ตรงหน้าเราคือ มุก–มุกดา นรินทร์รักษ์ ในวัย 24 ปี

ส่วนอายุงานในวงการบันเทิงของเธอนั้นกำลังก้าวเข้าขวบปีที่ 10 อย่างมั่นคง 

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเธอบนเวทีประกวดมิสทีนไทยแลนด์ปี 2011 มุกดาคือเด็กสาวที่เพิ่งจะย่างเข้าสู่วัย 15 ปี เพิ่งได้เปลี่ยนคำนำหน้าจากเด็กหญิงเป็นนางสาว และผ่านเข้าเกณฑ์อายุขั้นต่ำในการประกวดได้อย่างหวุดหวิด ก่อนที่เธอจะกลายเป็นเจ้าของรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งไปแบบไม่ทันตั้งตัว

แตกต่างจากผู้ประกวดคนอื่นที่มักจะต่อยอดโอกาสนั้นไปสู่งานแสดง ทั้งละคร โฆษณา หรือมิวสิกวิดีโอ มุกดาได้รับข้อเสนอให้ไปเป็นนางแบบประจำของนิตยสารหัวใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง Ray ซึ่งเธอตอบตกลง ก่อนจะบินไปปักหลักทำงาน และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ถ่ายแบบที่ญี่ปุ่นอยู่ 3 ปี โดยใช้ชื่อว่า ‘นริน’

มุกดา นรินทร์รักษ์ อดีตเด็กสาวที่แคสต์ไม่ผ่าน ผู้กลายมาเป็นเจ้าแม่เรตติ้งแห่งช่อง 7HD

3 ปีต่อมา เธอกลับมาใช้ชื่อมุกดาอีกครั้ง หลังตัดสินใจบินกลับมาเพื่อเริ่มต้นการเรียนรู้ครั้งใหม่ในกองถ่ายละครโทรทัศน์ ในฐานะนักแสดงภายใต้สังกัดช่อง 7HD

เริ่มจากบท ปารมี ในเรื่อง ขมิ้นกับปูน ละครเรื่องแรกของเธอเมื่อ พ.ศ. 2559 ทำให้ชื่อของมุกดาเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่แฟนละคร ก่อนที่เธอจะได้ขยับขึ้นแท่นนางเอกอย่างรวดเร็วในละครเรื่องถัดมาคือ มัสยา และเมื่อปลายปีก่อน เธอก็ได้สร้างปรากฏการณ์เรตติ้งถล่มทลายในเรื่อง มธุรสโลกันต์ ซึ่งเป็นกระแสดังจนติดเทรนด์ทวิตเตอร์ทั้งในไทยและระดับโลก และชาวเน็ตบางคนก็ขนานนามให้เธอเป็น เจ้าแม่เรตติ้ง 

จากวันแรกจนถึงวันนี้ อะไรคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดสำหรับมุกดา

“ต้องเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ฟังอะไรเลย” ประโยคนี้อาจฟังดูธรรมดาสามัญ แต่ดวงตากลมโตของมุกดาสะท้อนบอกเรา ว่าเธอเข้าใจประโยคนี้จริงๆ ไม่ได้พูดเอาเท่ไปอย่างนั้น และเมื่อประกอบกับเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาร่วทศวรรษของเธอในวงการบันเทิง ก็ยิ่งทวีความหมายให้ประโยคนี้กระแทกใจเรามากขึ้น

นี่คือบทสนทนาว่าด้วยชีวิตที่กว่าจะได้มาเป็นนางเอกของมุกดา ซึ่งไม่ได้สวยงามและง่ายดายเหมือนบทบาทนางเอกในละครที่เธอเล่น

มุกดา นรินทร์รักษ์ อดีตเด็กสาวที่แคสต์ไม่ผ่าน ผู้กลายมาเป็นเจ้าแม่เรตติ้งแห่งช่อง 7HD

อาชีพในฝันของมุกดาสมัยเด็กคืออะไร

เราอยากเป็นนางพยาบาล ไม่เคยคิดว่าอยากจะทำงานสายนี้เลย เพราะว่าตอนเด็กๆ เป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยคุยกับใคร และไม่กล้าแสดงออก 

นิยามตัวเองว่าเป็นเป็นเด็กเรียนหรือเด็กกิจกรรม

เป็นเด็กกิจกรรม สมัยเด็กๆ เราก็ได้คะแนนกิจกรรมเต็มตลอด หลักการคือถ้าอะไรที่พาฉันหนีออกจากโรงเรียนได้ฉันก็จะไป (หัวเราะ) ส่วนใหญ่จะเป็นพวกกิจกรรมเพื่อสังคม อย่างไปปลูกป่าชายเลนอะไรแบบนี้

แล้วอะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจลงประกวดมิสทีนไทยแลนด์

ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมหลังจบมอสาม กำลังจะขึ้นมอสี่ ซึ่งปกติแม่จะส่งมาเรียนพิเศษที่กรุงเทพฯ ตลอดทุกปิดเทอมอยู่แล้ว ตอนนั้นกองประกวดมาตั้งโต๊ะให้กรอกใบสมัครที่ห้างฯ แถวบ้าน คุณแม่กับพี่ชายเขาบอกให้เราไปประกวด ซึ่งเราก็ไม่อยากไป แต่พอเขาคะยั้นคะยอเรื่อยๆ พอดีกับว่าช่วงนั้นเราอยากได้โทรศัพท์มือถือพอดี ก็เลยบอกไปว่า มุกอยากได้โทรศัพท์ ถ้ายอมซื้อโทรศัพท์ให้ก็จะไปประกวด 

เริ่มจากการต่อรอง

ใช่ แต่แม่เขาก็ต่อรองกลับมาอีกนะ ว่าต้องได้ที่หนึ่งถึงจะซื้อให้

แล้วคุณมั่นใจเหรอว่าจะได้ที่หนึ่ง

ตอนนั้นคงคิดสั้นไปหน่อย (หัวเราะ) แต่ก็โชคดีที่บังเอิญได้ที่หนึ่งไง สุดท้ายก็เลยได้โทรศัพท์กลับมา

ก่อนหน้านั้นคุณรู้จักการประกวดมิสทีนฯ มาก่อนไหม

เราก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ชอบดูรายการมิสทีน รุ่นของ พี่เชียร์ (ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์) พี่เกรซ (กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า) เราก็รอดูตลอดตอนห้าทุ่ม มันเป็นยุคที่ทุกคนต้องดูจริงๆ ในความรู้สึกเราตอนนั้นคือ โห ดูมงกุฎสิ แต่ถึงเราจะชอบดูมากๆ ก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเราจะทำได้เหมือนกับเขา

แล้วตอนที่รู้ว่าตัวเองได้ที่หนึ่ง ความรู้สึกแรกคืออะไร

งง เพราะระหว่างเก็บตัว เราไม่ได้ซ้อมบล็อกกิ้ง ไม่ได้จำอะไรเลย เพราะเราคิดว่าอย่างมากที่สุดก็คงไปถึงแค่รอบสิบห้าคนสุดท้าย เลยไม่ได้คิดอะไร พอได้รางวัลมาปุ๊บ ก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรยังไงต่อ

มุกดา นรินทร์รักษ์ อดีตเด็กสาวที่แคสต์ไม่ผ่าน ผู้กลายมาเป็นเจ้าแม่เรตติ้งแห่งช่อง 7HD

แล้วสุดท้ายคุณทำอะไรต่อ

ทางที่มันต่อไปจากตรงนั้นคือการเล่นละคร เราเลยไปแคสต์เหมือนกับที่คนอื่นเขาไป ซึ่งผลออกมาก็คือเราไม่ได้ เพราะตอนนั้นเราเด็กมาก ยังพูดไม่ชัดเลย เวลาพูดจะติดทองแดง แอคติ้งเราก็ยังไม่ได้ บุคลิกเราก็ยังไม่ดี ตอนนั้นเพิ่งจบมอต้นเอง ยังผมสั้นอยู่เลย

ทั้งหมดนี้คือเรารู้ตัวตั้งแต่ก่อนไปแคสต์แล้วหรือเปล่า

ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรเลย คือเราก็แค่เด็กที่ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเพราะฉันอ้วน ฉันพูดไม่ชัด ฉันต้องไปลดน้ำหนักและหัดพูดให้ชัดนะ ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรเลย 

เสียใจไหม

เสียใจ แล้วก็สงสัยว่าทำไมเราถึงไม่ได้ล่ะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองบกพร่องตรงไหนนะ เพราะเรายังไม่มีประสบการณ์อะไรที่ทำให้เราคิดมากไปกว่านั้น เรายังไม่เคยหันกลับมามองตัวเอง

ส่วนใหญ่เราจึงนอยด์ว่าทำไมถึงไม่มีงาน เพราะตอนนั้นถึงเราจะอยู่มอสี่ แต่ก็มีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เขามีงานไง คือเราไม่ได้อิจฉาเขานะ แต่เราก็แค่ตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงไม่มีบ้าง จนได้ไปทำงานญี่ปุ่นถึงได้เข้าใจว่า เออ มันเป็นเพราะว่าเรายังบกพร่องอยู่นะ สุดท้ายความรู้สึกนอยด์ตรงนั้นมันก็เลยหายไป

จากที่ว่างงานอยู่ แล้วเราไปทำงานที่ญี่ปุ่นได้ยังไง

ตอนนั้นทางญี่ปุ่นเขามามองหานางแบบที่จะไปเดินรันเวย์ที่นู่น ซึ่งนิตยสาร Ray กับ S Cawaii! ที่ไทยเขาอยู่ออฟฟิศเดียวกันกับมิสทีนฯ อยู่แล้ว ทำให้เอเจนซี่ญี่ปุ่นเข้ามาหาเราได้โดยตรง และเขาก็เลือกให้เราเข้าไปแคสต์ จนสุดท้ายก็ถูกเลือกไปแบบงงๆ 

ซึ่งตอนไปทำงานที่นู่นเราได้ไปเจอกับพวกบรรณาธิการของนิตยสารญี่ปุ่น เขาเห็นว่าหน้าเราเก๋ดี ดูจะแต่งได้หลายลุค ก็เลยเริ่มสนใจและติดต่อผ่านเอเจนซี่ญี่ปุ่นที่เป็นคนพาเราไปทีแรก ว่าอยากชวนเราไปถ่ายให้นิตยสาร Ray ที่ญี่ปุ่น

ตอนที่ได้ยินข้อเสนอครั้งแรกเรารู้สึกยังไง

เราเห็นโอกาสอยู่ แต่อีกใจก็คิดว่าจะรอดเหรอ จนสุดท้ายตัดสินใจว่าไป เพราะมันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เรานอยด์งานที่ไทยไง เราก็เลยเริ่มสนใจมากขึ้น 

ส่วนพี่ชายเขาอยากให้เราได้ไปต่างประเทศอยู่แล้ว ก็เลยไปช่วยคุยกับแม่ให้ เพราะแม่เขาห่วงมาก ตอนนั้นเราอายุแค่สิบห้า มันต้องลุ้นเลยว่าเราไปอยู่นู่นแล้วจะรอดหรือจะพัง เพราะมันก็เป็นไปได้ทั้งสองทาง

ก่อนไปคุณจินตนาการชีวิตนางแบบไทยในญี่ปุ่นไว้ว่าอย่างไร

ไม่ได้คิดเลย นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่ามันจะเป็นยังไง คิดแค่ว่าฉันจะไปทำงาน จะต้องได้ทำงาน

มุกดา นรินทร์รักษ์ อดีตเด็กสาวที่แคสต์ไม่ผ่าน ผู้กลายมาเป็นเจ้าแม่เรตติ้งแห่งช่อง 7HD

แล้วของจริงเป็นอย่างไร

ตอนสามเดือนแรกเหมือนเป็นช่วงทดลองงาน ชีวิตเราตอนนั้นสบายมาก มีความสุขมาก นี่แหละชีวิตในฝันเลย เพราะเขาให้บินไปๆ กลับๆ เดือนหนึ่งไปอยู่แค่หนึ่งอาทิตย์ ซึ่งตอนนั้นเรามีล่าม มีงบสำหรับทุกอย่าง มีทีมงานตามมาดูแล คอยประกบตลอดเวลา ระหว่างนั้นเลยไม่ได้รู้สึกถึงความลำบากยากเย็นเท่าไหร่

แต่พอไปอยู่จริงเท่านั้นแหละ มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีคนคอยไปไหนมาไหนด้วย ไม่มีคนช่วยคอยเคลียร์ปัญหาในสิ่งที่เราไม่เข้าใจหรือเราทำไม่ได้ กลายเป็นว่าเราเจอเต็มๆ เดือนแรกที่เราไปอยู่ด้วยตัวเองนั่นคือตอนที่จุกที่สุดเลย 

อะไรคือปัญหาแรกที่เราต้องเจอ

การใช้เงิน เพราะค่าครองชีพที่ญี่ปุ่นเขาสูงมาก ดังนั้นเราต้องแพลนดีๆ เพื่อเอาเงินตรงนี้ไปจ่ายค่าห้อง ซื้ออาหารมาทำกินในหนึ่งเดือน โดยที่ยังเหลือเงินพอสำหรับค่ารถไฟ ค่าแท็กซี่ในโอกาสฉุกละหุก 

แต่ละเดือนคุณใช้เงินประมาณเท่าไหร่

อย่างต่ำๆ ก็ประมาณแสนห้า

บาท?

บาท แค่ค่าเช่าบ้านก็ประมาณแปดหมื่นแล้ว เป็นหอพักที่บริษัทเขาจัดให้นางแบบทุกคนอยู่รวมกัน แล้วก็จะมีเมเนเจอร์เข้ามาเช็กความเรียบร้อยทุกอาทิตย์ เราก็มีหน้าที่จัดการซื้ออาหารมาทำกินเอง อะไรแบบนี้

แล้วการถ่ายงานให้นิตยสารแฟชั่นที่ญี่ปุ่นเป็นยังไง

ทุกคนโปรมาก ช่วงแรกๆ ที่เราถ่ายคนเดียวมันยังไม่รู้สึกหรอก แต่พอเราไปถ่ายกับคนอื่นเท่านั้นแหละ มีครั้งหนึ่งเราได้ถ่ายกับนางแบบอันดับสามของ Ray แค่เขาเดินเข้าไปแป๊บเดียว โพสต์ไปเกือบร้อยท่า แล้วรูปที่ออกมาก็สวยมากหมดเลย ตอนนั้นเรานั่งดูอยู่หน้ามอนิเตอร์ เลยได้เห็นจังหวะการเปลี่ยนท่าของเขา บางทีมันต่างกันแค่การยิ้ม องศาหัวไหล่ หรือวิธีการโยกกระเป๋า แค่นั้นเอง

นั่นคือครั้งแรกที่คุณได้เข้าใจข้อบกพร่องของตัวเองใช่ไหม

ใช่ ตอนนั้นเครียดเลย แค่เห็นเขาโพสต์ก็รู้แล้วว่าเราไม่มีทางเป๊ะแบบนั้นได้เลยถ้าเราไม่ฝึก ตอนนั้นวิธีโพสต์ของเรามันค่อนข้างแข็งและจริงจังเกินไป นั่นคือช่วงแรกที่เราโดนคอมเมนต์ว่าอยากให้เปลี่ยนสไตล์การโพสต์ เพื่อให้เป็นธรรมชาติขึ้น และมีความน่ารักเบาๆ แบบไม่พยายาม

มุกดา นรินทร์รักษ์ อดีตเด็กสาวที่แคสต์ไม่ผ่าน ผู้กลายมาเป็นเจ้าแม่เรตติ้งแห่งช่อง 7HD

วิธีการคอมเมนต์งานของคนญี่ปุ่นเป็นยังไง

เขาจะเป็นฟีดแบ็กหลังทำงานเสร็จ ไม่ได้ติเราตรงหน้างาน เพราะส่วนหนึ่งคือเขาก็เข้าใจว่าเราใหม่ ดังนั้นจึงไม่ว่าอะไรแรงๆ

แต่หลังจากนั้นพี่เมเนเจอร์คนญี่ปุ่นเขาก็เอาหนังสือมาให้ประมาณสิบถึงยี่สิบเล่มเลย บอกให้เราศึกษาทั้งลักษณะการโพสต์ของคนญี่ปุ่น และแนวนิตยสารแต่ละหัว เขาแยกให้เราดูเลยว่าแนวนี้คือ Ray ถ้าแบบอื่นคือไม่ใช่ เราก็ต้องศึกษาดูบ่อยๆ แล้วลองโพสต์เองหน้ากระจก เราแค่ต้องฝึก ต้องจำ และต้องพยายาม

งานถ่ายแบบของคุณไม่ได้จบแค่หน้ากล้องถูกไหม

ใช่ คนญี่ปุ่นเขาสอนให้เราพัฒนาเสมอนะ ถึงจะเป็นเด็กในสังกัดตัวเอง เขาจะไม่มีการบอกว่าได้เท่านี้ก็เก่งแล้ว แต่เขาจะผลักดันเราไปเรื่อยๆ แล้วก็มักจะเอาเราไปเปรียบเทียบกับนางแบบคนอื่นเสมอ เพื่อชี้ให้เห็นว่าคุณต้องเก่งกว่านี้นะ เพื่อที่วันหน้าคุณจะได้ดีขึ้นไปอีก ถ้าเราทำไม่ได้ก็ด่า แต่ด่าแล้วก็จบตรงนั้น

คือด่าแล้วไม่โกรธกันต่อ

ใช่ บางทีด่าเสร็จแล้วชวนไปกินข้าว (หัวเราะ) ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน แต่วิธีการด่าของเขามันไม่ได้รุนแรงนะ จะเป็นน้ำเสียงของการสอนมากกว่า

มันคือจุดที่ทำให้เรารู้ตัวว่าถ้าไม่เก่งขึ้น เราก็ต้องอยู่ที่เดิม เพราะรอบๆ มันมีคนที่เก่งกว่าเราอยู่แล้ว คือไม่ใช่ว่าเป็นการแข่งกันหรอก เพราะทุกคนก็มีดีในตัวคนละแบบ แต่เราก็ต้องโชว์ให้เขาเห็น ไม่อย่างนั้นเขาก็คงเลือกเราไม่ได้เหมือนกัน

จากที่ลงแรงกับงานถ่ายแบบไปไม่น้อย แล้วอะไรทำให้นึกอยากกลับไทย

สิ่งที่เขาบอกหนูตั้งแต่แรกก่อนที่หนูจะไปนู่นก็คือ หน้าหนูมันไปได้กับนิตยสารญี่ปุ่นนะ แต่ถ้าอยากจะดัง คุณต้องอยู่ที่นี่สิบปี หรือถ้าอย่างเร็วที่สุดเลยก็คือหกปี ถึงจะเริ่มมีผลงานออกทีวีหรือรายการต่างๆ แล้วหลังจากนั้นคุณก็อยู่ยาวไปเลย แต่ที่สำคัญคือคุณต้องให้เวลากับมัน 

แต่ก็นั่นแหละ ตอนนั้นด้วยความที่เรายังเด็ก ส่วนหนึ่งเราก็กลัว การไปทำงานที่นู่นในฐานะคนไทยมันให้ความรู้สึกคือเหมือนขาเรามันลอยอยู่ เวลาหกปีที่เขาพูดมันอาจจะจริงก็ได้ แต่อีกใจหนึ่งเราก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า

มุกดา นรินทร์รักษ์ อดีตเด็กสาวที่แคสต์ไม่ผ่าน ผู้กลายมาเป็นเจ้าแม่เรตติ้งแห่งช่อง 7HD

ที่บ้านไม่ตกใจเหรอกับการที่คุณจะต้องเสี่ยงถึงแปดปี

แม่ไม่รู้! (หัวเราะ) เป็นเราเองที่รับรู้ความเสี่ยงทั้งหมด เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเขาก็บอกว่า สามสี่ปีแรกคุณจะได้ชีวิตเพื่อฝึกการทำงานล้วนๆ มันคือการรอ หลังจากนั้นถึงเป็นชีวิตจริง

แปลว่าชีวิตของคุณที่นู่นยังไม่พ้นช่วงรองานที่เขาบอกเลยเหรอ

ก็ใช่ แต่โดยภาพรวมมันดีขึ้นเรื่อยๆ นะ ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกแย่เลย แค่เราจะเหนื่อยกว่าทุกคน เพราะต้องไปเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วย และในหนึ่งอาทิตย์เขาอาจให้เราไปแคสต์งานสักสามสี่วัน ในขณะที่โรงเรียนเขาจะเรียนวันละสี่บท ตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น เท่ากับว่าอาทิตย์หนึ่งเราจะขาดเรียนอย่างน้อยสิบสองบทโดยประมาณ

ภาษาคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณตัดสินใจกลับไทยหรือเปล่า

ถ้าตัดสินใจอยู่นู่นต่อ เราอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักสามปีกว่าจะพูดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าตัดสินใจกลับมาไทย พอกลับมาปุ๊บเราพูดได้เลยร้อยเปอร์เซ็นต์ มันต่างกันเยอะมากเลยนะ 

ก่อนหน้านั้นทุกครั้งที่เรากลับมาต่อวีซ่า ก็จะไปแคสติ้ง รับงานโฆษณา หรือเล่นเอ็มวีอยู่เรื่อยๆ จนถึงรอบที่กลับมาต่อวีซ่าเพื่อเตรียมจะไปอยู่ที่ญี่ปุ่นยาวแล้ว เราก็ลองให้โอกาสสุดท้ายกับตัวเองในการแคสติ้งกับช่อง 7HD เป็นครั้งที่สาม ซึ่งเราก็ทำได้ในที่สุด 

พอโอกาสตรงนี้มันทำให้เรารู้สึกมั่นใจมากกว่า สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะกลับมา

ความรู้สึกตอนกลับมาถ่ายละครเรื่องแรกเป็นยังไง

กลัว คือตอนนั้นถ้าให้เราไปยืนโพสต์หน้ากล้องเฉยๆ เราไม่กลัวแล้ว เพราะเราเคยถ่ายงานที่ญี่ปุ่น หรือให้เราถ่ายภาพเคลื่อนไหวสั้นๆ แบบงานโฆษณาเราก็เคยผ่านมาแล้ว ดังนั้นความกลัวใหม่ของเรามันจึงเป็นงานละคร และจากเรื่องแรกมาเรื่องที่สอง บทมันเต็มตัวมากขึ้น เยอะขึ้น แค่นั้นเราก็ต้องลุ้นมากแล้ว

มุกดา นรินทร์รักษ์ อดีตเด็กสาวที่แคสต์ไม่ผ่าน ผู้กลายมาเป็นเจ้าแม่เรตติ้งแห่งช่อง 7HD

แล้วคุณจัดการกับฟีดแบ็กของคนดูอย่างไร เพราะนี่ก็เป็นอีกอย่างที่คุณน่าจะไม่เคยเจอมาก่อน

ตอนที่เปิดตัวเรื่อง มัสยา มีคนบอกเยอะมาก ว่าทำไมถึงเอาน้องมาเป็นนางเอก เพราะนั่นก็แค่เรื่องที่สองของเรา บางกระแสเขาก็มองว่าเร็วไป นี่คือตั้งแต่ก่อนออนแอร์เลยนะ บางคนก็บอกว่าน้องยังพูดไม่ชัดเลย ซึ่งเราก็เครียดแหละ แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเรามีโอกาสแล้วก็ต้องเอาให้เต็มที่แล้วกัน จากนั้นผลมันจะเป็นยังไงเราก็ต้องรับ ตั้งการ์ดรอรับอยู่ตลอดแหละ (หัวเราะ)

เมื่อเปิดกล้องจริงๆ เรารับมือยังไงกับการขยับสู่บทนางเอกเต็มตัว

ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงการรับมืออะไรเลย แต่กลัวว่าเขาจะถอนเราไหมมากกว่า (หัวเราะ) จาก ขมิ้นกับปูน ที่เราเป็นคู่สาม แปลว่าบทหนักมันไม่ได้อยู่ที่เราไง แต่พอมาเรื่องที่สองเนี่ย เรากลายเป็นตัวนำ ชื่อเรื่องคือ มัสยา มันคือชื่อตัวละครเรา ซึ่งถ้าเมื่อไหร่ที่ชื่อเรื่องมันเป็นชื่อของเรา ก็แปลว่าเราคือตัวนำนะ ไม่ใช่พระเอก 

ตอนนั้นเราทำได้แค่ลุ้นกับตัวเองทุกวัน มันเสียวตลอด ช่วงแรกๆ ประมาณคิวที่หนึ่งถึงสิบคือระยะที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ถ้าเราทำไม่ได้ ทำไม่ไหวจริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีการเปลี่ยนตัว ยิ่งเป็นละครกลางคืน ความเสี่ยงมันเยอะ เราจึงคิดตลอดว่าทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน ถ้าสุดท้ายมันไม่ได้เราก็เข้าใจ

เทียบกับมุกดาในวัย 15 ปีตอนนั้น เราได้รู้ข้อบกพร่องของตัวเองแล้วใช่ไหม

รู้ อย่างแรกเลยคือแอคติ้งของเรามันก็ยังไม่ได้เก่งขนาดนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรับไหวไหมกับบทบาทที่ไม่เคยเล่น อย่างตอน ขมิ้นกับปูน เราเจอกับบทดราม่า ซึ่งเราก็ยังพอไหว แต่ถ้าบทอื่นๆ ที่เราไม่เคยเจอล่ะ อย่างซีนเข้าพระเข้านางซึ่งไม่มีใน ขมิ้นกับปูน อย่างมากที่สุดก็มีแค่จับมือ ในขณะที่ มัสยา นี่คือมีทั้งกอด จูบ หอม มีหมดเลย มันก็เป็นอะไรใหม่ๆ และด้วยความที่มันใหม่นี่แหละ อะไรเราไม่เคยลอง มันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา

มุกดา นรินทร์รักษ์ อดีตเด็กสาวที่แคสต์ไม่ผ่าน ผู้กลายมาเป็นเจ้าแม่เรตติ้งแห่งช่อง 7HD

แล้วคุณเอาชนะความกลัวเหล่านั้นมาได้อย่างไร

เราเน้นการเรียนรู้หน้างานเป็นหลัก โชคดีที่ตอนถ่าย มัสยา เรามีพี่ธง (ธงชัย ประสงค์สันติ) ซึ่งเขาคอยสอนตลอด ไม่ปล่อยเลย ถ้าเขาเจออะไรที่รู้สึกว่าน้องต้องรู้ ซึ่งก็ทำให้เราค่อยๆ ซึมซับไปเรื่อยๆ

แต่ที่สำคัญก็คือ เราต้องเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว เพราะมันมีอะไรต้องเรียนรู้เยอะมากในความเป็นละคร ทั้งเรื่องแสง บทละคร จังหวะการรับส่ง หรือบล็อกกิ้ง ซึ่งถ้าเราไม่สามารถทำทุกอย่างให้มารวมกันเป็นหนึ่งเวลาถ่าย มันจะเห็นชัดมากว่าเรากำลังเกร็ง กลัวบล็อกกิ้งหลุด หรือกำลังรอเขาพูดจบเพื่อที่เราจะพูดต่อ ซึ่งทุกอย่างมันเห็นในกล้องหมดเลยนะ

เราต้องดู ต้องฟัง ต้องเช็ก ช่วงที่ถ่าย มัสยา เราจะวิ่งไปกลับหน้าหน้าเซ็ตกับมอนิเตอร์เยอะมาก เพราะในกล้องมันเห็นชัดที่สุด ดังนั้นถ้าเราฟังผู้กำกับแล้ววิ่งมาดูด้วย ให้เขาชี้ให้เราเห็นไปเลย มันก็จะดีกับตัวเรามากกว่า สุดท้ายแล้วถ้าเราไม่พยายามที่จะเข้าใจหรือเรียนรู้ มันก็จบ เราคงถูกเปลี่ยนตัวไปแล้ว (หัวเราะ) 

นอกจากความกลัวที่จะถูกเปลี่ยนตัวแล้ว อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณทำงานหนักขนาดนี้

ถ้าว่ากันตรงๆ เราเชื่อว่าสมัยเราเล่นละครเรื่องแรกคงมีหลายจุดที่เราหลุด เล่นพลาด แต่ทีมตัดต่อเขาก็ช่วยเราเต็มที่ แต่เราเองก็ต้องช่วยตัวเองด้วย คือมันต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป ถ้าวันนี้เราทำได้แค่นี้ ครั้งหน้าเราต้องทำได้มากกว่าเดิม มันก็เท่านั้นเอง เพราะในวันนี้ที่เขายังช่วยเราได้ แต่วันหน้า เราก็ต้องช่วยตัวเองให้ได้ด้วย 

บทบาทล่าสุดของคุณจากเรื่อง โซ่เวรี ดูจะเติบโตขึ้นมากเพราะรับบทเป็นคุณแม่ยังสาว

เราชอบนะที่ได้ลองบทบาทใหม่ๆ เพราะก่อนหน้านี้เราก็จะได้แต่บทที่มีความเป็นเด็ก แก่นแก้ว ขี้เล่น และสดใสเสมอ เพราะตัวละทุกตัวเด็กกว่าเราในชีวิตจริงตลอดเลย ซึ่งบทพวกนี้เราก็ชอบนะ แต่พอถึงวันหนึ่งที่เราได้บทที่มันท้าทายตัวเรามากขึ้น มันก็สนุกที่ต้องพยายามเรียนรู้ และลองดูว่าเราจะทำได้ไหม

เราคิดว่าสุดท้ายแล้วมันต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะในอนาคตเราไม่อยากจะไปเล่นบทบาทที่ยากขึ้น ถ้าหากเรายังไม่เคยผ่านบทเหล่านี้มาก่อน อย่างเรื่อง โซ่เวรี นี่ก็รู้สึกว่าเป็นบทที่โตขึ้นมาประมาณหนึ่ง ในระดับที่กำลังดี ในแง่ของการเข้าถึงตัวละคร คือมันก็มีจุดที่เรากลัวแหละ แต่อีกมุมหนึ่งก็รู้สึกว่าเราน่าจะทำได้อยู่

มุกดา นรินทร์รักษ์ อดีตเด็กสาวที่แคสต์ไม่ผ่าน ผู้กลายมาเป็นเจ้าแม่เรตติ้งแห่งช่อง 7HD

นอกจากบทบาทในละครที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตคุณอยากทำอะไร

เราคิดว่าการเป็นนักแสดงอาจจะไม่ได้เป็นหน้าที่หลักของเราไปตลอด  ถึงจุดหนึ่งเราอาจต้องเริ่มขยับไปทำอย่างอื่น ซึ่งเราสนใจเรื่องการทำธุรกิจ อาจจะเป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างแบรนด์เสื้อผ้า เพราะเรารู้ตัวอยู่แล้วว่าเป็นคนทำงานออฟฟิศไม่ได้ คือถ้าให้เราตื่นไปกองถ่ายละครตั้งแต่หกโมงเช้า กลับถึงบ้านสี่ทุ่ม อันนี้เราโอเคนะ แต่ถ้าให้ออกมานั่งทำงานออฟฟิศตอนแปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น อันนี้คงทำไม่ได้ 

ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่าตอนนี้เรารักทางนี้มากแล้ว อะไรที่เรารู้สึกว่ามันใช่ มันคือทางของเรา เราก็จะมีแรงขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ จะให้ตื่นกี่โมงก็ไปได้ เราคิดว่านี่คือทางที่เราชอบ

เทียบกับตอนที่คุณได้เจอนางแบบแถวหน้าที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่มาเล่นละคร มีนักแสดงคนไหนที่ทำให้คุณรู้สึกว้าว หรือเป็นแบบอย่างในการทำงานบ้างไหม

แม่ตุ๊ก (ดวงตา ตุงคะมณี) เราเคยร่วมงานกับเขาแล้วรู้สึกอะเมซิ่งมากเลย เวลาอยู่นอกฉากเขาจะนั่งทำเจลลี่ เย็บผ้า ร้อยพวงมาลัย แต่พอเข้าฉากแล้ว ถ้าต้องรับบทร้าย ก็โคตรร้ายทั้งน้ำเสียงและสายตา แต่ถ้าต้องเป็นคุณยายที่ใจดี๊ใจดี เขาก็ทำได้หลุดภาพร้ายไปเลยเหมือนกัน 

ยิ่งเขามีอายุขนาดนี้แล้ว แต่แม่ตุ๊กเป็นคนที่ทำการบ้านมาเป๊ะมาก เวลาถ่ายแทบไม่มีเทคเลย เท่าที่รู้จักเราคิดว่าแม่ตุ๊กเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายมากๆ ดังนั้นถ้าพูดถึงแบบอย่างในการเป็นนักแสดง เราก็คงอยากเล่นละครต่อไปจนแก่ และเล่นได้หลากหลายบทบาทเหมือนกับแม่ตุ๊ก (ยิ้ม)

มุกดา นรินทร์รักษ์ อดีตเด็กสาวที่แคสต์ไม่ผ่าน ผู้กลายมาเป็นเจ้าแม่เรตติ้งแห่งช่อง 7HD

Writer

Avatar

สาริศา เลิศวัฒนากิจกุล

เด็กนิเทศ เอกวารสารฯ กำลังอยู่ในช่วงหัดเขียนอย่างจริงจัง แต่บางครั้งก็ชอบหนีไปวาดรูปเล่น มีไอศครีมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในยามอ่อนล้า

Photographer

Avatar

นินทร์ นรินทรกุล ณ อยุธยา

นินทร์ชอบถ่ายรูปมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ซื้อฟิล์มให้ไม่ยั้ง ตื่นเต้นกับเสียงชัตเตอร์เสมอต้นเสมอปลาย เพื่อนชอบชวนไปทะเล ไม่ใช่เพราะนินทร์น่าคบเพียงอย่างเดียวแน่นอน :)