หากจะมีของวิเศษสักชิ้นที่เราอยากขอและของวิเศษชิ้นนั้นส่งต่อให้กับคนรุ่นหลังได้ เราจะนึกถึงอะไรกันบ้าง
โนบิตะเป็นชื่อเล่นของยูกิโตะ เด็กหนุ่มวัย 20 ปีจากจังหวัดอิวาเตะ เขาสนใจใคร่รู้สิ่งที่อยู่นอกเหนือไปจากห้องเรียนในโรงเรียน ชีวิตจริงยิ่งกว่าการ์ตูนของเขาไม่มีแมวสีฟ้าตัวอ้วนที่มีของวิเศษมากมายในพุง เขาจึงพาตัวเองออกเดินทาง เราได้พบกันอีกครั้งหลังจากที่เขาเคยมาที่นี่เมื่อปีก่อน การกลับมาคราวนี้เขาดูโตขึ้นกว่าเดิมและมีคำถามมาเต็มกระบุงเลยทีเดียว
ชื่อเล่นโนบิตะที่เขาได้มานั้น (โนบิ = เติบโต ตะ = หนา ทึบ) เป็นเพราะเขาไม่ชอบไปโรงเรียน และยิ่งไปกว่านั้น คือ เขากำลังตัดสินใจออกจากมหา’ลัยหลังจากเรียนได้เพียงปีเดียว
“ผมไม่มีความสุข”
คือเหตุผลที่มากเพียงพอให้โนบิตะต้องตัดสินทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป เขาคิดถึงก้าวต่อจากนี้ที่เต็มไปด้วยความหวัง ความท้าย และเขารู้ดีว่ามันไม่ได้ง่ายเสียทีเดียว
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าประเทศญี่ปุ่นยืนอยู่แถวหน้าของโลกในเกือบทุกๆ ด้าน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกลึกๆ ของโนบิตะกลับรู้สึกว่าสังคมญี่ปุ่นที่เจริญรุดหน้าเพียงชั่วอายุคนมีอะไรสำคัญหล่นหายไประหว่างทาง เขาเชื่อว่าตัวเองจะค้นพบมันสักวันหนึ่ง และทำให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ไข่เจียวจานแรก กับการค้นพบสิ่งสำคัญลำดับที่หนึ่ง
ใกล้เที่ยงแล้ว เราชวนโนบิตะทำไข่เจียวให้เรากิน เขายินดีและลงมือในทันที หลังจากตอกไข่เติมเกลือ ซอยต้นหอมใส่เครื่องปรุงเสร็จสรรพ ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน กระทะใส่น้ำมันถูกตั้งบนเตาแก๊ส เสียงจุดไฟดังแก๊ก สักพักน้ำมันเริ่มเดือด โนบิตะเทไข่ลงไป ทัพพีในมือพลิกไข่ไปมาจนสุกงอมหอมกรุ่น พ่อครัวมือใหม่ทำหน้าพึงพอใจทีเดียวกับไข่เจียวจานแรกในชีวิต
ระหว่างกินข้าว โนบิตะเล่าให้ฟังว่าความสะดวกสบาย ความสำเร็จรูป ทำให้ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ในการทำอาหารของมวลมนุษยชาติลดลง ชีวิตที่เร่งรีบ แม้แต่ชินคันเซนที่ว่าเร็ว อาจจะช้าเกินไปแล้วสำหรับคนญี่ปุ่นในเวลานี้ โนบิตะกวาดสายตาไปรอบๆ ตอบเป็นนัยๆ ว่า “ชีวิตแบบนี้แหละที่คนญี่ปุ่นโหยหา”
“ชีวิตอะไร” ผมถาม
โนบิตะเล่าให้เราฟังว่า ชนบทของญี่ปุ่นสวยมากและคล้ายชุมชนในเมืองไทย มีภูเขา ทุ่งนา บ้านเรือนที่มีสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ผู้คนมีชีวิตที่สงบ แต่ทุกวันนี้คนหนุ่มสาวหันหลังให้บ้านเกิดเมืองนอน มุ่งหน้าเข้าเมืองโตเกียว เพราะความหวังที่จะมีชีวิตที่ดี ชุมชนมากมายจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และบ่อยครั้งที่เราพบบ้านเรือนถูกทิ้งร้าง ไม่มีคนดูแล จึงปล่อยให้เช่าในราคาถูกมาก ราว 4,000 บาทเท่านั้นเอง คนรุ่นใหม่ที่ญี่ปุ่นบางกลุ่มอยากกลับมาทำสวน รวมตัวกันและเรียนรู้ที่จะกลับมาพึ่งตัวเองให้มากที่สุด ตั้งแต่การซ่อมแซมบ้าน ปลูกผัก ทำอาหาร ใช้เวลาในสวนแบบเรียบง่าย เนิบช้า อยู่กันแบบชุมชนที่ทุกคนใกล้ชิด เป็นกันเอง
สังคมผู้สูงอายุที่ญี่ปุ่นทำให้คนหนุ่มสาวต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะเงินภาษีที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขาจะถูกนำไปใช้สำหรับการดูแลผู้สูงอายุด้วยอัตราการเกิดในญี่ปุ่นที่น้อยลง โนบิตะจึงไม่แน่ใจนักว่า ระบบเบี้ยผู้สูงอายุจะอยู่รอดถึงวันที่แก่ตัวลงหรือเปล่า
“เราต้องการจังหวะชีวิตที่ช้าลง สงบ เรียบง่าย และใกล้ชิดกับธรรมชาติ” โนบิตะทิ้งท้าย พอฟังเด็กหนุ่มคนนี้พูด ทำให้ผมนึกถึง 2 คำที่คนสมัยก่อนว่า
“เคาะหยู่ หล่อมี” แปลตรงๆ คือ หลอดอาหารและที่นอน อาหารและที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับแรกๆ ที่ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจ รู้สึกปลอดภัย การตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองยังไม่ไร้บ้าน และมีกับข้าวกับปลาให้อิ่มท้อง เพียงเท่านี้เราก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่โชคดีมากที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ
หัวใจที่แกว่งไปในเปล
ช่วงสายของวันต่อมา ผมชวนโนบิตะกับโมเอริเพื่อนอีกคนของเขาเดินเท้าเข้าป่า ไปผูกเปลและนอนกลางวันบนเขา หลังจากเตรียมอาหารห่อข้าว มันฝรั่งบด มันเทศ เราออกเดินทาง เลาะเลี้ยวไปตามทางที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมา ผ่านนา ผ่านสวน เดินขึ้น เดินลง แดดแรงก็พักใต้ต้นไม้แล้วเดินต่อ เราไปชมวิวกว้างๆ ที่ตอนนี้ทุ่งนาได้พักผ่อนตามฤดูของมัน มีเพียงวัวและควายที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ไกลๆ เรามองเห็นชุมชนดั้งเดิมหรือแดลอ คนสมัยก่อนมักจะปลูกต้นไผ่บริเวณหมู่บ้าน เพราะสมัยก่อนชาวบ้านใช้ไผ่ในการสร้างบ้านเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเวลาที่เราเห็นกอไผ่ ต้นหมาก ต้นขนุน ต้นมะม่วงขนาดใหญ่ สันนิษฐานได้ว่าบริเวณนั้นเคยเป็นที่ตั้งของชุมชนในอดีต
เราออกเดินทางกันต่อ ระหว่างที่เดินลงห้วยอยู่ดีๆ โนบิตะของเราก็ตกใจและวิ่งพรวดมาที่ผม เขาบอกว่าได้ยินเสียงงู อันที่จริงเป็นเสียงน้ำจากท่อประปาที่รั่ว เสียงมันคล้ายกับเสียงงูเห่าคำราม ถ้าเสียงน้ำน่ากลัวขนาดนั้นเราน่าจะเดินไปตามลำธารกัน เผื่อเสียงลำธารจะช่วยอะไรโนบิตะได้บ้าง เราเดินเลาะไปตามห้วยขึ้นไปนั่งพักที่กระท่อมในนา กองฟางที่ตอนนี้เจ้ากี่จึ๊กับมีโชคกำลังคุ้ยเขี่ยหาอะไรสักอย่าง โนบิตะหวาดระแวงอีกแล้วว่ามันจะมีตัวอะไรโผล่ออกมา ความกังวลของเขาอยู่ในระดับ 7 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงพอสมควร
ผมเลยให้กำลังใจและเดินนำขึ้นเขา ผมตรวจสอบตัวเลขกับเขาเป็นระยะๆ ส่วนโมเอริไม่ได้หวาดกลัวเสียงงู เขาบอกว่า กำลังเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะ เพราะที่ญี่ปุ่นตารางชีวิตถูกวางไว้แบบแน่ชัด จนบ่อยครั้งที่เขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบันจริงๆ เวลาที่ย่ำเท้าเดิน เขาบอกว่า ความคิดมักจะชักชวนให้เขาพูดคุยด้วยบ่อยๆ มันยากที่จะไม่ถูกความคิดลวง แต่พลังงานในป่าก็ช่วยได้เยอะ จนความสงบในใจของเขาไต่ขึ้นไปที่ระดับแปดเลยทีเดียว
เราเดินมาถึงเนินเขาตอนเที่ยงพอดี ไม่มีอะไรต้องทำ นอกจากล้วงสิ่งจำเป็นอันดับหนึ่งออกจากกระเป๋าแล้วเรานั่งกินกัน เรากินข้าวในใบไม้ที่เด็ดได้ใกล้ๆ เราใช้ด้านในของใบไม้เพราะสะอาดกว่า ไม่มีฝุ่นเกาะ หรือมีน้อยกว่าด้านนอก
มื้อที่เรียบง่ายที่สุดใต้ต้นสนเสร็จสิ้นลง โมเอริเล่าว่า ญี่ปุ่นมีการรับพลังจากธรรมชาติเรียกว่า ‘ชินรินโยกุ’ หรือการอาบป่า เพื่อรับพลังจากธรรมชาติและชะล้างตัวเอง โดยการสัมผัสหรือกอดต้นไม้และรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
เราเตรียมเปลมาผูกนอนกลางวันคนละปาก ในเปลใต้ต้นไม้ โนบิตะยิ้มแย้ม แหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าสีฟ้าสดใส ใบสนแกว่งไกว ตามเสียงลมโบกเบาๆ ภูเขาที่อยู่สูงขึ้นไปกำลังพักผ่อน ผมก็เผลอหลับไปจนได้
หลังจากพักผ่อนอย่าเพียงพอ เราเดินลงห้วยเพื่อเดินทางกลับ ระหว่างทางเราหยุดเป็นพักๆ ได้ฟังความทุกข์ของคนหนุ่มสาวญี่ปุ่น โนบิตะและโมเอริเห็นตรงกันว่า การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นคือความทุกข์ พวกเขาเคยกดดันมากจากการเฝ้ามองคนอื่นที่ดูเหมือนดีกว่า เก่งกว่า มีมากกว่า ความกดดันบีบคั้นให้ต้องถีบตัวเองตลอดเวลา จนบ่อยครั้งต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เด็กญี่ปุ่นทุกคนมักต้องเผชิญ
น้องๆ ทั้งสองคนบอกว่า ตอนนี้พวกเขาดีขึ้นมาก เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นน้อยลงหรือแทบจะไม่มีเลย เพราะการเดินทางเปิดโลกของพวกเขาบอกเขาว่า โลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบเลยแม้แต่คนเดียว
บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า เรามีเปลของเราดีๆ อยู่แล้ว และเราก็น่าจะมีความสุขดีที่ได้นอนเปลของเรา แต่เรามักเผลออยากไปอยู่ในเปลคนอื่น ไปแกว่งไกวตรงนี้ตรงโน้นบ้าง สุดท้ายเราถูกเหวี่ยงให้ตกลงมาจนได้
ยอมให้และยอมรับ
หนึ่งในความฝันของโนบิตะ คือสักวันหนึ่งเขาอยากใช้ชีวิตในชุนชนเล็กๆ ในชนบท ที่ทุกคนทำงานด้วยกันและชื่นชมวิถีชีวิตอย่างเต็มใจ วิถีแบบนั้นอาจเคยมีในอดีต และยังคงหลงเหลืออยู่ตามที่ต่างๆ แต่สำหรับเขามันไม่ใช่การกลับไปเป็นอะไรบางอย่างในอดีต เพราะเขาไม่เคยมีชีวิตแบบนั้นมาก่อน วิถีแบบชุมชนหรือชนบทอาจจะเก่าสำหรับคนรุ่นหนึ่ง แต่เป็นอะไรที่ยังใหม่เสมอสำหรับโนบิตะ คงเหมือนการใช้กล้องฟิล์มที่มันเคยถูกเลิกใช้ไปพักหนึ่ง จนกระทั่งคนอีกรุ่นได้สนใจมันอีกครั้ง เพราะมันยังคงบอกเล่าความงดงามและมนตร์ขลังของภาพแต่ละภาพที่ได้จากการรอ และความช้านี่เองที่ซ่อนคุณค่าบางอย่างไว้ลึกๆ แต่เราต้องผ่อนความเร็วลงจึงจะเห็นได้ชัด
โนบิตะยังอยากช่วยเหลือโลกใบนี้ด้วยเช่นเดียวกัน สิ่งที่เขาคิดออกแล้วและกำลังพยายามฝึกฝนคือการแบ่งปันรอยยิ้มและการมีความเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ โนบิตะบอกว่า เขายอมรับในความแตกต่างที่เขาเป็น เผลอๆ เขาอาจจะเป็นคนที่ไม่ปกติเอาเสียเลย แต่เชื่อและยอมรับในความแตกต่างที่เขามีอย่างเต็มใจ แม้บางครั้งจะรู้สึกโดดเดี่ยวและรู้สึกเป็นทุกข์ แต่นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เขาเติบโตต่อไป
ก่อนกลับบ้าน ผมให้โนบิตะทำตะเกียบเอาไปใช้ที่ญี่ปุ่น เขาใช้เวลากับมีด ไม้ไผ่ กระดาษทรายอย่างจดจ่อ และในที่สุดเขาก็ทำตะเกียบคู่แรกในชีวิต ความสำเร็จนี้อาจจะดูเล็กน้อยสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเขาแล้ว ขณะที่ทำตะเกียบอยู่ เขาอาจค้นพบความสุขภายในระดับ 7 ก็เป็นได้ ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยในวันที่โลกของเรากำลังแกว่งไกวไปตามเหตุการณ์มากมาย
การที่เมล็ดพันธ์ุสักเม็ดหนึ่งจะเติบโตได้ ต้องผ่านการระเบิดตัวเองจนเปลือกนอกแตกสลาย เท่านั้นยังไม่พอต้องแหวกว่ายผืนดินออกมาอย่างยากลำบาก จนในที่สุดได้งอกเงยออกมารับแสงแดดจนเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาต่อไป เด็กหนุ่มคนนี้คงไม่ต่างอะไรกับเมล็ดพันธ์ุเมล็ดหนึ่งที่เลือกวิถีทางของตัวเอง ไม่ได้เป็นพิมพ์เดียวกันกับคนส่วนใหญ่
โนบิตะเดินทางกลับบ้านไปแล้ว แต่เรื่องราวที่เขาเล่าให้ฟังยังคงก้องในหัวของผม ผมไม่รู้เลยว่าเขาต้องพบเจอกับอะไรต่อจากนี้ และผมไม่รู้สึกห่วงอะไรไม่ใช่เพราะเขาไม่ใช่ญาติสนิทชิดใกล้ แต่เป็นเพราะเขาเป็นเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่งที่อยากเห็นตัวเองอยู่ในที่ที่เขามีความสุข และเขาอยากจะทำอะไรสักอย่างให้โลกใบนี้ที่มอบสิ่งวิเศษเราทุกๆ วันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย แค่เรายังได้หายใจก็ประจักษ์ชัดเจนอยู่แล้วว่า ลมหายใจนั้นวิเศษแค่ไหน ถ้าเปรียบโลกเป็นโดราเอมอน เราน่าจะได้ช่วยกันทาสีตรงพุงของเจ้าเหมียวสีฟ้าให้เป็นสีเขียวเพิ่มนิดหนึ่ง และให้โดราเอมอนพุงเขียวได้พักผ่อนบ้าง เราควรทำตัวขี้เกียจบ้าง ขี้เกียจร้องขอสิ่งวิเศษ แล้วกลับมาสำรวจว่า แท้จริงแล้วเรามีของวิเศษมากมายอยู่แล้วแค่ไหน
ขอให้พวกเราทุกคนปลอดภัยนะครับ
ต่าบลึ / ขอบคุณมากครับ