การออกทริปมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านหลายประเทศ นอกจากจะได้พบเห็นสภาพภูมิประเทศและบรรยากาศใหม่ๆ แล้ว หลายครั้งก็มีโอกาสได้สัมผัสและเข้าร่วมประเพณีประจำท้องถิ่นแบบไม่ทันตั้งตัว หนึ่งในนั้นคือตอนที่เดินทางเข้าสู่เมืองลาปาซ (La Paz) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศเม็กซิโก และบังเอิญตรงกับช่วงที่ชาวเม็กซิโกกำลังเตรียมตัวเฉลิมฉลองวันแห่งผู้ล่วงลับหรือ Dia de los Muertos กันอยู่พอดี เทศกาลนี้น่าจะเป็นเทศกาลที่คุ้นหูคุ้นตาคนไทยโดยเฉพาะในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เพราะเคยถูกนำมาใช้เป็นฉากเปิดตัวภาพยนตร์ภาคต่อชุด James Bond 007 เรื่อง Spectre ในปี 2015 และล่าสุดก็มีภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Coco ที่ใช้เทศกาลนี้มาเป็นธีมหลักในการดำเนินเรื่อง

Dia de los Muertos (Day of the Dead) หรือการเฉลิมฉลองวันแห่งผู้ล่วงลับ คือเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงสมาชิกในครอบครัวหรือญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว และเชื่อกันว่าเป็นช่วงที่วิญญาณเหล่านั้นจะเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเป็นเวลา 24 ชั่วโมง จึงมีการเตรียมอาหารทั้งคาวหวานและข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นของโปรดเอาไว้ต้อนรับ

Dia de los Muertos

© Bernardo Ramonfaur, Unsplash

หากจะพูดถึงที่มาของเทศกาลนี้ก็คงต้องย้อนกลับไปไกลถึง 3,500 ปีที่แล้ว ที่แม้ในตอนนั้นจะมีชาวพื้นเมืองหลากหลายกลุ่มหลากหลายความเชื่อ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทุกกลุ่มเชื่อเหมือนกันก็คือเรื่องชีวิตหลังความตาย เพราะการค้นพบแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในประเทศเม็กซิโกทำให้เกิดข้อสังเกตว่าในสมัยโบราณชาวบ้านนิยมสร้างที่ฝังศพไว้ใต้บ้านหรือใกล้กับตัวบ้าน เนื่องจากต้องการให้กระดูกของสมาชิกในครอบครัวหรือคนที่รักซึ่งตายไปแล้วได้อยู่ใกล้ชิดกับสมาชิกในครอบครัวและลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่

จนกระทั่งมาถึงช่วงศตววรษที่ 14 – 16 ชาวแอซเท็ก (Aztec) ซึ่งเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่มีอำนาจเหนือดินแดนแถบนี้ มีความเชื่อว่าการตายเป็นเพียงการข้ามผ่านจากโลกนี้ไปยังอีกโลกหนึ่ง จึงจัดงานเฉลิมฉลองเป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็มในเดือนสิงหาคมของทุกปีเพื่อบูชาเทพีแห่งโลกใต้พิภพ (Mictecacihuatl) หรือเทพีแห่งความตาย (Lady of the Dead) ผู้ทำหน้าที่ดูแลรักษากระดูกของคนตายเพื่อนำไปใช้ในโลกหน้า

ภายหลังการเข้ามาของอารยธรรมสเปนในศตวรรษที่ 16 เทศกาลนี้ได้รับการผสมผสานเข้ากับความเชื่อของคริสต์ศาสนา จึงเปลี่ยนมาฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม และ 1, 2 พฤศจิกายนแทน เพื่อให้ตรงกับวัน All Saints Eve, All Saints Day และ All Soul Day แต่ถึงอย่างนั้น Dia de los Muertos ของชาวเม็กซิโกก็ยังคงไว้ซึ่งความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติเฉพาะตัวที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม และไม่ใช่ฮาโลวีนสไตล์เม็กซิกันอย่างที่หลายคนเข้าใจกันอีกด้วย

Dia de los Muertos

© Jordi Cueto-Felgueroso Arocha,CCBY-SA 4.0, Wikimedia

“Welcome Home”

ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง

ก่อนคืนวันที่ 31 ตุลาคม สมาชิกในครอบครัวจะช่วยกันทำความสะอาดบ้าน ทำอาหารและเตรียมตั้งโต๊ะเพื่อต้อนรับญาติผู้ล่วงลับ เชื่อกันว่าตอนเที่ยงคืนของวันที่ 31 จะเป็นเวลาที่วิญญาณของเด็กๆ เดินทางกลับมาบ้าน หากครอบครัวไหนเคยสูญเสียลูกหลานที่อายุยังน้อยก็จะจัดเตรียมแท่นวางขนมนมเนยและช็อกโกแลตพร้อมของเล่นไว้ต้อนรับ บางบ้านก็เตรียมหมอนกับผ้าห่มไว้เผื่อว่า ‘เด็ก’ ที่มาเยี่ยมจะเล่นสนุกจนเหนื่อยและอยากพักผ่อน

Dia de los Muertos

วันที่ 1 พฤศจิกายน หรือวัน Día de los Inocentes (Day of the Innocents) หรือ Día de los Angelitos (Day of the Little Angels) เป็นวันที่เชื่อกันว่าวิญญาณของเด็กที่กลับมาจะใช้เวลาทั้งวันกับคนในครอบครัว ส่วนบ้านที่ไม่มีลูกหลานเสียชีวิตก็อาจจะมีการจัดเตรียมขนมและของเล่นไว้ต้อนรับวิญญาณเด็กเร่ร่อนหรือเด็กที่ไม่มีบ้านให้กลับ

ส่วนวันที่ 2 พฤศจิกายน หรือวัน Día de los Muertos (Day of the Dead) เป็นวันที่วิญญาณผู้ใหญ่กลับมาเยี่ยมบ้าน มีการจัดแท่นวางอาหารและข้าวของไว้ต้อนรับที่บ้านเช่นเดียวกันกับการต้อนรับเด็กๆ และเนื่องจากคนในยุคหลังนิยมฝังศพสมาชิกในครอบครัวไว้ที่สุสานของชุมชนมากกว่าจะฝังไว้ใกล้บ้าน บางภูมิภาคของเม็กซิโกจึงมีธรรมเนียมที่สมาชิกครอบครัวจะพากันไปทำความสะอาดสุสานในช่วงเย็น มีการตกแต่งประดับประดาสุสานด้วยดอกไม้ รูปภาพ กลอนไว้อาลัย หรืออาจจะเปิดเพลงที่ผู้ตายชอบ บ้างก็มีการเตรียมอาหาร เครื่องดื่ม พร้อมที่นอนหมอนมุ้ง เพื่อไปใช้เวลาร่วมกับวิญญาณของผู้ตายที่จะกลับมาที่สุสานให้ได้นานที่สุด

Dia de los Muertos Dia de los Muertos Dia de los Muertos Dia de los Muertos

©Kevin, CCBY2.0, Flickr

ในขณะที่บางภูมิภาคก็จะนิยมพากันไปทำความสะอาดสุสานเพียงอย่างเดียว เพราะเชื่อว่าจะเป็นจุดแรกที่วิญญาณจะกลับมาถึง หลังจากนั้นจะโปรยกลีบดอกดาวเรืองจากสุสานเป็นเส้นทางนำวิญญาณกลับไปสู่บ้าน เพื่อฉลองพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว บางพื้นที่ชาวบ้านจะขังหรือล่ามสัตว์เลี้ยงเอาไว้ในคอกอย่างเรียบร้อยระหว่างค่ำคืนนี้ เพราะไม่ต้องการให้สัตว์ไป ‘ขัดขวาง’ การเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านของวิญญาณเหล่านั้น

Day of the Dead,

A Celebration of Souls           

แท่นหรือโต๊ะต้อนรับถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของงานนี้ การจัดวางอาหารและเครื่องใช้ไม่มีกฎตายตัว แท่นวางของหนึ่งแท่นอาจจะจัดสำหรับสมาชิกหลายคนในครอบครัว หรือจะเป็นแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับ 1 คนไปเลยก็ได้

Dia de los Muertos

©Felicity Rainnie, CCBY-ND2.0, Flickr

การจัดวางแท่นที่นิยมกันจะมีทั้งหมด 3 ชั้นหรือ 3 ส่วน ชั้นบนสุดคือสิ่งที่บอกว่าแท่นนี้เป็นแท่นที่ทำเพื่อต้อนรับใคร อาจจะมีรูปผู้ล่วงลับหรือสิ่งแทนตัวในกรณีที่ไม่มีรูปถ่ายวางไว้ตรงกลาง และอาจจะมีรูปของนักบวชหรือไม้กางเขนวางคู่กันบนชั้นนี้ด้วย

Dia de los Muertos

ชั้นที่สองเป็นชั้นสำหรับวางสิ่งของหรืออาหารที่ชื่นชอบ ในกรณีที่เป็นวิญญาณเด็ก ก็อาจจะมีนม ลูกกวาด ขนมปัง ช็อกโกแลต และของเล่น ถ้าเป็นวิญญาณผู้ใหญ่ก็อาจจะมีเหล้า ไวน์ หรือบุหรี่ วางอยู่ด้วย ส่วนชั้นที่สามที่อยู่ล่างสุด มักจะเป็นที่สำหรับเทียนและธูปหอม กระจก สบู่ หรือผ้าเช็ดตัว เพื่อให้วิญญาณได้ใช้ความทำสะอาด เช็ดหน้าเช็ดตาให้สดชื่น เพื่อให้หายเหนื่อยจากการเดินทางกลับมาสู่โลกมนุษย์

นอกจากของใช้ส่วนตัวเหล่านี้ ก็ยังมีสิ่งที่มักใช้ตกแต่งทั่วทั้งแท่น เช่น ดอกดาวเรืองสีส้มหรือสีเหลือง ผลไม้ และขนมรูปกะโหลกสีสันสดใสที่ทำจากน้ำตาลอีกด้วย

Dia de los Muertos

สำหรับครอบครัวที่มีรายได้ไม่มาก การจัดวางแท่นต้อนรับอาจเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก บางครอบครัวอาจจะต้องใช้เวลาเก็บเงินหลายเดือนเพื่อจัดหาซื้อของที่ใช้ตกแต่งทั้งหมดได้ แต่สมาชิกในบ้านก็พยายามช่วยกันจัดแท่นต้อนรับให้ออกมาดีที่สุด เพราะเชื่อว่าวิญญาณบรรพบุรุษที่มีความสุขจะช่วยปกป้องดูแลคนในบ้านให้ปลอดภัยและนำพาโชคดีมาให้

Viva La Catrina!

จากโครงกระดูกสู่เทพีแห่งโลกใต้พิภพ

เมื่อพูดถึง Day of the Dead แล้วจะไม่พูดถึงโครงกระดูกผู้หญิงที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเทศกาลนี้ก็คงไม่ได้ ชื่อดั้งเดิมของเธอคือ La Calavera Garbancera เป็นผลงานภาพพิมพ์โลหะของศิลปินและนักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองชาวเม็กซิโก โฮเซ่ กัวดาลูเป โพซาดา (José Guadalupe Posada) ภาพของโครงกระดูกสวมหมวกภาพนี้ได้รับการตีพิมพ์อย่างแพร่หลายในช่วงปี 1910 – 1930 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเสียดสีผู้หญิงเม็กซิโกพื้นเมืองชนชั้นกลางที่อับอายรากเหง้าของตัวเองและพยายามแต่งตัวเลียนแบบชาวต่างชาติ ทั้งยังทาตัวทาหน้าด้วยเครื่องสำอางเพื่อให้ผิวขาวเหมือนชาวยุโรป และสวมหมวกทรงลูกพลัมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหมวกที่ชาวฝรั่งเศสชั้นสูงนิยมใส่กัน

Dia de los Muertos

©José Gudalupe Posada, USA Public domain

ต่อมาในปี 1947 ดิเอโก ริเวรา (Diego Rivera) ศิลปินชาวเม็กซิโกซึ่งเป็นสามีของ ฟรีดา คาห์โล (Frida Kahlo) ได้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังชื่อ ‘Sueño de una Tarde Dominical en la Alameda Central’ หรือ ‘Dream of a Sunday Afternoon in Alameda Park’ เป็นภาพการรวมตัวกันของบุคคลผู้มีชื่อเสียงในช่วงประวัติศาสตร์ 400 ปีของประเทศเม็กซิโก

ในผลงานชิ้นนี้ ดิเอโกนำเอาภาพโครงกระดูกสวมหมวกที่ของเดิมมีแค่ท่อนไหล่มาต่อยอดด้วยการวาดชุดยาวหรูหราแบบเต็มตัวให้เข้ากับหมวก และวางตำแหน่งให้ยืนอยู่กลางภาพ มือข้างซ้ายของโครงกระดูกคล้องแขนกับโพซาดา ซึ่งเป็นผู้สร้างเธอขึ้นมา (ผู้ชายในสูทสีดำ ถือไม้เท้า) ส่วนข้างขวาก็จับมือกับดิเอโกตอนเป็นเด็ก (ผู้ชายตัวเล็ก หมวกสีขาว) มีฟรีดาใส่ชุดพื้นเมืองประจำชาติยืนเยื้องไปด้านหลัง และดิเอโกก็ได้ตั้งชื่อให้กับโครงกระดูกตัวนี้ใหม่ว่า ‘คาทริน่า’ (Catrina)

Sueño de una Tarde Dominical en la Alameda Central

© Wikipologus CCBY-SA 4.0, Wikimedia

การรวมตัวกันของบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่กับบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ตายไปแล้วบนภาพจิตรกรรมฝาผนังชิ้นนี้สื่อถึงมุมมองและแนวคิดของชาวเม็กซิโกที่มีต่อความตาย ว่าไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวหรือน่าหวาดกลัว แต่เป็นสิ่งที่ชาวเม็กซิโกอ้าแขนรับด้วยความเต็มใจ โครงกระดูกในชุดสตรีสูงศักดิ์ หรือ ‘คาทริน่า’ ในบริบทของภาพนี้จึงไม่ได้เป็นเพียง ‘La Calavera Garbancera’ แต่ยังได้รับการเชื่อมโยงถึง ‘Lady of the Dead’ หรือ ‘เทพีแห่งความตาย’ ตามความเชื่อของชาวแอซเท็กอีกด้วย

เมื่อเวลาผ่านไป คาทริน่าก็กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเทศกาลเฉลิมฉลองวันแห่งผู้ล่วงลับ และเป็นเทพีแห่งความตายที่ชาวเม็กซิโกรักใคร่ และการที่ชาวเม็กซิโกแต่งตัวเป็นคาทริน่า ทำเค้ก ทำขนมปัง และคุกกี้ รูปคาทริน่า หรือมีของแต่งบ้านเป็นลวดลายคาทริน่า ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการ ‘หยอกล้อ’ กับ ‘ความตาย’ ด้วยอารมณ์ขันทั้งสิ้น

Dia de los Muertos

Day of the Dead,

A Celebration of Life

ชาวเม็กซิโกส่วนใหญ่โดยเฉพาะในเมืองเล็กๆ รอบนอกมักจะเฉลิมฉลองพิธีนี้กันภายในครอบครัว แม้ทุกบ้านจะพากันไปสุสานอย่างพร้อมเพรียง แต่หัวใจสำคัญของงานก็คือการระลึกถึงผู้ล่วงลับ บรรยากาศในงานจึงมีลักษณะเป็นงานรื่นเริงที่เรียบง่ายและอบอุ่น คล้ายกับการกลับมารวมญาติระหว่างคนเป็นกับคนตายที่มีโอกาสมา ‘เจอ’ กันแค่ปีละหนึ่งครั้ง และได้ใช้เวลาระลึกถึงกันในแง่ของความสุขที่เคยมีร่วมกันมา มากกว่าความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัวหรือบุคคลอันเป็นที่รักไป

เราเองในฐานะของคนแปลกหน้าที่บังเอิญไปอยู่ในช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองนี้ ได้เห็นผู้คนมากมายที่ออกมาพบปะกันในจัตุรัสกลางเมือง หลายคนแต่งหน้าแต่งตัวเป็นคาทริน่า แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ก็แปลงร่างเป็นโครงกระดูกที่เห็นแล้วอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

Dia de los Muertos

©Kevin, CCBY2.0, Flickr

จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนท้องถิ่น ทำให้ได้รู้ว่าพิธีการเฉลิมฉลองอันเก่าแก่นี้ถูกถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น คนเม็กซิโกรุ่นเก่ายังคงตระเตรียมงานและปฏิบัติตามธรรมเนียม ด้วยความเชื่อที่ว่าวิญญาณของบรรพบุรุษจะเดินทางกลับมาจริงๆ ในขณะที่คนรุ่นใหม่มองเทศกาลนี้เป็น ‘สิ่งเตือนใจ’ ว่าความตายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคน จึงควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าและมีประโยชน์กับคนรอบข้าง เหมือนกับที่สมาชิกในครอบครัวหรือคนรักที่ตายไปแล้วได้ทำเอาไว้และยังคงได้รับการระลึกจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน

หากมองในแง่ของการส่งเสริมความใกล้ชิดของคนในครอบครัว เทศกาลนี้ก็นับเป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในบ้านมีความแน่นแฟ้นมากขึ้น เช่น เด็กคนหนึ่งอาจจะเกิดมาในครอบครัวที่คุณปู่เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่เพราะการฉลองวันแห่งผู้ล่วงลับที่จัดขึ้นในแต่ละปี สมาชิกในครอบครัวจะพูดถึงคุณปู่ และเอารูปเก่าๆ มาวาง มีการทำอาหารหรือเปิดเพลงที่คุณปู่ชอบบ่อยๆ เด็กคนนี้จึงอาจจะมีความรู้สึกผูกพันกับ ‘คุณปู่’ ที่ไม่เคยแม้แต่จะเจอหน้ากันมาก่อนเลยก็ได้

Dia de los Muertos

©Kevin, CCBY2.0, Flickr

สำหรับในเมืองหลวงอย่างเม็กซิโกซิตี้ การเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 3 – 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการถ่ายทำภาพยนต์ภาคต่อ James Bond 007 เรื่อง Spectre ที่มีการเนรมิตฉากการไล่ล่าของนักแสดงนำกับศัตรู ท่ามกลางขบวนพาเหรดโครงกระดูกที่กำลังเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่กลางเมืองเม็กซิโกซิตี้ และฉากนี้ก็กลายเป็นฉากที่ได้รับการพูดถึงในวงกว้างทั้งในและต่างประเทศ จนกระทรวงการท่องเที่ยวและรัฐบาลเม็กซิโกสนับสนุนให้มีการจัดขบวนพาเหรด เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาล Day of the Dead อย่างเป็นทางการขึ้นครั้งแรกในปี 2016 ที่ผ่านมา

Dia de los Muertos

©Gukgy Charlie

มีการคาดการณ์กันว่าขบวนพาเหรดประจำปีของเทศกาลนี้จะเป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาในประเทศเม็กซิโก และน่าจะกลายเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ในปีล่าสุดที่เป็นเพียงการจัดงานครั้งที่ 2 แต่ขนาดของงานก็ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า ขบวนพาเหรดโครงกระดูกมีความยาวถึง 10 กิโลเมตร และมีผู้สนใจรอชมตลอดเส้นทางกว่า 300,000 คน*

Dia de los Muertos

©Gukgy Charlie

ปรากฏการณ์นี้ทำให้ชาวเม็กซิโกบางส่วนไม่เห็นด้วยและไม่พอใจที่วัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาติถูกตีความใหม่ผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูด โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าขบวนพาเหรดอาจทำให้จุดประสงค์ดั้งเดิมของเทศกาลนี้ถูกบิดเบือน และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายมนตร์ขลังของพิธีกรรมและความเชื่อที่สืบทอดกันมายาวนาน จนเหลือไว้เพียงเปลือกนอกที่ไร้ความหมาย

Dia de los Muertos

©Gukgy Charlie

แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าความนิยมของที่เพิ่มมากขึ้นของเทศกาลนี้ทำให้กลุ่มวัยรุ่นในเมืองหลวงที่เคยให้ความสนใจกับเทศกาลฮาโลวีน หันกลับมามีส่วนร่วมกับเทศกาลประจำชาติมากกว่าเดิม แม้แต่เด็กเล็กๆ ที่เคยแต่งตัวเพื่อฉลองเทศกาลฮาโลวีนที่โรงเรียน ก็หันมาแต่งหน้าแต่งตัวเป็นโครงกระดูกคล้ายคาทริน่า การเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นเหมือนการทำให้เทศกาลเก่าแก่ดั้งเดิมที่กำลังจะถูกกลืนเข้ากับเทศกาลฮาโลวีน กลับมามีชีวิตและโลดแล่นได้อย่างน่าทึ่งอีกครั้ง

Dia de los Muertos

©Filip Gielda, Unsplash

Dia de Los Muertos, Day of the Dead

วันที่: 31 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน
เมืองอื่นๆ ที่น่าสนใจในช่วงเทศกาลนี้:  Oaxaca, Michoacan, Merida, Aguascalientes และ Chiapa de Corzo ใน Chiapas
ภาพยนตร์เกี่ยวกับ Day of the Dead ที่อยากแนะนำให้ดู: The Book of Life (2014)

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

*. Mexicans embrace Day of the Dead spectacle in place of Halloween The Guardian October 2017

  1. Day of the Dead 2017: Thousands take to Mexico City streets to celebrate Dia de los Muertos Independent October 2017
  2. La Catrina: The woman of Mexico October 2012
  3. Day of the Dead history October 217
  4. Mexico’s grand dame of the Dead, the story behind La Catrina Chicago Tribune October 2017

6. La Catrina:” Mexican representation of Death The Yucatan Times December 2017