หากเดินไปถามคนตามท้องถนนของกรุงเทพฯ คงมีไม่มากนักที่เคยได้ยินชื่อของ ‘อรอนงค์ หอมสมบัติ’ แต่ถ้าเปลี่ยนสถานที่จากเมืองหลวงของไทย ไปยังเมืองหลวงของประเทศลาวอย่างเวียงจันทน์ คงแทบไม่มีใครไม่รู้จักเธอ เพราะชื่อนี้ หมายความถึงเจ้าของตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สลาวประจำปี 2018 ผู้คว้ารางวัลชุดประจำชาติจากเวทีใหญ่ที่จัดขึ้นในประเทศไทย
นั่นคือด้านที่คนส่วนใหญ่รู้จักเธอ แต่อีกมุมของอรอนงค์ที่อาจไม่ได้มีใครรู้นัก คือเธอเป็นคนที่ทุ่มความสนใจให้กับเรื่องของสังคมอย่างเข้มเข้น ในวัย 24 เธอเป็นทั้ง Public figure ในฐานะนางงาม พนักงานด้านการสื่อสารให้กับองค์กร NGO แห่งหนึ่ง และเป็นผู้หญิงที่มีความฝันที่จะเชื่อมคนให้ใกล้กันมากขึ้นผ่านธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ด้วยเหตุนี้เราจึงนัดพบเธอในงาน YSEALI Summit ประจำปี 2019 เพื่อพูดคุยถึงชีวิตของเธอในด้านที่น้อยคนจะรู้จัก แต่น่าสนใจไม่แพ้ชัยชนะบนเวทีนางงาม
ในวันที่พบกันอรทำหน้าที่เป็นวิทยากรบรรยายความรู้ให้กับ ‘รุ่นน้อง’ YSEALI ของเธอ สลัดภาพของมิสยูนิเวิร์ส แล้วสวมหมวกของนักกิจกรรม นักรณรงค์เพื่อสังคม ซึ่งเป็นบทบาทที่หลงใหล จนถึงขั้นรัก เราเดินหาที่เงียบๆ เพื่อนั่งลง แล้วปล่อยให้เธอได้เผยแง่มุมนอกเวทีประกวดให้ฟัง
01
เรียนรู้ จากหลายสังคม
“ตอนเด็กๆ อรไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นนางงามเลย”
ประโยคนี้คือคำตอบของอร หลังเราเอ่ยคำถามแรกออกจากปาก และด้วยคำตอบนี้ เรายิ่งใคร่รู้ว่าคนที่ไม่เคยอยากเป็นนางงาม แต่กลับคว้ารางวัลใหญ่มาถึงสองรางวัลอย่างเธอมีก้าวเดินในชีวิตอย่างไร
อรย้อนเวลากลับไป แล้วขุดเอาความทรงจำของเด็กสาวคนหนึ่งในเมืองเวียงจันทน์มาบรรยายให้เราฟัง เด็กสาวคนนั้นเกลียดวิชาคณิตศาสตร์ไม่ต่างจากนักเรียนหลายๆ คนในวัยเดียวกัน แต่เธอรักวิชาประวัติศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ความชอบเรื่องภาษานี้ทำให้เธอรีบคว้าโอกาสในการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อครั้งวัย 16 ปี
“อรได้ไปแลกเปลี่ยนตอนอายุ 16 ปี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับเพื่อนๆ จากหลากหลายประเทศ มันเหมือนเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับเรา และทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มีอะไรอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้ เราได้เห็นทั้งจุดอ่อนของตัวเอง และได้ฟังปัญหาหลายๆ ด้านของเพื่อนที่มาจากแต่ละที่”
“การเป็นคนอายุ 16 ที่ต้องไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวมันน่าตื่นเต้นไหม” เราถาม
“ก็น่าดีใจนะ แต่ตอนนั้นภาษาอังกฤษของเรายังไม่ค่อยดีเท่าไร มันก็เลยมีความกดดันและเสียดายว่า บางทีเราน่าจะสนทนาได้ดีกว่านี้ เราน่าจะอธิบายความคิดของเราได้ดีกว่านี้” เสียงของอรหยุดไป เหมือนกำลังนึกถึงความรู้สึกในตอนนั้น
“แต่ทุกๆ ความกลัวและกดดัน มันก็กลายมาเป็นแรงผลักดันให้เราไปเรียนรู้เพิ่ม ทำให้เราได้รู้ว่าควรพัฒนาตัวเองในจุดไหน” เธอรีบต่อประโยค เพื่ออธิบายว่าความกลัวไม่ได้หมายถึงการถอยหนีแต่เพียงอย่างเดียว
หลังจากกลับมาพร้อมความเสียดายในครั้งแรก อรก็ริเริ่มแผนการในใจว่าหลังจากนี้เธอจะเดินหน้าเผชิญกับความกลัวให้มากที่สุด เธอลงชื่อเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนอีกมากมายหลังจากนั้น เรียกได้ว่าตลอดชีวิตมัธยมปลาย เธอไปๆ มาๆ ระหว่างลาวและต่างประเทศ จนความกลัวค่อยๆ จางหายไป เหลือไว้แต่ความสนุกที่ช่วยจุดประกายความฝันให้กับเธอ
“อรก็ฝันอยากเป็นทูตมาตั้งแต่ตอนที่ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน คือเราชอบการได้เป็นตัวแทน ได้สื่อสารเพื่อเชื่อมความเข้าใจระหว่างคน ระหว่างประเทศ เราพบว่าการมีบทสนทนาที่ดีมันทำให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งต่อยอดไปเป็นการพัฒนาในด้านอื่นๆ ได้อีกมากมาย”
เมื่อถึงวัยเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา อรจึงมุ่งทำตามฝันของเธอโดยการสมัครทุนเรียนต่อด้านการทูต ณ ประเทศฮังการี ซึ่งตลอดช่วงเวลา 3 ปีที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอก็ได้สั่งสมความรู้และทักษะมามากมายเกี่ยวกับการเมือง สังคม และความเป็นไปของโลก ก่อนจะกลับมายังบ้านเกิด และสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนางงาม ฐานะที่เธอไม่เคยนึกเคยฝันไว้มาก่อน
02
ตัวแทนความงาม ของสังคม
“การที่ได้เจอเพื่อนๆ ที่แตกต่าง ทั้งวัฒนธรรมและความคิด ทำให้เรียนรู้ว่าแต่ละคนมีความงามที่แตกต่างกัน ทุกคนมีความสวย อย่างน้อยก็สวยที่สุดสำหรับคนที่รออยู่ที่บ้าน คืนนี้ไม่ว่าใครจะได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส ทุกคนบนเวทีนี้ได้ทำให้ครอบครัวและเพื่อนๆ ภูมิใจแล้ว” นี่คือคำตอบของอร ต่อคำถามที่ว่าการประกวด มิสยูนิเวิร์สลาว 2017 ครั้งนี้ เธอได้เรียนรู้อะไรบ้าง
คำตอบนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำสวยๆ บนเวทีประกวดนางงาม แต่มันเกิดจากความจริงใจ และความรู้สึกของคนได้เจอโลกและความแตกต่างมามากพอ “ตอนนั้นเราคิดกับตัวเองว่าถ้าตอบแบบนี้ไป เราจะได้ตำแหน่งไหมด้วยซ้ำ” อรเล่าด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน เพราะในปีนั้น เธอคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศไปครอง
หนทางสู่การเป็นมิสยูนิเวิร์สของอร มีที่มาจากการที่ได้เห็นประกาศรับสมัครในหน้าฟีดเฟซบุ๊ก ซึ่งตอนนั้นสิ่งที่ดึงดูดใจเธอมากที่สุดในใบประกาศคือการได้เป็น ‘สมาชิกฟิตเนสฟรี’ แต่จากการได้ไปฟิตเนสฟรีนี่แหละ ที่พาเธอคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศในปี 2017 และ มงกุฎมิสยูนิเวิร์สประเทศลาวประจำปี 2018 ไปครอง
มงกุฎเดียวกันนี้ ได้พาเธอไปเปิดโลกให้กว้างขึ้นกว่าดิม การเป็นตัวแทนความงามของประเทศ ทำให้เธอพบเจอคนอีกหลายพื้นที่ในโลก ซึ่งนั่นก็ยิ่งตอกย้ำให้เธอเห็นว่าความสวยงาม มันไม่มีตัววัด
“การได้เดินทางไปในหลายประเทศ ทำให้เราเข้าใจและเรียนรู้ที่จะเคารพคนจากวัฒนธรรมอื่นๆ ตอนประกวดมิสยูนิเวิร์ส มีนางงามเดินทางมาจากเก้าสิบห้าประเทศ เราจะวัดยังไงว่าใครสวยที่สุด เพราะแต่ละคนก็นำเสนออัตลักษณ์ตัวเอง รวมถึงประเทศของเขา ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็มีความสวยงามของตัวเอง”
“อย่างน้อยทุกคนก็เป็นคนที่สวยที่สุดสำหรับคนที่บ้าน” คำตอบแรกบนเวทีนางงามของเธอยังคงกังวาน และยังคงเป็นจริงสำหรับอรอนงค์
03
แพลตฟอร์มท่องเที่ยว เพื่อสังคม
ในช่วงเวลาเดียวกับที่เธอต้องเดินสายประกวดบนเวทีนางงาม อรอนงค์ยังได้แบ่งเวลาให้กับความสนใจอีกด้านของเธอ นั่นคือการทำงานเพื่อสังคม อรตั้งทีมกับพี่ชายและสมาชิกอีกหนึ่งคน เพื่อทำโปรเจ็กต์ธุรกิจสำหรับการเข้าแข่งขันในโครงการ Mekong Business Challenge ซึ่งเป็นการแข่งขันไอเดียธุรกิจของเยาวชนในแถบลุ่มแม่น้ำโขง
“ในช่วงเริ่มต้น เราก็คิดกันจนได้ไอเดียว่าเราควรทำธุรกิจที่แปลกใหม่ สนุก และมีประโยชน์ต่อสังคมด้วย ก็มาแชร์กันว่าใครมีความสนใจในเรื่องอะไรบ้าง แล้วก็มาหยุดที่เรื่องการท่องเที่ยวเดินทาง เพราะเราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากการท่องเที่ยวและโครงการแลกเปลี่ยน”
แต่ปัญหาคือการท่องเที่ยวตามปกติมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่ว่าจะค่าที่พักหรือค่าเดินทาง ขณะที่โครงการแลกเปลี่ยนแม้จะมีค่าใช้จ่ายไม่มากนัก แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะได้รับโอกาสนั้น โจทย์ของอรและทีมจึงเป็นการออกแบบการท่องเที่ยวที่สามารถดึงข้อดีของทั้งการเที่ยวและการแลกเปลี่ยนมาไว้ในที่เดียวกัน
“เราเลยหากันว่ามันมีวิธีอื่นอะไรอีกบ้างที่จะทำให้ทุกคนสามารถเที่ยวได้ในราคาที่ไม่แพง และสามารถเข้าถึงวัฒนธรรมในพื้นที่ได้ด้วย” สุดท้ายทางออกของทีมก็มาลงเอยที่การทำแพลตฟอร์มเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทุกคนจะสามารถเข้าถึงได้ และเลือกได้ว่าชอบเที่ยวแบบไหน สนใจทำกิจกรรมอะไร และอยากมีส่วนร่วมกับชุมชนในด้านใดบ้าง
“การท่องเที่ยวในรูปแบบนี้อาจจะไม่หรูหรามาก แต่เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการซึมซับและรู้จักธรรมชาติ รวมถึงได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นด้วย ซึ่งถ้าเราทำให้มันเกิดได้ มันจะไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจ แต่เป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกันของนักท่องเที่ยวและคนในชุมชนด้วย” ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของแพลตฟอร์ม T-PLEARN ที่มีความหมายถึง ‘Travel Play and Learn’ แอปพลิเคชันที่เชื่อมการท่องเที่ยวเข้ากับธรรมชาติ ชุมชน และวัฒนธรรม
น่าเสียดายที่ T-PLEARN ไม่ได้ชนะการแข่งขันประกวดไอเดียธุรกิจลุ่มแม่น้ำโขงในครั้งนั้น ทำให้ตัวแอพฯ ยังอยู่ในกระบวนการพัฒนา ทว่าอรและทีมงานก็ไม่ได้เสียกำลังใจ และยังทำงานลงพื้นที่เพื่อหาพาร์ตเนอร์ร่วมแพลตฟอร์มอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ไอเดียนี้เกิดขึ้นจริงในเร็ววัน
04
สร้างความยั่งยืน ให้สังคม
ด้วยเทรนด์โลกที่พัดพากระแสของความ ‘ยั่งยืน’ มาแบบไม่หยุดยั้ง ทำให้หลายฝักหลายฝ่ายมีความคิดเห็นในเรื่องเดียวกันนี้อย่างหลากหลาย เราเลยนึกอยากถามความคิดเห็นของเธอ ว่าในฐานะผู้ก่อตั้ง T-PLEARN เธอมีความคิดเห็นกับความยั่งยืนนี้อย่างไร
“เป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องโปรโมตเรื่องความยั่งยืนของธรรมชาติควบคู่ไปกับการท่องที่ยว หรือที่เรียกรวมกันว่าท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนนี่แหละ” อรเล่าด้วยแววตาจริงจัง
“มันกำลังเป็นเทรนด์ของโลก และเป็นสิ่งที่ทุกคนหันมาสนใจ เพราะเรื่องของสิ่งแวดล้อมและอัตลักษณ์ของวัฒนธรรม มีความสำคัญต่อสังคมอย่างมาก”
“แล้วการท่องเที่ยวมาช่วยเรื่องนี้ได้ยังไง” เรายิงคำถาม
“ประโยชน์ของการเที่ยวแบบยั่งยืนคือมันทำให้เราเข้าใจความสำคัญของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะเมื่อได้ไปสัมผัสกับชุมชน ไปใช้ชีวิตและเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของเขา เราจะทราบได้เลยว่าธรรมชาติทั้งหมดคือส่วนหนึ่งของชุมชนอย่างไร ซึ่งมันจะทำให้เราตระหนักถึงความรับผิดชอบขึ้นมาได้เอง”
แต่การเที่ยวอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่เรื่องของการอนุรักษ์และปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ อรย้ำให้เราเห็นว่าความยั่งยืนที่เป็นรูปธรรมจริงๆ คือ ‘ทัศนคติ’ ที่สอดแทรกอยู่ในทุกช่วงเวลา เริ่มตั้งแต่เราก้าวเท้าออกจากบ้าน
“ความยั่งยืนที่อรพูดถึง มันต้องนับตั้งแต่การเดินทาง เราอาจจะเลือกใช้ระบบบขนส่งสาธารณะแทนการนั่งเครื่องบิน หรือเดินทางด้วยรถไฟ รถเมล์ จักรยาน เพื่อลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ หรืออย่างน้อยการไม่ทิ้งขยะผิดที่ผิดทาง ก็นับเป็นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้”
05
เชื่อมคน เชื่อมสังคม
ด้วยความที่โมเดลธุรกิจของ T-PLEARN เป็นรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม ทำให้ไม่ได้คาดหวังผลตอบรับในเชิงรายได้ แต่เป็นในเชิงผลกระทบต่อสังคมวงกว้างมากกว่า ซึ่งนอกจากจะให้ความสำคัญเรื่องผลกระทบที่มีต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว มันยังคำนึงถึงความยั่งยืนของ ‘คน’ ด้วย
“แอปฯ ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เรารู้จัก อย่าง Airbnb, Booking หรือ Couchsurfing จะเป็นเรื่องของการหาที่พักอย่างเดียว แต่แอปฯ ของเรานอกจากจะมีที่พักซึ่งเป็นรูปแบบโฮมสเตย์แล้ว ยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงกิจกรรมในชุมชนจริงๆ ด้วย เช่น การเป็นอาสาสมัคร หรือการเรียนรู้วัฒนธรรมจากคนท้องถิ่นโดยตรง”
การเรียนรู้วัฒนธรรมคือหนึ่งในการส่งเสริมความยั่งยืนของคน ซึ่งอรเชื่อว่าการเรียนรู้นี้ไม่ได้เกิดจากการมอง ดู เห็น เพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นสิ่งที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากการเข้าไปมีส่วนร่วมกับพื้นที่และคนในพื้นที่นั้น แอปฯ T-PLEARN จึงมีรูปแบบการใช้งานที่จะพานักท่องเที่ยวให้ไป ‘สัมผัส’ กับคนจริงๆ
“อรคิดว่าเวลาที่ไปท่องเที่ยว การมีปฏิสัมพันธ์และการคุยกันของคนเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งที่พักแบบโฮมสเตย์ของคนในพื้นที่จะช่วยตอบโจทย์ตรงนี้ เพราะคนที่ไปอยู่ก็จะได้เห็นว่าครอบครัวของเขาใช้ชีวิตแบบไหน คนที่นั่นให้ความสำคัญกับอะไร ด้วยวิธีแบบนี้อรคิดว่าเราจะสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่าการไปนั่งถ่ายรูปตามคาเฟ่สวยๆ”
อรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้วัฒนธรรมมากเป็นอันดับต้นๆ เพราะเธอตั้งเป้าหมายในการทำแอปฯ นี้ไว้ว่าจะให้มันเป็นสะพานที่เชื่อมคนในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนเข้าไว้ด้วยกัน
“เป้าหมายแรกๆ คือเราอยากเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่วัฒนธรรมโดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน คือเราอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน แต่กลับมีหลายๆ อย่างที่เราไม่เข้าใจกัน อาจเพราะมันมีความหลากหลายมาก เช่น ด้านภาษา หรือวัฒนธรรม ซึ่งแอปฯ นี้จะช่วยเป็นสะพานที่เชื่อมคนเหล่านั้น”
“เช่น ถ้าคุณมีความสามารถในการพูดภาษาบาฮาซาและอยากไปเที่ยวที่ลาวด้วย แอปฯ ของเราก็จะช่วยจับคู่ความต้องการของคนในลาวที่ตรงกับความสามารถของคุณ เช่น เราจะเป็นช่องทางให้คุณพูดคุยติดต่อกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว หรือองค์กรอื่นๆ ที่เป็นพาร์ตเนอร์ ว่าเขาสนใจรับคุณไปพักอาศัยและสอนภาษาบาฮาซาไหม”
06
ไม่จำเป็นต้องมีมงกุฎ
ก้มมองนาฬิกา พบว่าเป็นเวลาเกือบๆ ชั่วโมงที่เรานั่งฟังเธอเล่าเรื่อง ระหว่างทางเราสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นและหัวใจของนักการทูตที่หวังจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติ คน และวัฒนธรรมให้ใกล้กันมากขึ้น ชีวิตของหญิงสาววัย 24 ปีคือการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเธอก็เลือกที่จะส่งต่อความรู้เหล่านั้นคืนให้กับสังคม
“อะไรที่ผลักดันให้คุณทำงานเพื่อสังคม” เราเอ่ยถามเธอเป็นคำถามสุดท้าย
“อรรู้สึกว่าโอกาสในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เราได้รับมา ไม่ว่าจะเป็นโครงการแลกเปลี่ยน ชีวิตมหาวิทยาลัย หรือเวทีประกวด มันเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากจะใช้ทักษะความรู้เหล่านี้ไปการพัฒนาชุมชนและช่วยเหลือคนอื่น มันจะมีความหมายอะไรถ้าเราไปเรียนนั่น เรียนนี่ แล้วเราไม่ได้เอามาทำให้เกิดประโยชน์”
หลังจบประโยค ความรู้สึกนึงก็ได้เกิดขึ้นมาในใจของเราว่า หากนางงามคนหนึ่งจะต้องมีภารกิจในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคมหลังจากรับตำแหน่ง มิสยูนิเวิร์สลาวคนนี้ได้เริ่มทำไปก่อนที่จะสวมมงกุฎมาตั้งนานแล้ว