เพื่อนร่วมทาง

ทริปมอเตอร์ไซค์ขึ้นเหนือลงใต้ของเราทริปนี้ นอกจากจะมีเรากับคริสเตียนเป็นตัวหลักในการเดินทางตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ยังมีทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่อีกหลายคนที่เข้ามาร่วมตกระกำลำบากด้วยกันเป็นระยะ จะสั้นยาวมากน้อยก็แล้วแต่จังหวะและโชคชะตาของทั้งสองฝ่าย

เพื่อนกลุ่มแรกที่มาตะลุยอเมริกาเหนือกับเรา เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดทริปนี้มาด้วยกันตั้งแต่ที่เชียงใหม่ นั่นก็คือ ‘ลี’ (Lee) รูมเมทของคริสเตียนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย และ ‘อาร์เจ’ (RJ) เพื่อนที่รู้จักกันจากการร่วมงาน และคุยกันถูกคอจนตกกระไดพลอยโจนมากับพวกเราด้วย

  • สีแดง – จุดนัดพบ (Banff, Alberta Canada)
  • สีเขียว – จุดเริ่มต้นของเรากับคริสเตียน (Colorado, USA)
  • สีเทา – จุดเริ่มต้นของลี (Texas, USA)
  • สีส้ม – จุดเริ่มต้นของอาร์เจ (Toronto, Canada)

ก่อนเริ่มทริป เรา 4 คนเดินทางออกจากประเทศไทยและแยกย้ายกันไปเตรียมตัว หลังจากนั้นต่างคนก็ออกเดินทางจากบ้านตัวเองเพื่อมาพบกันที่เมืองแบมฟ์ (Banff) ในประเทศแคนาดา โดยเรากับคริสเตียนออกมาจากรัฐโคโลราโด (จุดสีเขียว) ลีออกมาจากรัฐเท็กซัส (จุดสีเทา) ส่วนอาร์เจก็ออกมาจากเมืองโตรอนโต (จุดสีส้ม) ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

ครบทีมที่แบมฟ์ : จากซ้ายไปขวา เรา, คริสเตียน, ลี และ อาร์เจ

 

ครบทีมที่แบมฟ์ (Banff, Alberta Canada)

9 กันยายน 2015

ช่วงสายของวันที่ 9 เรา 4 คนมาพบกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่จุดนัดหมาย ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ออกทริปมอเตอร์ไซค์ด้วยกัน แต่เรารู้สึกได้ว่าทุกคนมีความตื่นเต้นและกระตือรือร้น ส่วนเราก็เองก็กังวลอยู่บ้าง เพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม ความอึดในการเดินทางระยะยาวคงจะสู้ 3 หนุ่มไม่ได้แน่ อีกอย่างเรื่องห้องน้ำห้องท่าก็มีเค้าว่าจะวุ่นวายกว่าชาวบ้าน ก่อนจะเริ่มออกเดินทางด้วยกันวันนั้น ก็เลยบอกกันล่วงหน้าว่าถ้าคริสเตียนจอดให้เราเข้าห้องน้ำ ลีกับอาร์เจก็ขี่รถไปต่อกันก่อนได้เลย และเราสองคนจะขี่ตามไปทีหลัง… แต่ถึงจะบอกกันไว้แบบนั้น สุดท้ายแล้วทุกคนก็จอดรอเราอยู่ดี

การเดินหาพุ่มไม้ในป่าริมทางเพื่อปลดเบาในขณะที่มีผู้ชาย 3 คนยืนรอมันไม่สนุกเอาซะเลยจริงๆ

หลังกินอาหารเที่ยงมื้อใหญ่ด้วยกันเสร็จเรียบร้อย เราพากันออกมาเตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง เสื้อกั๊กสีดำที่อาร์เจใส่ซ้อนเสื้อยืดในภาพด้านบนนี้ เป็นเสื้อกั๊กทำความร้อน (Heated Vest) ด้านในมีสายไฟเส้นเล็กๆ ยึดติดไว้ตามส่วนต่างๆ ของเสื้อ ตรงชายเสื้อก็มีหัวแจ็กสำหรับต่อกับแบตเตอรีของมอเตอร์ไซค์ และมีรีโมตอันเล็กห้อยติดกับเสื้อเพื่อให้ปรับระดับความร้อนได้

ตอนนั้นลีและอาร์เจมีแผนจะร่วมทริปกับเราสองคนไปจนถึงอะแลสกา และเดินทางลงใต้มาด้วยกันจนถึงแวนคูเวอร์ หลังจากนั้นอาร์เจจะจอดรถทิ้งไว้ที่โรงรถเช่าและบินกลับประเทศไทย ส่วนลีตั้งใจจะเดินทางลงมาด้วยกันจนสิ้นสุดประเทศเม็กซิโก และอาจจะกลับมาร่วมทริปในทวีปอเมริกากลางอีกครั้งถ้าเป็นไปได้  

 

Trans-Canada Highway: Banff-Jasper

มุ่งหน้าสู่แจสเปอร์

เส้นทางที่เราใช้ในบ่ายนี้ชื่อว่าทรานส์แคนาดา เป็นทางหลวงที่ตัดผ่านอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศแคนาดา วิวสองข้างทางเป็นต้นไม้เขียวทึบ เราสังเกตเห็นป้ายเตือนให้ระวังหมีข้ามถนนอยู่เป็นระยะ แต่หยิบกล้องออกมาเก็บภาพไม่ได้เพราะมีฝนตกปรอยๆ ตลอดเส้น

ยิ่งระยะเวลาผ่านไป อุณหภูมิรอบตัวก็ลดลงเรื่อยๆ และฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หันไปมองวิวข้างทางก็เริ่มเห็นเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่บนยอดประปราย จากที่รู้สึกหนาวแค่ภายนอก สีขาวของหิมะทำให้เรารู้สึกถึงความหนาวจากข้างใน  เสื้อทำความร้อนของเราก็ถูกพับเก็บเอาไว้อย่างแน่นหนาในกล่องข้างรถ เพราะคิดเอาเองว่าคงยังไม่จำเป็นต้องใช้จนกว่าจะเข้าเขตอะแลสกา จะให้มาจอดรื้อกระเป๋าในขณะที่ทุกคนกำลังเร่งหนีฝนในตอนนี้ก็คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ตอนนั้นเราได้ยินเสียงในหัวตัวเองชัดเลยว่า ตายแน่ ออกมาไม่ถึงชั่วโมงเราก็หนาวจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว หรือเราจะไปไม่ถึงอะแลสกาอย่างคนอื่นเขา หรือเราจะได้ซื้อตั๋วบินกลับไทยก่อนกำหนด… แต่ก่อนที่เราจะคิดอะไรฟุ้งซ่านไปมากกว่านั้น ลีที่กำลังขี่รถนำอยู่ด้านหน้าสุดก็ยกมือทำสัญญาณให้จอดที่จุดพักรถด้านหน้า และส่งเสียงครืดคราดมาตามวิทยุว่า “หนาวจะตายอยู่แล้ว! จอดก่อน!”

ปกติเราก็คิดว่าลีเป็นคนที่เสียงหล่อและเหมาะจะไปเป็นดีเจมากอยู่แล้ว แต่เรามั่นใจว่าไม่มีวันไหนที่เราจะรักเสียงลีได้มากกว่าวันนั้นแน่ๆ

 

It is a big and beautiful world…”

ระหว่างที่เราจอดรถ หิมะก็เริ่มตกโปรยปรายลงมา แต่เพราะอากาศยังไม่เย็นจัด เกล็ดหิมะเลยละลายกลายเป็นหยดน้ำทันทีที่สัมผัสพื้นถนน ผืนน้ำสีฟ้าสดตรงหน้าราบเรียบคล้ายแผ่นกระจก ภูเขาที่ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลังก็สูงใหญ่ซะจนต้องแหงนมอง

ภาพที่เห็นทำให้เราลืมความหนาวและลงมายืนจ้องวิวตรงนี้นิ่งๆ อยู่นาน ตอนนั้นหัวใจมันพองโตคับแน่นอยู่ในอกจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นชัดมาก ความรู้สึกเต็มตื้นผสมกับความฮึกเหิมตีขึ้นมาอย่างรุนแรงจนต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ และผ่อนออกให้ช้าที่สุด เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

วันนั้นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติตรงหน้าทำให้เรารู้สึกเป็นครั้งแรกจริงๆ ว่าเราเป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ และนั่นก็น่าจะเป็นครั้งแรกที่การถูกทำให้รู้สึกว่าตัวเล็กลงเป็นเรื่องที่ดี

รูปวิวทะเลสาบและภูเขาด้านบนเป็นรูปที่เราได้มาจากกล้องมือถือลี ส่วนรูปต้นไม้เขียวทึบนี้เราเป็นคนถ่ายเก็บเอาไว้ เพราะในระหว่างที่เรากำลังยืนทำซึ้งอยู่คนเดียว ลีก็จอดรถและวิ่งข้ามถนนไปยิงกระต่ายในป่าฝั่งตรงข้าม แล้วจู่ๆ ก็วิ่งหน้าเริ่ดออกมาและตะโกนข้ามฝั่งมาว่า “หมี! เจอหมีด้วย!” เท่านั้นเองคริสเตียนกับอาร์เจก็ทิ้งรถข้ามถนนไปดูกันด้วยความสนใจ โดยมีเราอาสาจะยืนเฝ้ารถให้ เพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอยากจะไปดูหมีในป่านั่นกับเขาด้วยรึเปล่า

ก่อนเดินข้ามไปอาร์เจหยิบสเปรย์ไล่หมีหรือ ‘Bear Spray’ พกติดตัวไปด้วย รายนี้แกเป็นเจ้าถิ่น ก็เลยเตรียมตัวมาพร้อมกว่าทุกคนในกลุ่ม เราเองก็เพิ่งเคยเห็นเจ้าสเปรย์ที่ว่านี่เหมือนกัน อาร์เจอธิบายให้ฟังทีหลังว่า แบร์สเปรย์มีไว้ฉีดไล่หมีในกรณีที่เราเกิดเดินดุ่มๆ ไปเจอกับหมีโดยบังเอิญ น้ำยาที่พ่นออกมาจะทำให้หมีรู้สึกระคายเคืองตาและจมูก และมันจะไม่เดินตามเรา

ในขณะเดียวกัน ถ้าเราฉีดแบบไม่ดูทิศทางลม สภาพอากาศ หรือแม้แต่ฉีดในระยะที่ไกลเกินไป สเปรย์ที่ว่าก็อาจจะไม่ได้ผล แถมยังเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้หมีรู้สึกรำคาญหรือโมโหร้าย และอยากจะวิ่งไล่ตามเรามากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ที่หักมุมยิ่งกว่านั้นก็คือตัวกระป๋องใส่สเปรย์เองก็มีกลิ่นที่เรียกหมีให้ออกมาหาเราอีกด้วย

จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการพกสเปรย์ของอาร์เจ จะทำให้อาร์เจรอดจากการโดนหมีตะปบได้จริงๆ รึเปล่า

หลังจาก 3 หนุ่มรอดชีวิตจากการดูหมีและข้ามถนนกลับมาที่รถ ลีกับเราก็เปิดกล่องข้างเพื่อรื้อเอาเสื้อกั๊กทำความร้อนออกมาใส่ ตอนนั้นมอเตอร์ไซค์ของเรายังไม่มีสายต่อกับหัวแจ็กของเสื้อ คริสเตียนเลยต้องถอดเบาะออกมาแล้วเริ่มต่อวงจรกันใหม่ ในระหว่างที่รอ ลีก็บอกให้เราเอาเสื้อไปต่อเข้ากับแบตเตอรีของรถลีแก้หนาวไปพลางๆ

จากประสบการณ์วันนี้ ทำให้เราได้รู้ว่าลีกับอาร์เจมีระดับความทนต่ออากาศหนาวพอๆ กับเรา ส่วนคริสเตียนที่เกิดและโตในโคโลราโด รัฐที่ขึ้นชื่อเรื่องความหนาวเย็น ต่อให้เรา 3 คนโอดครวญเรื่องความหนาวกันมากแค่ไหน คริสเตียนก็ยังรู้สึกว่า ‘เย็นสบาย’

ระยะทางจากแบมฟ์ไปจนถึงแจสเปอร์อยู่ที่ประมาณ 280 กิโลเมตรกว่าเท่านั้นเอง แต่เรา 4 คนน่าจะใช้เวลาในการเดินทางรวมแล้วประมาณ 4 ชั่วโมง เพราะถนนสายนี้เป็นถนนเลียบภูเขา ที่มีทั้งความคดเคี้ยวและความชัน แถมช่วงที่ขึ้นสูงมากๆ ก็เจอทั้งลมและฝนกระหน่ำ กว่าจะได้พักหายใจหายคอกันก็ตอนที่ขี่มาแล้วเกือบ 3 ชั่วโมง

1 ชั่วโมงหลังจากนั้นสภาพถนนและสภาพอากาศดีขึ้น แต่ความหนาวและความมืดทำให้ทุกคนล้าและอยากจะจอดพักยาวเต็มที โชคยังดีที่เมื่อผ่านเข้าเขตของแจสเปอร์มาได้ไม่นานเราก็เจอรีสอร์ตย่านชานเมือง เลยพร้อมใจกันเลี้ยวเข้าไปหาที่พักทันที

คืนนั้นเราได้ฉลองการเริ่มทริปแบบพร้อมหน้าพร้อมตาคืนแรกในกระท่อมเล็กๆ ด้วยกัน มีพิซซ่าที่สั่งมาจากร้านอาหารในเมืองและเครื่องดื่มแก้หนาวจากรีสอร์ต หลังจากอิ่มท้องก็นั่งคุยเรื่องแผนของวันรุ่งขึ้นแบบพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน

 

จุดสุดท้ายก่อนขึ้นอะแลสกาไฮเวย์ (Alaska Highway)

Jasper, Alberta-Dawson Creek, British Columbia

เช้าวันนี้มีเป้าหมายที่ดอว์สันครีก (Dawson Creek) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นหรือที่เรียกกันว่า ‘Zero Milepost’ ของอะแลสกาไฮเวย์ ระยะทางรวมอยู่ที่ 524 กิโลเมตร ประเมินคร่าวๆ ว่าน่าจะใช้เวลาในการเดินทางรวมเวลาหยุดพักทั้งหมดประมาณ 7 เกือบ 8 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นการเดินทางแบบเต็มวัน และสิ่งที่เราควรจะทำก็คือการเริ่มออกเดินทางตั้งแต่เช้า แต่ด้วยอานุภาพของพิซซ่าและความอบอุ่นของเตียง ทำให้ทุกคนพร้อมใจกันนอนตื่นสาย และกว่าจะพากันออกมาได้ก็กินเวลาเข้าไป 10 โมงเช้าแล้ว  

สภาพอากาศของวันนี้มีความขมุกขมัวชวนให้นอนอ่านหนังสือพักผ่อนอยู่กับบ้านมากที่สุด ซ้ำร้ายเรายังลืมชาร์จแบตฯ กล้องถ่ายรูป จากที่ปกติเราใช้การถ่ายรูปมาเป็นกิจกรรมทำแก้ง่วงระหว่างเดินทางได้ วันนี้ก็ต้องเลือกเปิดหน้ากล้องและถ่ายเฉพาะภาพที่คิดว่าควรจะถ่าย สลับกับต้องคอยเปิดหน้าหมวกกันน็อกเพื่อให้ลมเย็นๆ เข้ามาปะทะหน้า จะได้ไม่เผลอหลับในและมีอาการเงิบหงายหลังไปซะก่อน

จะว่าไปแล้วการไม่ต้องถ่ายรูปในระหว่างเดินทางก็มีข้อดีอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะช่วงเดินทางขึ้นเหนือเราใส่ถุงมือ 2 ชั้นกันทั้งลมและฝน ความหนาของถุงมือทำให้กดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปได้ไม่ถนัด แรกๆ ก็เลยใช้วิธีถอดถุงมือข้างขวาออกเพื่อถ่ายรูป และต้องรีบใส่กลับทันทีเพราะทนหนาวไม่ไหว ซึ่งการใส่ๆ ถอดๆ แบบนี้ทำให้ผิวตรงข้อมือและข้อนิ้วเกิดอาการแห้งจนแตก และตามมาด้วยอาการคันและแสบแบบชวนให้รำคาญใจ

อีกประเด็นก็คือเรื่องของความปลอดภัย โดยเฉพาะถ้าเมื่อไหร่ที่คริสเตียนแอบเห็นมือเปล่าๆ ของเราจากกระจกข้างรถในระหว่างที่เดินทางกันอยู่ คริสเตียนก็จะใช้ช่วงเวลาในการจอดรถพักขามาอบรมเราเรื่องการรักษาความปลอดภัยระหว่างการซ้อนท้ายรถเป็นการใหญ่ บางครั้งถึงกับหยิบมือถือมาเปิดอินเทอร์เน็ตหาภาพมือเยินๆ ที่เกิดจากอุบัติเหตุรถล้มมาให้เราดู สุดท้ายเราก็เลยต้องพยายามฝึกกดชัตเตอร์ทั้งถุงมือให้ถนัดจนได้

 

“ยิ้มหน่อย”

ชุดที่เราใส่อยู่ในวันนี้มีทั้งหมด 5 ชั้น เริ่มจากชั้นในสุดเป็นเสื้อฮีทเทค (Heattech) เสื้อแขนยาวผ้าวูล (Wool) เสื้อกั๊กทำความร้อน (Heated Vest) เสื้อแจ็กเก็ตมอเตอร์ไซค์แบบมีเกราะ และเสื้อกันฝน ส่วนใต้หมวกกันน็อกก็เป็นผ้าวูลที่ใช้ปิดหน้า ซึ่งช่วยกันไม่ให้ลมเย็นๆ เข้ามาปะทะหน้าจนแสบและชาจนขยับปากพูดไม่ได้

รูปด้านบนเป็นฝีมือการถ่ายรูปของอาร์เจ ที่ยกกล้องค้างและพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกกับเราว่า “ยิ้ม ยิ้มหน่อย” ซึ่งความจริงแล้วตอนนั้นเราก็กำลังยิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้วนะ แต่รูปมันออกมาได้แค่นี้จริงๆ

ข้อดีของการเดินทางกับ 3 หนุ่มกลุ่มนี้คือ มีเรื่องแปลกๆ มาคุยกันได้ทุกที่ทุกเวลา อาจจะเป็นเพราะสายงานที่คล้ายกันในความเนิร์ด (คริสเตียน-วิศวกร, อาร์เจ-ทนาย, ลี-โปรแกรมเมอร์) ไม่ว่าจะเป็นตอนจอดรถพักขา จอดกินข้าว หรือจอดเติมน้ำมัน 3 หนุ่มก็หาอะไรมาคุยกันเรื่อยเปื่อยได้ไม่รู้จบ เช่น ลีเป็นคนยกปัญหาเรื่องป่าแอมะซอนโดนรุกรานขึ้นมาพูด อาร์เจก็สนใจตามประสาเเคนาเดียนรักโลก แล้วก็หาข้อมูลว่าตอนนี้ป่าแอมะซอนเหลือพื้นที่ที่ไม่ได้ครอบครองโดยเอกชนอยู่กี่เปอร์เซ็นต์กันแน่

แวะกินข้าวช่วงบ่ายก็ยังคุยกันเรื่องป่าแอมะซอนไม่จบ คริสเตียนเสนอว่าลีกับอาร์เจควรจะลงมาเจอเรากับคริสเตียนที่อเมริกาใต้ เพื่อไปล่องเรือในป่าแอมะซอนด้วยกัน และจะได้เห็นกับตากันไปเลยว่าสภาพป่าแอมะซอนปัจจุบันเป็นยังไง

 

“เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม… “

เรากับคริสเตียนตัดสินใจไม่ซื้อบลูทูธติดหมวกกันน็อก เพราะเราอยากฟังเพลงไปด้วย ส่วนคริสเตียนก็อยากฟังเสียงลมและเสียงเครื่องยนต์ตามประสาคนรักมอเตอร์ไซค์ แต่เวลาเห็นวิวสวยๆ ตาคนขับเขาก็อยากจะชี้ชวนให้เราดู  โดยลืมคิดไปว่าเราเองก็เห็นวิวเดียวกันตั้งแต่แรก และกำลังตั้งท่ายกกล้องถ่ายรูปอยู่ด้วยเหมือนกัน… พอเรากด ‘แชะ’ เราก็เลยได้มือคริสเตียนมาบังวิวอย่างในรูปพวกนี้แทน

ถ้ามันเกิดครั้งสองครั้งก็คงไม่เท่าไหร่ แต่พอเป็นแบบนี้บ่อยๆ เข้า เราก็เลยต้องมาตกลงกันใหม่ว่า วันหลังเวลายูเห็นอะไรสวยๆ และอยากชี้ให้ดู ก็ช่วยเอามือตีขาเราแทนได้ไหม ไม่ต้องเอามือมาชี้นกชี้ไม้หรอก เพราะมันบังกล้อง (โว้ย)