นักวิทยาศาสตร์สายจีโนมิกส์ (Genomics) กับนักประวัติศาสตร์ มักจะไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยนัก แต่การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ด้านจีโนมิกส์ช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ อาจจะเปลี่ยนแปลงกรอบคิดทางประวัติศาสตร์และการเมืองโลกได้
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่าคน ‘ชนพื้นเมืองอเมริกา’ (Native Americans) ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่เดิมในสหรัฐอเมริกานั้น ล้วนมีเชื้อสายมาจากคนเอเชียตะวันออกทั้งนั้น โดยสืบทอดมาจากเชื้อสายที่พบในกลุ่มคนเชื้อสายเอเชียตะวันออก (คนเชื้อสายมองโกลอยด์)

แต่ยังมีการถกเถียงกันว่าคนเอเชียย้ายมากี่ระลอกก่อนจะครอบคลุมทั้งทวีปอเมริกา เช่น งานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (ปี 2012) นำเสนอว่า ต้องเคลื่อนย้ายจากเอเชียถึง 3 ระลอก จึงจะครอบคลุมทั้งทวีปอเมริกาได้ และงานวิจัยของฮาร์วาร์ดอีกชิ้นในปี (ปี 2015) เสนอว่ามีการเคลื่อนย้ายเพียง 2 ระลอกจากเอเชีย
ล่าสุด งานวิจัยทาง Genomics (ปี 2018) ที่ได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งโดย Chan Zuckerburg Biohub และ National Science Foundation ได้ทำ Genome Sequencing ทั้งหมดของเด็ก 2 คนที่เคยอาศัยอยู่ใน Alaska เมื่อ 11,500 ปีที่แล้ว
พวกเขาพบว่าเด็กสองคนนี้มียีนส์ที่ไม่เคยพบมาก่อนในกลุ่มคนชนพื้นเมืองอเมริกาในอเมริกา แต่เนื่องจากว่ามันเป็นยีนส์ที่มาจากคนเอเชียตะวันออก เช่นเดียวกับกลุ่มคนชนพื้นเมืองอเมริกาอื่นๆ จึงแสดงว่านี่คือกลุ่มคนที่เป็น ‘รอยต่อ’ ระหว่างการกระจายของชนพื้นเมืองอเมริกาในทวีปอเมริกา และเป็นหลักฐานที่ชี้ว่ามีการอพยพเพียง 1 ระลอกจากเอเชีย ก่อนจะกระจายออกไปในทวีปอเมริกา
งานวิจัยชิ้นล่าสุดนี้ยังชี้ให้เห็นว่า คนเอเชียตะวันออกได้ย้ายมาอยู่อเมริกาประมาณ 36,000 ปีที่แล้ว โดยเคลื่อนย้ายมาเพียง 1 ระลอก ก็แพร่กระจายครอบคลุมไปทั่วทวีปอเมริกา


สิ่งที่น่าสนใจกว่าเรื่องจำนวนครั้งของการย้ายถิ่นฐานจากเอเชีย ก็คือเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองของโลก
หากวิทยาศาสตร์แขนงใหม่ทางจีโนมิกส์แสดงให้เห็นว่าคนชนพื้นเมืองอเมริกาคือ ‘คนเอเชีย’ และมียีนส์ที่มาจากคนเชื้อสายมองโกลอยด์ ผลกระทบจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของ ‘คนเอเชีย’ ไปกว่า 50 ล้านคนในทวีปอเมริกาโดยคนยุโรป จะมีผลต่อการมุมมองคนเอเชียและการเมืองระหว่างประเทศอย่างไร
สำหรับนักประวัติศาสตร์แล้ว การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนชนพื้นเมืองอเมริกานั้น ส่วนใหญ่มองว่าเกิดจากโรคระบาดฝีดาษ (Smallpox) ที่มาจากยุโรป
มีข้อสังเกตว่าการตายจากโรคฝีดาษคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2/3 ของการตายทั้งหมดของชาวเอเชียในอเมริกา แต่นักประวัติศาสตร์ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจำนวนการตายที่เกิดขึ้นจากการยึดครองของคนยุโรปนั้นมีจำนวนเท่าไร พวกเขาเพียงแต่รู้ว่า จำนวนคนชนพื้นเมืองอเมริกาที่หายไปนั้นมีประมาณ 20 – 50 ล้านคน
แต่การให้การของพระสเปนที่มากับทหารนั้นกลับชี้ให้เห็นถึงการฆ่าหมู่ไปพร้อมๆ กับการตายด้วยเชื้อโรค
มีการก่อเพลิงไฟเพื่อเผาชนพื้นเมืองอเมริกาทั้งเป็น รวมทั้งเด็กและผู้หญิงในอเมริกา มีการเอาเด็กทารกจำนวนมาก (ในภาพ) เหวี่ยงฟาดไปกับแท่นหินเพื่อให้กะโหลกศีรษะแตก


สิ่งที่นักวิชาการเห็นด้วยและตกลงกันได้ก็คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้แล้วยังเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อโรคฝีดาษโดยการตั้งใจ (Biological Weapons)
เมื่อครั้งคนยุโรปย้ายมาทวีปอเมริกาใหม่ๆ พวกเขานำเอาผ้าห่มที่ปนเปื้อนโรคฝีดาษไปให้ชนพื้นเมืองอเมริกาใช้ ทำให้เกิดการแพร่ระบาดและการตายจำนวนมาก หลังจากนั้นก็เป็นการง่ายต่อการเข้าโจมตีและจับกุมชนพื้นเมืองอเมริกาโดยกำลังทหาร

เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้ รัฐบาลยุโรปและสหรัฐอเมริกาทำท่าทีว่าจะขู่ที่ฟ้องร้องรัฐบาลจีนเพื่อเรียกค่าเสียหายจากโรคระบาด COVID-19
COVID-19 ทำให้คนเอเชียที่อาศัยและทำงานอยู่ทั่วโลกกลายเป็นจำเลยสังคมโดยปริยาย เป็นการเปิดประตูให้เห็นชัดว่า การเหยียดเชื้อชาติ (Race) โดยกลุ่มคนอนุรักษ์นิยมยุโรปและอเมริกายังคงอยู่ในเบื้องลึกของผู้คน ไม่ต่างจากสมัยการเข่นฆ่าชาวเอเชียในทวีปอเมริกาในสมัยก่อน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เรียกโรคระบาดนี้ว่า ‘โรคคนจีน’ (The Chinese Virus) เป็นผลให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมเหยียดผิว เริ่มโจมตีคนเอเชียตามเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก เท็กซัส ฯลฯ
นักวิทยาศาสตร์ชาวเอเชียหลายคนถูก FBI จับกุม เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับของจีน รวมกับกระแสต่อต้านจีนจาก COVID-19 ทำให้กรอบคิดของฝรั่งเปลี่ยนไป
ดร. เดวิด โฮ (David Ho) ผู้คิดค้นยารักษาโรคเอดส์รุ่นแรกๆ ยังต้องออกมาเตือนรัฐบาลว่า การโจมตีคนเอเชียไม่ใช่ผลดีต่อการวิจัยในสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้แล้วในอเมริกายังมีเหตุการณ์ใช้มีดไล่ฟันเด็กชาวเอเชียวัย 2 ขวบ และ 6 ขวบ มีการตะโกน “กลับไป ประเทศจีน ไป!” โดยกลุ่มฝรั่งที่เดินอยู่ตามถนน (แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนจีนก็ตาม)

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะนักการเมืองและนักประวัติศาสตร์ยังไม่ได้เข้าถึงงานวิจัยใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ด้านจีโนมิกส์
เพราะหากมองจากมุมมองใหม่ทางจีโนมิกส์แล้ว คนเอเชียต่างหากคือเจ้าของทวีปอเมริกาดั้งเดิม ไม่ใช่ฝรั่ง การตะโกนให้คนเอเชีย “กลับไป” จึงไม่ใช่สิ่งที่ตรงกับความเป็นจริงนัก
จากมุมมองของจีโนมิกส์แล้ว รัฐบาลจีนและรัฐบาลในกลุ่มประเทศเอเชียควรต้องฟ้องร้อง EU และสหรัฐอเมริกา เพื่อเรียกค่าเสียหายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และปล่อยโรคระบาดให้คนเอเชียในอเมริกาตายไปกว่า 50 ล้านคน
และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนพื้นเมืองอเมริกานั้นยังทำกันติดต่อกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1492 จนถึงศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมานี้เอง เป็นเรื่องที่ยังสรุปไม่ได้ว่าจะจบอย่างไร และใครจะต้องรับผิดชอบ
เราคงต้องรอดูกันต่อไปว่า กรอบคิดทางประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไร เมื่อวิทยาศาสตร์แขนงใหม่ได้นำเสนอการเชื่อมโยงระหว่างคนเอเชียและคนอเมริกันดั้งเดิม
ข้อมูลเพิ่มเติม
www.the-scientist.com/daily-news/all-native-americans-descended-from-one-ancestral-population-30457
en.wikipedia.org/wiki/Genetic_history_of_indigenous_peoples_of_the_Americas#cite_note-Zegura-11