เซอร์ไพรส์เล็กน้อย คือความรู้สึกแรกของเราตอนได้เจอสมาชิกทั้ง 5 คนของ ‘MXFRUIT’
เพราะก่อนพบกัน ภาพในหัวของเราคือการได้คุยกับกลุ่มเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความสดใสที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะและฝันใหญ่ เหมือนในภาพที่เราเห็นใน strawberry ice cream เอ็มวีตัวแรกของวง
เซอร์ไพรส์ตรงไหน ก็ตรงที่นอกจากความสดใสแล้ว บทสนทนาของเราผสมรวมทั้งความจริงจัง จริงใจ มีน้ำตามาเป็นของแถมอีกเล็กน้อย
เกิร์ลกรุ๊ปทุกวงมีเอกลักษณ์ของตัวเอง และหากจะให้นิยามว่า MXFRUIT เป็นเกิร์ลกรุ๊ปแบบไหน คำว่า CAMP ที่แปลว่าการเป็นตัวของตัวเอง นอกกรอบ และแตกต่าง คงจะตรงตัวที่สุด เพราะสมาชิกทั้ง 5 คนอย่าง มิเคลล่า โอลีเวีย เบเกอร์, อปป้าเพชร-แพรวา รัตนา, สกาวเดือน ไซม่อน, ขนมจีน-ญาทิชาพัฒน์ หาญเบญจพงศ์ และ โรเชล ลาเบรซ ล้วนทำให้เรารู้สึกว่าพวกเธอเป็นเช่นนั้น
แปลกดีที่ในความต่าง เมื่อมาอยู่รวมกันกลับลงตัวที่สุด ยิ่งพอได้รู้จักมากขึ้นในบทสนทนานี้ พวกเธอได้กลายเป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่ทำให้เราอยากดู อยากฟัง อยากติดตามพวกเธอมากขึ้น ไม่ต่างจากชามผลไม้รวมที่เริ่มกินแล้วหยุดไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็หมดชาม

Didn’t know all along I was waiting for you
ย้อนกลับไปจุดแรกเริ่ม อะไรทำให้ค่ายเลือกให้พวกคุณทั้ง 5 คนมาทำวงด้วยกัน
ขนมจีน : นั่นน่ะสิ (ทุกคนหัวเราะ)
มิเคลล่า : เราทุกคนชอบร้องเพลง บางคนอยากเป็นศิลปินอยู่แล้ว จึงเข้าค่ายมาเพราะอยากเป็นศิลปินเดี่ยว พวกเรามาอยู่รวมกันในโปรเจกต์ ‘นาดาวอะคาเดมี่’ ที่ฝึกให้เป็นนักร้องและนักแสดง ได้เรียนด้วยกันในคลาสเวิร์กช็อปต่าง ๆ ใช้เวลาอยู่ด้วยกันหมดเลย เสร็จแล้วก็ไปกินข้าวกัน แล้วทางค่ายคงเห็นว่าเวลาเราอยู่ด้วยกัน ไอ้เด็กพวกนี้เสียงดังดีเนอะ เข้าขากันดี
ขนมจีน : ด้วยความที่มีผู้หญิงแค่ 5 คนในค่าย เวลาประชุมกันเราก็จะนั่งเรียงกัน พี่ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ เห็นเคมีอะไรบางอย่างเวลาเราคุยกัน เล่นกัน เขาก็บอกว่า 5 คนนี้มาทำเกิร์ลกรุ๊ปน่าจะเป็นเคมีที่แปลกใหม่ดีสำหรับวงการ T-POP
โมเมนต์ที่เขาบอกเราว่าจะฟอร์มเกิร์ลกรุ๊ป ตอนนั้นรู้สึกยังไง
อปป้าเพชร : จำโรเชลได้เลยอะ (สวมบทเป็นโรเชลแล้วถามเสียงดังว่า) มันจะดีเหรอ
โรเชล : ไม่ ๆ (หัวเราะ) เพราะเชลเห็นว่าทุกคนมันต่างกันมากไง ก็เลยงงว่าถ้ามาอยู่ด้วยกัน สไตล์มันจะออกมายังไง แค่นึกภาพไม่ออก แล้วตอนนั้น ในโครงการเขาจัดโชว์เคสให้เราฝึกซ้อม ฝึกโชว์เกือบทุกเดือน เพื่อพัฒนาการของเรา แล้วจู่ ๆ ในที่ประชุมพี่ย้งก็พูดว่า ลองมาทำโชว์เคสกลุ่มอันหนึ่ง หลังจากนั้นคือยาว
จุดร่วมที่พวกคุณทั้ง 5 คนมีเหมือนกันคืออะไร
ขนมจีน : ความเป็นตัวของตัวเองมั้งคะ มันไม่มีใครที่คาแรกเตอร์ซ้ำกัน เหมือนแต่ละคนเป็นตัวเองแต่อยู่ร่วมกันได้ เบลนด์กันได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไรขนาดนั้น ไม่ได้พยายามหรือฝืนให้มันดูกลมกลืน พอมาอยู่รวมกันมันก็มีเคมีที่ลงตัว


ได้เรียนรู้อะไรจากความแตกต่างหลากหลายของเพื่อนบ้าง
มิเคลล่า : เราเรียนรู้ที่จะชื่นชมความต่างของคนอื่นได้มากขึ้น จริง ๆ เราก็เป็นคน Appreciate ความแตกต่างและความหลากหลายของสังคมอยู่แล้ว แต่พอต้องมาทำงานเป็นกลุ่มเรายิ่งชื่นชมได้มากขึ้น เช่น เรื่องการร้องหรือแนวเพลงที่ชอบ อย่างสกาวเดือนกับโรเชลจะมีสไตล์การร้องคนละแบบ และขนมจีนกับเพชรก็จะชอบเพลงคนละสไตล์ ทุกคนเป็นแรงบันดาลใจของเราในการออกจาก Comfort Zone และพัฒนาตัวเอง
ขนมจีน : ความแตกต่างมันทำให้เราต้องประนีประนอมกันมากขึ้นด้วย เพราะในการทำงาน แต่ละคนก็จะมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน เพราะเราโตกันมาคนละแบบ ทั้งการแสดงออกและคำพูดบางอย่างก็ไม่เหมือนกัน แต่หนูรู้สึกว่าสิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจแบบเข้าใจจริง ๆ ว่าเพื่อนเป็นยังไง ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันให้มากขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่าเวลาเกิดความขัดแย้ง เราควรจะวางใจไว้ตรงไหน เรายึดอัตตาหรือความคิดเราเป็นหลักไม่ได้
มิเคลล่า : ใช่ เราต้องลดอีโก้ลงมาและเรียนรู้ที่จะเชื่อใจคนอื่นด้วย
ขนมจีน : มันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องบาลานซ์ระหว่างตัวตนของเรากับงานกลุ่มด้วย ถามว่าตัวตนเราก็ต้องมี แต่ว่ามันต้องลดนิดหนึ่งเพื่อให้ภาพรวมออกมาดูดีที่สุด ในขณะเดียวกัน ข้างในต้องไม่ฝืนใจเราเอง (ทุกคนปรบมือ)
เคยทะเลาะกันไหม
อปป้าเพชร : เคยค่า (ตอบเร็ว)

เรื่องอะไร
โรเชล : เห็นไม่ตรงกัน ทะเลาะแบบจุกจิก ๆ
มิเคลล่า : แต่พวกเราจะคุยกันตั้งแต่แรก ๆ แล้วว่างานก็คืองาน อย่าเก็บไปคิดส่วนตัว เวลาเป็นเรื่องงาน ทุกคนก็จะพูดกันตรง ๆ สมมติว่าเราเสนอเพลงกันเพื่อร้องในโชว์เคส เราอยากร้องเพลงนี้กับเพื่อน แต่เพื่อนอาจจะชอบอีกเพลงหนึ่ง มันไม่ใช่การทะเลาะ แต่เป็นการระดมสมอง (Brainstorming) เพื่อถกเถียง (Discuss) กันมากกว่า เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคนก็อยากให้มันออกมาดีที่สุด

ถ้าเป็นอย่างนั้นใครเป็นคนฟันธง
มิเคลล่า : มันต้องทุกคนโอเค เพราะคนหนึ่งจะมาเลือกตัดสินใจแค่คนเดียวไม่ได้ เพราะมันคือกลุ่ม
สกาวเดือน : ใช่ เพราะถ้า 4 คนโอเคแล้วคนหนึ่งไม่สะดวกใจ (Comfortable) มันก็ยังไม่ได้
We’re one in the same, gets better everyday
รู้มาว่าค่ายให้อิสระ สอนให้คุณคิดเองทำเอง ลงมือในทุกกระบวนการ สำหรับคุณ ขั้นตอนไหนถือว่ายากที่สุด
มิเคลล่า : ช่วงยากที่สุดคือช่วงที่เราไม่รู้ว่าแต่ละคนเป็นคนยังไง ซึ่งมันผ่านมาแล้ว เพราะเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันรวม ๆ ก็ 3 ปี เหมือนเราซึมซับความเป็นกันและกันไปเอง พอมาทำเพลงด้วยกันเลยคุยกันง่าย เพราะเรารู้ว่าทุกคนเป็นยังไง การแบ่งท่อนในเพลงก็ไม่ยาก
โรเชล : กลายเป็นง่ายเลย เช่น เรารู้ว่า เชลชอบท่อนนี้ แต่ขนมจีนไม่เอา หรือเชลไม่ชอบท่อนนี้ ขนมจีนชอบ มันไม่ต้องแย่งกัน ทุกคนรู้ว่าชอบแนวไหน
มิเคลล่า : เพราะทุกคนพร้อมที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดหรือต้องการ มันเลยไม่ได้มีอะไรที่ไม่ได้พูดหรือเก็บไว้ อาจจะมีแต่มันก็ตกลงกันได้
การที่ทุกคนพูดอย่างที่คิดได้ มันดียังไง
ขนมจีน : มันไม่เหมือนหุ่นยนต์ที่เขายัดอะไรมาแล้วทำตาม เรายังรู้สึกว่าได้เป็นตัวเอง ไม่ได้รู้สึกอึดอัด กดดันว่าฉันต้องเป็นคนแบบนี้ ตามค่านิยมที่เขาวางไว้ให้ รู้สึกว่าก็ต้องเป็นตัวเองได้ถ้าไม่ได้ผิดมาก ผิดกาลเทศะหรือมารยาท มันอิสระและยังรู้สึกว่าภูมิใจกับงานตัวเองได้ เพราะรู้สึกว่ามันยังเป็นงานเรา
หลายคนบอกว่าเด็กสาวยุคนี้จะมีความเป็นตัวของตัวเองมาก เป็นคนนอกกรอบ แต่พอต้องมาทำงานเป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่อยู่ในกฎระเบียบบริษัท คุณรู้สึกยังไง
โรเชล : เชลคิดว่าเป็นเรื่องปกติ บางอย่างเราก็ต้องประนีประนอมและปรับบาลานซ์ให้ได้ ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเพราะเราไม่ได้ทำงานอยู่คนเดียว ถึงเราเป็นนักร้องเดี่ยวเราก็ยังได้ทำงานกับหลายคน มีผู้จัดการ ผู้กำกับ มีหลายมุมที่ทำงานร่วมกันอยู่ดี
มิเคลล่า : เราเป็นเด็กนอกกรอบก็จริง เป็นตัวของตัวเองก็จริง แต่เราทิ้งกาลเทศะและการวางตัวที่เหมาะสมไม่ได้ มันเป็นมารยาททางสังคม ซึ่งเรื่องกฎระเบียบของบริษัทมันเป็นสิ่งที่ Make Sense อยู่แล้ว เราไม่ได้รู้สึกว่ามันรัดเราขนาดนั้น เช่นเรื่องมีแฟน เขาไม่ได้ห้าม แต่แค่วางตัวให้เหมาะสม หนูว่ามันก็ปกติ ห้ามไปก็ไม่มี้ (เน้นเสียง)
ขนมจีน : ส่วนตัวหนูรู้สึกว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะเคารพและให้เกียรติผู้ที่เราทำงานด้วย เราเคารพเขาในฐานะคนทำงาน เคารพงานของเขา เคารพซึ่งกันและกันมันถึงจะอยู่กันได้
มิเคลล่า : เพราะการที่เขาให้อิสระเรามันคือการให้เกียรติเราระดับหนึ่งแล้ว
สกาวเดือน : เห็นด้วย บางครั้งเราก็มีความเป็นเด็ก ซนแล้ว บางทีหลุดบ้างแต่พี่ ๆ ก็คอยบอก สุดท้ายมันก็คือเรื่องกาลเทศะ

Let me know if you’re feeling it
‘Cause lately I’ve been feeling like…
เราไม่ค่อยได้เห็นเกิร์ลกรุ๊ปไทยร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษเท่าไร อะไรทำให้ค่ายและคุณเลือกเดินทางนี้ในซิงเกิลแรก
โรเชล : จริง ๆ strawberry ice cream อยู่ในเพลย์ลิสต์ Library ของ Universal Music Thailand เนื้อเป็นแบบนี้อยู่แล้ว แล้วเราก็เห็นว่าเนื้อเพลงมันเข้าเมโลดี้ของเรา ที่สำคัญคือเข้าปากทุกคน เลยถ้ามันดีอยู่แล้วก็เก็บไว้แบบนี้เลย If this is the best version, Let’s stick with it.
มิเคลล่า : จริง ๆ แล้วภาษาไทยสวยมาก ร้องแล้วสวย แต่บางทีมันต้องดูตามเมโลดี้ที่ได้รับมาด้วย ความเข้าปากแต่ละคน เราลองกันอยู่สักพัก แต่รู้สึกว่ามันต้องภาษาอังกฤษแหละที่จะเวิร์กที่สุด
พอเป็นเนื้อภาษาอังกฤษ เรากังวลไหมว่าคนฟังเพลงไทยจะมีกำแพง
มิเคลล่า : จริง ๆ มันก็มีล่ะค่ะ เราอยู่ในประเทศไทย ทำงานในอุตสาหกรรมของไทย มันคือ T-POP น่ะ เราก็อยากร้องเพลงไทยอยู่แล้ว
แต่พอมานั่งร้องกัน strawberry ice cream เป็นภาษาอังกฤษก็จริง แต่เป็นเพลงที่ภาษาค่อนข้างเรียบง่าย คนฟังเขาก็มีความสุขกับดนตรี ทำนอง เมโลดี้ก็ได้ เพลงมันไม่จำเป็นต้องเข้าใจเนื้อเพลงขนาดนั้นก็ได้ คนแค่ฟังแล้วบีตเพราะ แล้วโยกตาม แค่นี้เราก็ดีใจมาก ๆ แล้ว
ขนมจีน : เพลงมันไม่ได้จำกัดด้วยภาษา ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าต้องเอาภาษามาเป็นตัวครอบว่ามันต้องภาษาไหน เพราะบางทีเราฟังเพลงต่างชาติ เพลงเกาหลี เราก็เอนจอยทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้ว่าเขาร้องอะไร แต่เราก็สนุกไปกับเพลง

เกิร์ลกรุ๊ปแต่ละวงย่อมมีเอกลักษณ์ต่างกัน แล้วเอกลักษณ์ของ MXFRUIT คืออะไร
ขนมจีน : ความออกนอกกรอบอะไรบางอย่าง รู้สึกว่าเรา 5 คนเป็นเด็กที่กล้าเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกว่าอยากให้ทุกคนที่เห็นและฟังเขาได้แรงบันดาลใจ อยากทำให้เขารู้สึกว่าอยากเป็นอะไรก็เป็น อยากให้เขามีความมั่นใจในตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็น ไม่ต้องสนค่านิยมว่าคนนั้นคนนี้จะมองยังไง แต่ก็ต้องอยู่ในกาลเทศะและระเบียบ
มิเคลล่า : อยากให้เห็นเราแล้ว Appreciate ตัวเองมากขึ้น และรู้สึกว่าถ้า MXFRUIT ทำได้ ทำไมเขาจะทำไม่ได้
ขนมจีน : อยากให้เขาแฮปปี้กับตัวเองมากกว่าที่จะเปลี่ยนตัวเองเพื่อสังคมหรือใคร ถ้ามันไม่ได้ผิดมหันต์ขนาดที่เพื่อนไม่คบ ไม่ได้เดือดร้อนใคร หนูก็อยากให้เขาภูมิใจ
มิเคลล่า : หนูรู้สึกว่าแต่ละคนใน MXFRUIT มีสิ่งที่คนอื่นในสังคมเชื่อมโยงด้วยได้ค่อนข้างกว้าง อย่างตอนที่ปล่อย strawberry ice cream ออกไปได้ไม่นาน มีเด็กที่ผมหยิกเหมือนหนู เขาทักมาบอกว่า เห็นพี่แล้วอยากไว้ผมหยิกเหมือนกัน การที่เขาเห็นว่าเราชอบผมของตัวเอง มันทำให้เขาอยากกลับมาไว้ผมหยิกอีก แล้วก็รู้สึกชอบผมตัวเองมากขึ้น
พอมีคนมาบอกเราอย่างนี้ รู้สึกยังไง
มิเคลล่า : หนูค่อนข้างตกใจ เพราะตอนแรกหนูก็เห็นว่าเขาทักมา พี่คะ หนูก็แบบ เอาแล้วววว แอบกลัว เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ปล่อยเพลงได้ประมาณ 2 อาทิตย์เอง แต่พอเรากลับมาดูเขาพิมพ์มาค่อนข้างยาวเกี่ยวกับเรื่องผม เขาบอกผมหยิกสวยจังเลย หนูยืดผมมาตลอดแต่ไม่รู้ว่าต้องดูแลยังไง หนูเห็นพี่แล้วอยากเป็นตัวเองมากขึ้น หนูยืดผมก็เป็นตัวเองแต่รู้สึกเหมือนฝืน ๆ อยู่ อีกนิดหนึ่งหนูจะเป็นตัวเองเต็มที่แล้ว แต่มันมีสิ่งนี้กักเขาอยู่
พออาทิตย์ที่แล้ว เขาทักมาอีกรอบว่า พี่คะ หนูไว้ผมหยิกไปโรงเรียนแล้วนะ เพื่อนชอบมากเลย ครูก็ชม พอเขาพิมพ์มาอัปเดตแบบนี้ หนูก็รู้สึกว่า อ๋อ มันเปลี่ยนชีวิตเขาได้ไม่มากก็น้อย ให้เขารู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง
I finally found my happy ever after
ในฐานะเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง การได้ส่งต่อเมสเซจว่าการเป็นตัวเองดีแล้ว สิ่งนี้สำคัญกับคุณยังไง
สกาวเดือน : หนูคิดว่าทุกคนจะมีช่วงชีวิตหนึ่งที่คนเราเสียความเป็นตัวเอง จากคำพูด การเลี้ยงดู สังคม ก็เลยคิดว่าการได้เป็นตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร
โรเชล : ทั้งชีวิตเราอยู่กับตัวเอง เราก็อยากบำรุงสุขภาพและวิธีคิดของเราให้ดีที่สุด จะได้ส่งต่อให้คนอื่นได้ ประโยค If you can’t love yourself, How the hell you’re gonna love somebody else? ที่ Rupaul พูดในรายการ Rupaul’s Drag Race มันจริงมากเลยนะ
เมื่อก่อน เชลเป็นคนที่เอาใจคนอื่น แล้วมันเปลี่ยนตัวเองไปเยอะมาก ตอนเราอยู่คนเดียว เราก็คิดว่าเราให้เขาไปเยอะมาก แล้วรู้สึกหมดพลังมาก ๆ จนเราต้องกลับมาดูแลใจเราเอง พอคิดได้อย่างนี้ การมองโลกของตัวเองมันจะเปลี่ยนไปเลย

เปลี่ยนไปยังไง
โรเชล : มันไม่ได้เห็นแก่ตัวที่จะให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนคนอื่น เพราะว่าถ้าเราอยาก Be there for the people เราต้องอยู่กับตัวเอง รักตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อน
มิเคลล่า : จริง ๆ ในโลกนี้มันไม่มีอะไรผิดหรือถูก มนุษย์คือคนที่พูดเองว่าสิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ถูก เป็นจินตนาการล้วน ๆ ไม่ใช่ความจริง (โรเชล : You create your own reality.) หนูรู้สึกว่าการที่มี Stereotype แบบหนึ่งที่เขาบอกว่าอันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุด นั่นมาจากปากของคนคนหนึ่ง มันไม่ได้มีแค่สิ่งนั้นสิ่งเดียว แล้วถ้าจะเราจะฉีกทางนั้น ใครจะมาบอกว่ามันผิด นั่นก็แค่คำพูดของคนอื่น แต่ตัวเราอยู่กับตัวเองมากที่สุด นานที่สุด อยู่มาตั้งแต่เกิดจนถึงวินาทีสุดท้าย เพราะฉะนั้น ถ้ามัวแต่สนใจคำพูดของคนอื่น เราจะอยู่กับตัวเองแบบไม่มีความสุขแน่นอน
โรเชล : เราจะไม่ได้พัฒนาความคิดของตัวเองด้วย จะตามกรอบมาตลอด และตอนสุดท้ายเราก็จะถามตัวเองว่าเราเป็นใคร เราชอบอะไร ซึ่งสำหรับเชลมันใช้เวลาระยะหนึ่งเลยที่จะเจอคำตอบนั้น ก็ยังค้นหาตัวเองไปเรื่อย ๆ เพราะชีวิตเราเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เราโตขึ้น เรียนรู้หลายอย่าง การมองโลกก็เปลี่ยนไป
คุณก็เหมือนเด็กสาวหลายคนที่จะรู้สึกเปราะบางกับตัวเองเป็นธรรมดา
ขนมจีน : ทุกคนต้องผ่านเรื่องนี้มาอยู่แล้วค่ะ ย้อนกลับไปที่คำถามว่าการได้ส่งต่อเมสเซจเป็นตัวเองดีที่สุดมันสำคัญยังไง หนูรู้สึกว่ามันเป็นแรงขับเคลื่อนในการทำงานให้เราด้วย เพราะบางวันเราก็รู้สึกไม่อยากทำ หมดไฟ เช่นตอนเทรน เราก็มีช่วงที่ท้อ แต่พอเป้าหมาย (Goal) ของเรามันไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองขนาดนั้น แต่เราทำเพื่อคนอื่น เราอยาก Empower คนอื่น หรืออย่างน้อยช่วยให้เขามีความสุขได้สักวันหนึ่ง เราก็รู้สึกว่าเรามีค่าแล้ว
หนูรู้สึกว่าอาชีพศิลปินตรงนี้พิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เราได้ให้ และเรารู้สึกว่าการเกิดมาของเรามีคุณค่าที่จะได้บรรเทาความทุกข์ของคน ทำให้เขารู้สึกว่าเสียงของเขามีคนฟัง อย่างเคสน้องที่ทักพี่มิเคลล่ามา นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าการทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกภูมิใจ มีค่า มันดีที่เราทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเอง

เท่าที่ฟังแต่ละคนดูเข้าใจชีวิต มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มาก อะไรทำให้เราคิดได้แบบนี้
มิเคลล่า : หนูเป็นคนต่างชาติ ย้ายมาไทยตอนอายุ 6 ขวบ การที่มีสีผิว มีผมแบบหนู เป็นสิ่งที่คนไทยเห็นแล้วถามว่า อะไรอะ แปลก มันยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในยุคนั้น หนูมากับพ่อที่เป็นฝรั่งผิวขาว แม่เสียไปตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วแม่เป็นคนผิวดำ หนูก็ได้สีผิวจากแม่มา เวลาหนูไปไหนจะโดนคำว่า ลูกใคร บ่อยมาก เมื่อก่อนพ่อแม่หนูก็ไม่อยากให้ยืดผมอยู่แล้ว แต่พอไปโรงเรียนหัวฟู ๆ ก็โดนคนอื่นยัดของใส่ผมบ้าง เอายางลบก้นดินสอมาดีดใส่ผมบ้าง จนหนูไม่อยากไปโรงเรียน มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนหนูชิน
หนูเพิ่งมาคิดได้ทีหลังว่าจริง ๆ เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะต้องชินหรือทน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนั้นยังคิดไม่ได้หรอก หนูก็ยืดผมแล้วทำใจให้ชินมาตลอด
สกาวเดือน : จริง ๆ คำตอบโยงกลับไปยังคำถามก่อนหน้านี้ที่พูดเรื่องการอยู่วงเดียวกัน การมาอยู่กับ MXFRUIT ไม่ใช่แค่ทำให้หนูเรียนรู้เรื่องเพื่อนเท่านั้น แต่ได้เรียนรู้ตัวเองด้วย หนูเป็นเด็กพัทยา เป็นเด็กธรรมดาที่ชีวิตไม่ค่อยมีอะไร พอย้ายมากรุงเทพฯ ก็เปิดโลก ได้เห็นความต่าง ซึ่งหนูก็ซึมซับและเรียนรู้ว่าในความแตกต่าง เราจะอยู่กับคนอื่นยังไง
ขนมจีน : ที่บ้านหนูคนเยอะมาก หนูเป็นเด็กที่ชอบมองผู้ใหญ่ทำงาน ชอบสังเกต ชอบฟัง หนูจะเป็นคนแมน ๆ เพราะมีพี่ชาย 3 คน หนูจึงเป็นคนเล็กที่แสบที่สุด พี่ก็จะรำคาญ ไม่ค่อยให้เล่นด้วย พอโตมาสักพักหนึ่งก็มีจุดที่เกเร เป็นเด็กนิสัยไม่ดีเลย แต่โชคดีมีอาจารย์สอนดนตรีคนหนึ่งพาเข้าวัด หลังจากนั้นก็คืออินกับธรรมะ จากเด็กที่กรี๊ดเวลาไม่ได้อะไรก็เริ่มเข้าใจและปล่อยวางมากขึ้น สมมติวันนี้โกรธหรือเกลียดใครก็แค่คิดว่าถ้าพรุ่งนี้ตาย จะเอาเขามาคิดมากไหม มันทำให้เรารู้ทันอารมณ์และความคิดของเราได้เร็วขึ้นว่าเราควรเอาใจไปไว้ตรงไหน อยู่กับปัจจุบัน
อปป้าเพชร : ตอนเด็ก ๆ หนูสนิทกับเพื่อนผู้ชาย แต่งตัวจัด แล้วอยู่โรงเรียนวัด เพื่อนผู้หญิงหรือรุ่นพี่จะตัดสินหนูเยอะมากว่าแรด อาจารย์ก็ด่า แต่ก่อนก็เครียดมาก แต่แม่หนูบอกว่าไม่ต้องไปคิดอะไรมาก หนูไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่ต้องเก็บมาคิด แล้วก็ได้พ่อที่เขาพาเข้าหาธรรมะเหมือนขนมจีนเลย มันทำให้หนูรู้ว่าทำอะไรอยู่ ใครจะคิดหรือทำไม่ดีกับเราก็เรื่องของเขา
มิเคลล่า : หนูว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนที่มั่นใจในตัวเองและมีความคิดของตัวเอง ที่จะโดนอะไรแบบนี้ ซึ่งหนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น
ขนมจีน : เราเหมือนเด็กนอกคอกที่ไม่เข้ากับกรอบของสังคม ไม่ใช่เด็กเรียน แต่เหมือนเด็กกิจกรรมที่ออกมาทำอะไรที่เด็กคนอื่นไม่ได้สนใจ
โรเชล : สำหรับเชล มันมาจากหลายอย่าง เชลเป็นลูกคนเดียวและมีความอิสระสูง ช่วงตอนเรียน Middle School เชลเป็นคนไม่กล้าทำอะไรเลย ครูก็จะบอกว่า Why don’t you join the basketball team or football team? แต่หนูไม่เอากีฬาเลย ไม่กล้า เชลเป็นคนที่ขี้อายเพราะกลัวโดนล้อ จนเหมือนหนูกักตัวเองไว้ตลอด จนโตขึ้นมาแล้วเห็นว่าเฮ้ย Why not? ลองทำไปเลยสิ ตอนที่กักตัวมันไม่ได้ทำอะไร เชลก็ดูยูทูบ ติ๊กต็อก แล้วลองออกกำลังกายตาม หลังจากนั้นก็เป็นการเดินทาง (Journey) ที่ดีมาก มันช่วยให้เรากล้าลองสิ่งใหม่ ๆ


พวกคุณใช้เวลาด้วยกันก่อนเดบิวต์มา 3 ปี รู้สึกว่าการเป็นศิลปินดึงเวลาช่วงวัยรุ่นของเราไปไหม
สกาวเดือน : จริง ๆ เราก็ใช้ชีวิตวัยรุ่นอยู่ แค่เป็นในแบบของพวกเรา
โรเชล : เป็นวัยรุ่นทำงานค่ะ วัยรุ่นสร้างตัว (ทุกคนหัวเราะ ปรบมือ) สำหรับเชล จริง ๆ ก่อนหน้านี้เราเทรน ยังมีเวลาออกไปหาเพื่อน Have Fun ได้ แล้วเชลเป็นคนติดเพื่อน เลยมีเวลาบาลานซ์ทั้ง 2 อย่างได้ เชลเลยคิดว่าเรายังได้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นอยู่
ขนมจีน : ส่วนของหนู หนูเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 14 – 15 แล้ว เล่นดนตรีประจำในร้านอาหารกับพี่ ๆ ผู้ใหญ่ หนูได้คุยกับเขาเยอะ จนรู้สึกว่าบางช่วงหนูเป็นผู้ใหญ่เลย เหมือนหนูไม่เคยนับตัวเองว่าเป็นเด็ก
เพราะแม่หนูก็จะพูดตลอดว่าเหมือนหนูเป็นเด็กที่ความคิดความอ่านเกินวัย ทำไมไม่เป็นแบบที่วัยรุ่นเป็น หนูจึงต้องมีเวลาบางช่วงที่ต้องไม่คิดอะไรเลย เอาตัวเองออกไปจากกิจวัตรที่เคยทำ ไปต่างจังหวัด ไปเที่ยวให้เหมาะกับวัย เพราะเราไม่อยากโตขึ้นไปแล้วมองย้อนกลับมาว่าทำไมเราต้องโตขนาดนั้น ไม่อยากแก่ไปแล้วย้อนกลับมามองว่าเธอเครียดอะไรขนาดนั้น
มิเคลล่า : หนูเพิ่งรู้สึกว่าช่วงนี้แหละคือช่วงที่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นจริง ๆ ได้ตามใจตัวเอง ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
ตั้งแต่เด็ก หนูรู้สึกว่าหลาย ๆ อย่างทำให้หนูต้องโตกว่าอายุ เพราะหนูมีน้องชายต่างแม่คนหนึ่ง แล้วมันมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้หนูต้องดูแลน้องกับพ่อ หนูจึงกลายเป็นพี่สาวคนโต เป็น Mother Figure เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง หนูดูแลน้องมาตลอด แล้วเพิ่งรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตของตัวเองจริง ๆ ตอนขึ้นมหาลัย และได้กลับมาโฟกัสกับตัวเองบ้างตอนปล่อยเพลงนี่แหละ (ยิ้ม)
โรเชล : #วัยรุ่นก็ท้อเป็น

I got a taste now I never wanna stop
ต่อจากนี้ มองอนาคตของ MXFRUIT ไว้ยังไง
มิเคลล่า : (หัวเราะ) ไม่อยากคาดหวังเยอะ แค่รู้สึกว่าอะไรจะเกิดมันก็เกิดได้หมด
ขนมจีน : แต่รู้สึกว่าสนุก สะเด็ดสะเด่าแน่ ๆ
มีเป้าหมายร่วมกันไหม เช่น อยากไปเป็นศิลปินระดับโลก
โรเชล : เชลคิดว่าทุกคนก็คิดแบบนั้นนะ อยากไประดับโลกได้
ขนมจีน : แค่รู้สึกว่าโอเค เราทุกคนก็คงอยากไปถึงจุดนั้นจริง ๆ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คิดขนาดนั้น เป้าหมายตอนนี้คืออยากปล่อยเพลงใหม่แล้ว
สปอยล์เพลงใหม่ให้ฟังหน่อย
โรเชล : ทำไมไม่รู้ (what do i do) เป็นเพลงเศร้า เป็นมุมมองแบบใจสลาย (Heartbreak) ของแต่ละคน ในเอ็มวีของเรา แต่ละคนก็จะมีซีนแยก เศร้าไม่เหมือนกัน แต่คนละเรื่องเดียวกัน ของเชลเกี่ยวกับแฟนเก่า อยากได้เขากลับมาแต่เขามูฟออนไปแล้ว
สกาวเดือน : หนูจะเป็นความเศร้าแบบคิดถึงเพื่อน อยากปลอบเพื่อนแต่ไปหาไม่ได้
มิเคลล่า : สตอรี่ของหนูคือ #สู้ชีวิต เราเจอกับเหตุการณ์แฟนนอกใจแต่ก็ต้องทำงานต่อ
ขนมจีน : ส่วนของหนูเป็นเฟรนด์โซน ชอบเขาแต่เขาไม่ชอบ
อปป้าเพชร : ของหนูเกี่ยวกับคนคุย เหมือนเราคุยกับเขามานานมากนับปี คิดว่าเขาลืมแฟนเก่าไปแล้ว แต่เขากลับมาบอกว่ายังลืมไม่ได้


การได้เป็นสมาชิกของ MXFRUIT เติมเต็มตัวคุณยังไงบ้าง
อปป้าเพชร : การได้อยู่กับ MXFRUIT ทำให้หนูโตขึ้น เติมเต็มชีวิตทุกอย่างเลย ที่ผ่านมาหนูไม่ค่อยมีเพื่อน แต่มาอยู่วงนี้แล้วหนูได้เพื่อนเพิ่มและเป็นตัวเองได้เต็มที่ พูดได้ว่า 4 คนนี้คือเพื่อนหนูเลย เป็นเพื่อนที่คุยกันได้ตลอดทุกเรื่อง
ขนมจีน : การมาอยู่ MXFRUIT เหมือนได้กะเทาะกำแพงบางอย่างออก ซึ่งตอนเป็นศิลปินเดี่ยว หนูยังมีกำแพงนั้นอยู่ เหมือนทุกคนต้องข้ามเข้ามาในกำแพงหนูเพื่อมาดูหนูร้องเพลง แต่พอได้โชว์เคส ทำงานกลุ่มเรื่อย ๆ มันเหมือนเราค่อย ๆ กะเทาะบุคลิกภาพ (Personality) บางอย่างให้เป็นอิสระมากขึ้น เอนจอยมากขึ้นในการทำโชว์
โรเชล : เห็นด้วย เพราะเชลเป็นลูกคนเดียว คุณพ่อคุณแม่ก็ตามใจ ตอนอยู่โรงเรียนเชลก็ชอบทำงานคนเดียวมากกว่า แต่พอได้มาทำงานเป็นกลุ่ม เชลเรียนรู้ที่จะ Break that Wall (ทำลายกำแพง) พยายามเห็นมุมมองของคนอื่น ไม่ใช่แค่ของตัวเอง เพราะ Who knows? ใครจะรู้ว่าความคิดเห็นของคนอื่นอาจทำให้เราเรียนรู้ว่าสิ่งใหม่ ๆ ก็ดี
สกาวเดือน : หนูเหมือนขนมจีน คือมาอยู่วงแล้วคิดน้อยลง แต่ก่อนหนูขี้อาย บางทีเราเขิน คิดเยอะ แม้แต่ยืนก็ยังเกร็ง แต่พอมี 5 คนแล้วมันมีเพื่อน และด้วยความที่อยู่กันมา 3 ปี เราก็คุ้นเคยกัน เพราะเราสบายใจกับเขา เรากล้าพูดกล้าทำมากขึ้น
มิเคลล่า : หนูรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ จริง ๆ หนูจะเดินทางคนเดียวก็ได้ แต่ตอนนี้หนูมีเพื่อนด้วย ไม่ต้องบินเดี่ยว แต่บินไปด้วยกัน หนูมีน้องสาวเพิ่มมาตั้ง 4 คน (น้ำตาคลอ)
อย่างที่หนูบอกว่าการเลี้ยงน้องมาตั้งแต่เด็กทำให้หนูต้องโตเร็วกว่าคนอื่น แล้วช่วงนี้คือช่วงที่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่น ถึงอย่างนั้น เนื้อแท้ของหนูก็ยังชินกับการเป็นพี่สาว มันอดที่จะเป็นห่วงและเอ็นดูไม่ได้ ตอนหนูเลี้ยงน้องชาย น้องชายยังเล็กมาก เขายังไม่ได้โตพอที่จะใส่ใจจะถามเราว่า พี่มิคเป็นไงบ้าง (น้ำตาไหล)
แต่พอมาอยู่กับ MXFRUIT หนูเป็นห่วงน้องอีก 4 คนเหมือนเดิม แต่มันไม่ใช่เราฝ่ายเดียวแล้วไงที่ห่วง บางทีน้อง ๆ ถามเราบ้างว่า พี่มิคเป็นไงบ้าง ทำให้หนูรู้สึกว่ามันมีคนเป็นห่วงเรา แคร์เราด้วยนะ ในโลกนี้เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว มันก็ยิ่งทำให้เราดีใจและภูมิใจที่ได้อยู่ตรงนี้
ทุกคน : (ปรบมือ)
