Mo. (โม, ย่อมาจาก Minimal objects) ไม่ใช่แบรนด์กระเป๋าแฟชั่น
หากแต่เป็นแบรนด์กระเป๋าฟังก์ชันที่คิดมาจากปัญหาจริงของผู้หญิงมีของ (เยอะ) ทั้งกระเป๋ารุ่น Doctor Mo. ที่ดังสุดๆ ในหมู่สถาปนิกและนักออกแบบ หรือกระเป๋าสตางค์รุ่น Mo. 80 ใบที่เป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ซึ่งแจ้งเกิดในเว็บไซต์ระดมทุน มีผู้สนใจกระเป๋าสตางค์รุ่นนี้จากทั่วโลกจนไปถึงเป้าหมาย 25,000 เหรียญฯ หรือ 800,000 บาทในเวลาอันรวดเร็ว
Mo. เกิดขึ้นจากความหลงใหลการแก้ปัญหาด้วยงานออกแบบของ รสลิน จรรยาศักดิ์
“เรารู้สึกสนุกทุกครั้ง เมื่อเห็นอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีคำถามเกิดขึ้นในหัวตลอดเวลาว่าสิ่งนั้นน่าจะพัฒนาต่ออย่างไรได้อีกบ้าง” เธอบอกเราด้วยตาที่เป็นกระกาย
รสลินเป็นนักออกแบบผู้ชอบแบรนด์ของแต่งบ้าน ชอบของที่หน้าตาเรียบๆ กระเป๋าจากเธอจึงเรียบหรูโดนใจสาวๆ มินิมอลสไตล์
สิ่งที่น่าสนใจคือ ภายใต้ความมินิมอลนั้น กระเป๋า Mo. สะท้อนบุคลิกบางอย่างซึ่งเปลี่ยนใจสาวกแบรนด์เนมให้หันมาใช้ Mo. กันทั่วเมือง
“กระเป๋าที่ใช้งานง่าย กระเป๋าที่ไม่แสดงออกฐานะที่แท้จริงของผู้ใช้” รสลินพูดพร้อมยื่นกระเป๋ารุ่นโปรดของเธอให้เราลองถือ
เราไม่อาจบอกแทนใครว่า Mo. เป็นกระเป๋าที่ตอบโจทย์ทุกคนหรือไม่ จนกว่าคุณจะได้ฟังเรื่องราวของแบรนด์นี้ และไปลองจับกระเป๋าใบจริงดูสักครั้ง
กระเป๋าของนักออกแบบ
“เราชอบงานประดิดประดอยตั้งแต่เด็ก เอาขันมาทำนาฬิกา ร้อยเข็มกลัดกับเชือกรองเท้า หยิบของมาพลิกแพลง” อดีตนักเรียนออกแบบเล่าย้อนความสนใจในวัยเด็ก ซึ่งส่งผลต่อชีวิตของเธอในวันนี้
แม้สอบได้ที่ 1 ของชั้น และได้รางวัลด้านการออกแบบมามากมายระหว่างเรียนที่คณะออกแบบอุตสาหการจากเมืองซิดนีย์ รสลินกลับเลือกที่จะเริ่มต้นทำงานในสายการตลาดกับบริษัทค้าปลีกแห่งหนึ่ง เพราะอยากเรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภคจากตลาดจริงเพื่อใช้ในงานวางแผนการตลาดและออกแบบผลิตภัณฑ์
โดยระหว่างที่ที่รสลินเดินทางไปเรียนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่น เธอใช้เวลาว่างทั้งบ่ายลงเรียนทำเครื่องหนังกับสตูดิโอเล็กๆ ซึ่งเธอต้องแสดงความตั้งใจจริงอย่างหนักหน่วงก่อนสมัครเข้าเรียน เพราะอุปสรรคทางภาษาและจำนวนนักเรียนต่อชั้นที่เปิดรับเพียง 4 คนเท่านั้น
“ที่เริ่มต้นกับเรียนรู้การทำเครื่องหนังก่อน เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ต้นทุนไม่มากเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่อาจจะต้องขึ้นแบบหรือผ่านกระบวนการยุ่งยากในโรงงานเพื่อผลิตในจำนวนมาก” รสลินเล่า ก่อนเสริมว่า กระเป๋าเป็นศาสตร์ที่ผสมผสานระหว่างฟังก์ชันและแฟชั่น และไม่ใหญ่โตแบบเฟอร์นิเจอร์ ทำให้เธอลงมือทำได้เองทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ
เวลาผ่านไป 1 ปี รสลินรู้วิธีทำกระเป๋า 2 – 3 แบบ ทั้งทำไว้ใช้เองและทำให้เพื่อนเป็นของขวัญ ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาเป็นกระเป๋าสตางค์ในแบบทรงที่อยากใช้แต่ไม่มีขายในท้องตลาด
“เรารู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่า Mo. ไม่ใช่กระเป๋าแฟชั่น แต่เป็นกระเป๋าที่คิดจากฟังก์ชันการใช้งาน ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาของผู้หญิง”
แค่ได้ยินก็ตื่นเต้นแล้ว มาดูกันว่ากระเป๋าของ Mo. แก้ปัญหาอะไรของผู้หญิงเยอะๆ อย่างเราบ้าง
รู้ว่าบัตรเยอะ
กระเป๋าที่เปิดมาแล้วเห็นบัตรวางเรียงกัน คือโจทย์แรกของรสลิน
เธอพบว่าผู้ใช้งานกระเป๋าส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่น้อยไปกับการหาบัตรที่ต้องการ เมื่อเก็บข้อมูลก็พบว่ายังไม่มีแบรนด์ไหนในท้องตลาดตอบโจทย์นี้
“เราชอบงานออกแบบที่สอดคล้องกับสรีระร่างกาย เช่น การใช้มือขวาหยิบบัตรจากกระเป๋าได้ทันทีเข้ากับองศาการแกว่งข้อมือ” หลังจากทดลองร่างแบบ-ทำตัวอย่าง-ทดลองใช้ ปรับจนพอใจแล้วส่งแบบนั้นให้โรงงานขึ้นตัวอย่างจริง รสลินในนามแบรนด์ Mo. ก็ประกาศระดมทุนกระเป๋ารุ่น ‘Mo. 80’ ในเว็บไซต์ indiegogo.com
จากตัวอย่างแบรนด์ในหมวดแฟชั่นที่แจ้งเกิดและประสบความสำเร็จผ่านการระดมทุน เช่น KEEP PURSUING จากสหรัฐอเมริกา และ linjer จากนอร์เวย์ สร้างความมั่นใจให้แก่รสลิน โดยเธอตั้งเป้าหมายการระดมทุนไว้ที่ 25,000 เหรียญฯ หรือประมาณ 800,000 บาท ซึ่งคิดเป็นกระเป๋าจำนวน 200 ใบ
เบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้การระดมทุนลุล่วงภายในระยะเวลา 1 เดือน คือ การกระจายข่าวออกไปให้มากที่สุด
“เราใช้ความพยายามอย่างมากกับการเขียน Press Release ส่งข่าวการระดมทุนนี้ถึงเว็บไซต์และสื่อทั้งในและต่างประเทศกว่า 100 สำนัก ด้วยตัวเอง
“หัวใจสำคัญของการระดมทุนคือ การทำให้คนที่ไม่รู้จักเราเชื่อใจและมั่นใจในเราจนยอมจ่ายเงินจำนวนไม่น้อย แล้วรอคอยรับของในเวลาอีก 2 – 3 เดือน แทนที่จะออกไปซื้อแบรนด์ที่มีอยู่ในตลาด” รสลินเล่า ก่อนเสริมว่า เธอจะคอยอัพเดตที่หน้าเว็บไซต์อยู่ตลอดว่านำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้กับเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กับการทำต้นแบบ นอกจากนั้นจะคอยส่งข่าวความคืบหน้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้
จะเห็นว่านอกจากไอเดียที่สดใหม่ การนำเสนอฟังก์ชันของกระเป๋าผ่านวิดีโอที่ทำอย่างตั้งใจก็เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเหตุผลที่รสลินชวนเพื่อนพ้องช่างภาพ ช่างวิดีโอ สไตลิสต์ ที่มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับแบรนด์ไทย มารวมตัวกันในงานชิ้นนี้
รู้ว่าของเยอะ
หลังจากวันที่ ‘Mo. 80’ ส่งถึงมือลูกค้าที่มีอยู่ทั่วโลก รสลินก็เริ่มฝันถึงกระเป๋าใบที่ใหญ่ขึ้น
จากความบังเอิญที่เห็นกระเป๋าทรงคุณหมอของอาจารย์ญี่ปุ่นท่านหนึ่ง เธอคิดอยากดัดแปลงกระเป๋าผู้ชายใบนั้นให้กลายเป็นกระเป๋าผู้หญิงใช้งานง่าย “สำหรับเรามันน่ารักมาก มีคาน มีเหล็ก มีความเป็นรูปทรงตื้นลึกหนาบาง ตอนนั้นคิดแต่ว่าน่าสนุกดีถ้าทำออกมา” รสลินเล่า
ผลปรากฏว่ากระเป๋ารุ่น ‘Doctor Mo.’ ดังเป็นพลุแตก เพราะทั้งน่ารักและตอบโจทย์เรื่องความจุ ช่างรู้ใจผู้หญิงมีของ (เยอะ) อย่างชาวเรา
รู้ว่าออกเดินทางเยอะ
กระเป๋ารุ่นอื่นๆ ของ Mo ได้แรงบันดาลใจจากโจทย์ที่แตกต่างกันไป เช่น รุ่นยอดฮิตอีกรุ่นอย่าง ‘Shopper Mo.’ กระเป๋าทรงกล่องใบใหญ่เหมาะกับคนชอบเดินทาง เพราะใส่กล้องและเอกสารได้พร้อมกัน จะใช้ถือก็ได้ คล้องแขนก็ดี หรือสีสันของกระเป๋าสตางค์ที่คิดมาจากอินไซต์การชอบสีสัน ไม่คุมโทนอย่างกระเป๋าใบหลัก “จะเห็นเลยว่ากระเป๋าสตางค์สีเรียบขายได้ยากกว่าสีแดงหรือสีเขียวเกี่ยวทรัพย์ตามความเชื่อส่วนบุคคล” รสลินเล่าติดตลกว่าเธอไม่ได้ตั้งใจออกแบบตามสีมงคล แต่ปรับวิธีสื่อสารในออนไลน์ให้สนุกขึ้นด้วยการพูดถึงสิ่งเหล่านี้บ้าง
รู้ว่าต้องไปงานเยอะ
เบื้องหน้าเราคือ กระเป๋ารุ่น ‘Full Moon’ ทรงกลมน่ารัก
จากโจทย์ว่า ทำไมกระเป๋าออกงานมักจะเล็กจนใส่อะไรมากไม่ค่อยได้ รสลินจึงออกแบบกระเป๋าสำหรับใช้ไปงานเลี้ยงที่ใบใหญ่พอจะใส่ของกระเป๋าสตางค์ใบยาว ทั้งยังใช้ได้ในชีวิตประจำวันและร่วมงานเลี้ยงกลางคืน โดยไม่ต้องพกกระเป๋าหลายใบอีกต่อไป
รู้ว่าใช้กระเป๋ามาเยอะ (แล้ว)
ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Mo. เป็นสถาปนิกสาวและนักออกแบบภายใน หรือเป็นคนที่เคยใช้กระเป๋ามากมายหลายระดับ ตั้งแต่ แบรนด์ทั่วไป จนถึงแบรนด์หรูหราราคาแพง และบางทีพวกเธอก็อยากได้กระเป๋าที่ใช้งานง่าย กระเป๋าที่ไม่แสดงออกฐานะที่แท้จริงของผู้ใช้
“ลูกค้าจะมาเล่าให้ฟังเสมอว่ากระเป๋าของเรามีจุดเหมือนหรือต่างกับแบรนด์ที่พวกเธอเคยใช้มาอย่างไรบ้าง ทำให้รู้ว่าสุดท้ายแล้วคนชอบใช้อะไรที่ง่าย ไม่หวือหวามาก” รสลินเล่าพร้อมรอยยิ้ม
รู้ว่าราคาเยอะ
มีวิธีที่ง่ายกว่ามากมายที่จะทำรายได้ให้กับแบรนด์ Mo. สบายๆ ตั้งแต่การวางสินค้าในห้างสรรพสินค้าในแผนกกระเป๋าสตรีให้ทุกคนมาทดลองจับ ซึ่งมีค่าธรรมเนียมการวางหน้าร้านที่ทำให้ราคากระเป๋าอาจจะต้องแพงขึ้น โดยที่ Mo. เพียงดูแลการผลิตให้เพียงพอ แต่ Mo. ไม่เลือกที่จะทำธุรกิจแบบนั้น
ในช่วงแรกรสลินใช้ช่องทางออนไลน์เป็นช่องทางขายหลักเพื่อลดต้นทุนส่วนต่าง เพราะเธอตั้งใจทำกระเป๋าคุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ ก่อนจะปรับแผนวางขายในร้านขายของนักออกแบบบ้าง และมีหน้าร้านเล็กๆ ซ่อนตัวอย่างลับๆ ในซอยประดิพัทธ์ ซึ่งเปิดแค่ 2 วันต่อสัปดาห์เพื่อควบคุมต้นทุนการมีหน้าร้าน
“หน้าร้านเปิดแค่วันพฤหัสบดีเผื่อให้คนทำงานแถวนี้ และวันอาทิตย์อีก 1 วันสำหรับคนที่อยู่ไกล”
รู้ว่าเข้มงวดเยอะ (ไปก็ไม่ดี)
ตลอดการสนทนารสลินจะย้ำเสมอว่า ลูกค้าเป็นผู้สอนวิชาการทำธุรกิจแบบที่หลักสูตรบริหารธุรกิจที่ไหนก็สอนไม่ได้
ครั้งหนึ่งเธอจริงจังกับการลดต้นทุนในธุรกิจมาเกินไปจนเกือบเสียลูกค้า
“เมื่อก่อนเรามีนโยบายซื้อออนไลน์ได้รับกล่องแต่ซื้อหน้าร้านจะไม่ได้รับ หรือหากลูกค้าขอถุงเพิ่มเราจะไม่ให้ และนั่นทำให้เขารู้สึกได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี หรือตอนที่ตั้งราคากระเป๋า เราไม่ได้คิดครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนของบริการหลังการขาย เมื่อลูกค้านำกระเป๋ามาซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่แล้วเราเก็บค่าซ่อม ลูกค้าก็รู้สึกไม่พอใจ ทำให้รู้ว่าเรื่องเล็กๆ แบบนี้มีผลกับความรู้สึกมาก เราเรียนรู้ว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ลูกค้ามีความสุข เราจะทำ ซึ่งหากมองให้ดีจะพบว่าต้นทุนการสร้างลูกค้าใหม่สูงกว่าการรักษาความรู้สึกลูกค้าเก่าด้วยซ้ำ” รสลินเล่า
รู้ว่าควรเตรียมพร้อมให้เยอะ
แม้จะอาจจะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดี แต่รสลินก็คิดไว้แล้วว่าในอนาคตต่อไป เธอตั้งใจจะทำกระเป๋าที่ช่วยให้ผู้หญิงจัดการเรื่องต่างๆ ในชีวิตดีขึ้นในด้านต่างๆ เช่น กระเป๋าออร์แกไนเซอร์ช่วยจัดการชีวิต หรือกระเป๋าเล็กๆ ใช้งานง่ายๆ สำหรับใส่ของกระจุกกระจิก โดยที่ใส่กระเป๋ากับกระเป๋าใบไหนก็ได้ดูเข้ากันดีทั้งหมด
พร้อมกันนี้ แม้จะมี Buyer จากต่างประเทศติดต่อเข้ามาจำนวนมาก แต่รสลินอยากให้ Mo. มีระบบหลังบ้านทั้งการผลิต การขนส่ง และบริการหลังการขาย ที่พร้อมมากกว่านี้ก่อน
“มาถึงวันนี้โจทย์ของการทำธุรกิจแตกต่างไปจากวันแรกอย่างไรบ้าง” เราถาม
“วันแรกเราแค่อยากลองดูว่าจะมีคนชอบไอเดียนี้ของเรามั้ย โอเค ดี มีคนชอบ จบ แต่วันนี้เราทำเพราะอยากให้แบรนด์ไทยไปอยู่ในระดับสากลให้ได้ อยากทำให้ลูกค้ามีความสุข จากการได้รับกระเป๋า ลองใช้และชอบมันมากๆ” รสลิน
Mo.
facebook : Mo.
instagram : mostory.co
Mo. Museum & Objects That Matter
เปิดเฉพาะวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ เวลา 12.00 – 20.00 น.
Lesson Learnt
“มองตัวเองลึกๆ ว่ามีความถนัดด้านใด ชอบอะไร และตลาดต้องการอะไร บางทีเราชอบแต่ตลาดไม่ชอบด้วยก็เป็นธุรกิจไม่ได้ หรือบางเรื่องที่เราชอบแต่เราไม่ถนัดเลยมันก็ออกมาไม่สุด ในการทำธุรกิจ เราจำเป็นต้องมองหาสิ่งที่เราชอบ ถนัด และตลาดต้องการเสมอ” รสลินทิ้งท้ายคำแนะนำ