คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยเดินทางมาเมืองไทยเพื่อนั่งรถไฟตู้นอน

มันคือเสน่ห์ที่แทบจะหาไม่ได้แล้วในญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นประเทศใหญ่ที่มีโครงข่ายรถไฟคลี่คลุมทั่วประเทศ วิธีที่จะช่วยลดความยาวไกลของการเดินทางลงได้บ้างก็คือ ให้บริการรถไฟตู้นอนแบบข้ามคืน หลับไปหนึ่งคืนตื่นมาก็ถึง แต่พอมีรถไฟความเร็วสูงพุ่งไปทุกทิศ รถไฟตู้นอนก็ลดความสำคัญลงเรื่อยๆ ไม่มีการสร้างรถไฟขบวนใหม่ๆ เพิ่ม มีแต่ทยอยยกเลิกการใช้งานเมื่อรถไฟเหล่านี้ถึงวัยปลดประจำการ

การเดินทางด้วยรถไฟตู้นอน จึงเป็นความทรงจำในวัยหนุ่มสาวของชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยสนุกกับการแบกเป้ขึ้นรถไฟออกไปเดินทางไกลกับเพื่อนๆ ซึ่งวันนี้พวกเขาทำได้เพียงนึกถึง

นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาเดินทางไกลมานั่งรถไฟตู้นอนรุ่น Blue Train ซึ่งจัดว่าคลาสสิกที่สุดรุ่นหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งยังคงใช้งานอยู่ในประเทศไทย

กลางปี 2559 JR East (การรถไฟญี่ปุ่นที่ดูแลการเดินรถฝั่งตะวันออกของประเทศ) ประกาศยกเลิกการใช้รถไฟขบวน Hokutosei (โฮะกุโตะเซ) ซึ่งถือเป็นรถไฟตู้นอนที่คลาสสิกที่สุดขบวนหนึ่งของประเทศ และถือเป็นรถไฟตระกูล Blue Train ขบวนสุดท้ายที่ยังคงใช้งานอยู่ในญี่ปุ่น วิ่งระหว่างสถานีอูเอโนะในโตเกียวกับฮอกไกโด

รถไฟที่ชื่อแปลว่า ‘กลุ่มดาวหมีใหญ่’ ขบวนนี้เป็นรถหรูที่มีแฟนคลับมากมาย มีการทำโมเดลรถไฟรุ่นนี้ออกมาขาย แล้วก็ยังเอาไปเรื่องไปเขียนเป็นนิทานด้วย ดังนั้นการเลิกวิ่งจึงเป็นข่าวใหญ่ที่ใครต่อใครต่างพากันเสียดาย

โดยปกติแล้ว รถไฟปลดระวางเหล่านี้จะถูกนำไปบริจาคให้ประเทศที่ต้องการ (แบบที่ไทยเคยได้รับจากญี่ปุ่น) แต่รถไฟขบวนนี้แตกต่างออกไป เพราะมันถูกนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างน่าสนใจ ทั้งในแง่มูลค่าทางเศรษฐกิจ และคุณค่าทางจิตใจ ด้วยการทำเป็นโฮสเทล

แต่ไม่ใช่เอารถไฟทั้งตู้มาตั้ง แล้วให้คนเดินขึ้นไปนอน

เรื่องเริ่มต้นจาก JR East คิดอยากจะทำที่พักสำหรับนักเดินทางมาตั้งนานแล้ว เลยทำงานร่วมกับบริษัทผู้ชำนาญการด้านที่พัก ซึ่งไม่ใช่เครือโรงแรมใหญ่ๆ แต่เป็นบริษัทซึ่งถนัดทำที่พักเฉพาะทางให้กิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกีฬา

โครงการนี้ปักธงเลือกอาคารที่ติดกับสถานีรถไฟ JR Bakurocho ในโตเกียว ซึ่งเป็นพื้นที่ของบริษัทลูก JR East ที่ทำงานด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทำเลก็ดีมากเพราะเชื่อมกับรถไฟ 3 สาย เดินทางไปสนามบินก็ง่าย ไปฮอกไกโด (ซึ่งเป็นเส้นทางเดินรถเดิมของรถไฟขบวนโฮะกุโตะเซ) ก็ไม่ยาก อยู่ห่างจากสถานีโตเกียวแค่ 3 สถานีเท่านั้น ดังนั้นมันจึงเหมาะจะเป็นที่พักสำหรับนักเดินทางที่อยากนั่งรถไฟไปเที่ยวญี่ปุ่น

เมื่อเดินเข้ามาเราจะพบแผนกต้อนรับซึ่งออกแบบให้คล้ายเคาน์เตอร์ขายตั๋วในสถานีรถไฟ ของตกแต่งหลายๆ ชิ้นก็เป็นของที่เคยใช้งานในสถานีมาก่อน ชุดของพนักงานก็ออกแบบให้คล้ายพนักงานรถไฟ แบบฟอร์มกรอกประวัติแขกก็ออกแบบได้ใกล้เคียงกับตั๋วรถไฟขบวนนี้ เช่นเดียวกับคีย์การ์ดที่ใช้เข้าห้องก็เป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในรถไฟ (แอบตกใจเล็กน้อยที่รู้ว่า ตู้นอนในรถไฟญี่ปุ่นก็ใช้คีย์การ์ด)

Train Hostel HOKUTOSEI เป็นตึก 6 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นห้องอาบน้ำ ชั้น 3 – 5 เป็นห้องนอน มีทั้งชั้นห้องพักสำหรับผู้หญิงและห้องพักรวม เมื่อเราแตะบัตรเข้าไปในห้องนอนรวม จะเห็นการใช้พื้นที่แนวลึกของตึกที่ดูเหมือนตู้รถไฟ ที่นอนและอุปกรณ์ทั้งหมดก็มาจากในรถไฟโฮะกุโตะเซ รับรองว่าคนรักรถไฟหรือรักเฟอร์นิเจอร์วินเทจเห็นแล้วต้องกรี๊ดแน่นอน

พื้่นที่ติดหน้าต่างของห้องนอนแต่ละชั้นเป็นห้องนอนเดี่ยว ซึ่งออกแบบพื้นที่และใช้เฟอร์นิเจอร์จากห้องโดยสารชั้นหนึ่งของโฮะกุโตะเซนั่นเอง

ไฮไลต์ของโฮสเทลแห่งนี้อยู่ที่ร้านอาหาร Grand Chariot ชั้นสอง เพราะมันคือการถอดเฟอร์นิเจอร์ยุค 70 จากห้องอาหารสุดหรูชื่อเดียวกันนี้บนขบวนรถไฟมาสร้างใหม่ในอาคาร ทั้งเคาน์เตอร์ โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟตั้งโต๊ะ โคมไฟเพดาน ไปจนถึงประตูทางเข้า และกระจกในห้องน้ำ

โรงแรมแห่งนี้เปิดให้บริการเมื่อเดือนธันวาคม 2559 ตอนนี้ติดอันดับที่พักยอดนิยมที่คนจองเต็มตลอดเวลาไปแล้ว ผู้จัดการโฮสเทลบอกว่า ลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่มาพักส่วนใหญ่ชื่นชอบรถไฟขบวนนี้อยู่แล้ว ทั้งเคยขึ้นและอยากขึ้น แต่สู้ราคาค่าตั๋วรถไฟไม่ไหว

เมื่อถามถึงความรู้สึกของผู้เข้าพัก ผู้จัดการสาวก็หยิบสมุดเยี่ยมมาอ่านข้อความที่แขกเขียนไว้ให้ฟัง คิดถึงรถไฟขบวนนี้มาก ปลื้มมาก ปลื้มจนนอนไม่หลับเลย

ฟังแล้วก็ชักสงสัยว่า แล้วเด็กๆ ที่เกิดไม่ทันรถไฟขบวนนี้ไม่อินกับเรื่องราวของรถไฟขบวนนี้เลย มาพักแล้วจะมีความสุขเหมือนพ่อแม่ของเขาหรือ

ผู้จัดการตอบว่า มีครอบครัวที่พาลูกมาพักด้วยเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มีความฝันว่าอยากขับรถไฟ ถึงจะไม่รู้จักรถไฟขบวนนี้ แค่ได้นอนในรถไฟ เด็กเหล่านี้ก็มีความสุขแล้ว