นก็ยังอดอิจฉาชาวฝรั่งเศสไม่ได้ เมื่อเห็นทางรัฐบาลให้ความสำคัญกับการออกแบบสร้างสรรค์เป็นแลนด์มาร์กให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้เดินทางค้นหา เพราะความฝรั่งเศสที่แท้จริงนั้นหลากหลาย หากมีโอกาสหรือเวลาเหลือสักหน่อย การได้เดินทางออกนอกเขตเมืองเพื่อค้นพบความปารีสที่ไม่ได้อยู่ในแผนที่ท่องเที่ยว ก็เป็นการเปิดหูเปิดตาให้เข้าใจความฝรั่งเศสได้อย่างดีทีเดียว
การเดินทางไปนัวซี เลอ กรองด์ : นั่งเครื่องบินไปปารีส (เรอะ!) แล้วต่อรถไฟสาย RER A จากชาเตอเลต์ เล อัลล์ (Châtelet-Les Halles) เสียค่าบัตรเพิ่มจากปกติเล็กน้อย เนื่องจากอยู่ในโซน 4
ป.ล. ถึงแม้ความสวยงามที่นี่นั้นโดดเด่น การเดินเหินถ่ายรูปไม่ใช่เรื่องง่ายและค่อนไปทางไม่ปลอดภัยนั้น หญิงเดี่ยวไปก็ไม่ควร การยกกล้องกดถ่ายภาพทุกครั้งก็ควรมองหน้ามองหลัง หากเดินผิดทิศก็อาจจะเจอคนท้องถิ่นมาห้ามและรีดไถเงินได้ หากคิดจะตามรอย ขอแนะนำให้พาเพื่อนคอยเป็นหูเป็นตาไปด้วย เพราะข่าวอาชญากรรมของละแวกนี้ก็โด่งดังขึ้นชื่อไม่แพ้ความอลังการของสองตึกเช่นกัน