กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ฉันเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ อาศัยอยู่กับครอบครัวเล็กๆ ณ บ้านหลังเล็กๆ ไม่มีชื่อเรียก ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร ชอบอะไร โตขึ้นใฝ่ฝันอยากเป็นอะไร แต่แล้วเวลาพ่อกับแม่พาฉันออกไปเที่ยวเล่น หรือไปโรงเรียน ฉันเริ่มคิดว่า บางทีฉันอาจจะเป็นเจ้าหญิงที่บังเอิญหลงทางมาก็ได้ คนทั่วไปจึงรู้จักฉัน และเรียกฉันด้วยชื่อจริง นามสกุลจริงอย่างเดียวกันหมดโดยไม่ทันต้องแนะนำตัว ‘เด็กพิเศษ ผู้อยู่ในโลกมืด’ พวกเขาเรียกฉันเช่นนี้

เด็กพิเศษ ผู้อยู่ในโลกมืด นั่นแหละฉันละ ฉันไม่ทันจะได้สงสัยว่าฉันเป็นใคร พวกเขาก็มีคำตอบให้เสร็จสรรพ ฉันเป็นใคร เป็นเด็กพิเศษ หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือเด็กที่ต่างจากเด็กอื่นๆ โดยทั่วไป ต่างอย่างไร ต่างตรงที่ฉันคือผู้อยู่ในโลกมืด ขณะที่โลกของคนรอบตัวสว่างแจ่มใส เต็มไปด้วยแสงสี

ฉันเชื่อพวกเขานะ เชื่อทุกคำ เพราะพวกเขาพูดตรงกันหมดราวกับรู้จักฉันและตระกูลของฉันเป็นอย่างดี ในขณะที่ฉันยังเยาว์และไม่รู้อะไรเลย ที่แท้ฉันไม่ใช่เจ้าหญิงแต่อย่างใด เป็นเพียงผู้มีชีวิตรอดซึ่งหลงทางมาจากโลกประหลาด โลกแห่งความมืด ฉันไม่ตาย แต่ความมืดตามติดปิดตาฉันไปทุกหนทุกแห่ง

พวกเขาบอกว่าโลกของฉันเป็นโลกที่น่ากลัว เพราะมองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้น พวกเขาบอกว่าในความมืดคนเราจะทำอะไรได้ไม่มากนัก ต้องรอให้มีแสงก่อน พวกเขาบอกว่าโลกแห่งความมืดเป็นโลกที่ลำบากและน่าเศร้า พวกเขาบอกว่าโลกของฉันเป็นโลกที่ต้องพยายามกว่าผู้อื่นหลายเท่า พวกเขาบอกว่าผู้อยู่ในโลกมืด คือผู้มีโลกทัศน์คับแคบ พวกเขาบอกว่าผู้อยู่ในโลกมืด คือผู้โชคร้าย

ฉันค่อยๆ เติบโตขึ้น พร้อมกับความคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคร้ายที่ไม่อาจใฝ่ฝันอะไรได้มากนัก ความกลัวอยู่กับฉันทุกที่ และจะสำแดงฤทธิ์ทันทีที่คิดจะเดินทางไปไหนเพียงลำพัง หรือคิดจะลงมือทำอะไรสักอย่าง

“เธอไม่เห็นแม้แต่แสง เพราะฉะนั้นเธอทำไม่ได้” เป็นดั่งอาวุธประโยคไม้ตายที่ความกลัวใช้โจมตีใส่ฉันเสมอมา เพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น ฉันเรียนรู้ที่จะสะกดความต้องการทั้งหลายของตัวเอง

“ฉันไม่อยากไปไหน”

“ไม่อยากทำอะไร”

“ฉันกินอะไรก็ได้”

“ฉันเป็นคนง่ายๆ”

“ฉันไม่มีความฝัน”

“ฉันไม่หิว”

“ฉันไม่มีความรู้สึก”

ฉันรู้ว่าฉันพยายามหลอกตัวเอง แน่นอนฉันไม่มีความสุข ฉันเป็นมนุษย์ ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่มีความรู้สึก ไม่หิว ไม่มีความปรารถนา ฉันเกลียดความกลัวพอๆ กับตกเป็นทาสในอำนาจบังคับของมันอย่างสมบูรณ์แบบ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ฉันต้องยอมรับ ฉันคิดว่าฉันไม่มีทางเลือกอื่น เพราะฉันคือเด็กพิเศษผู้อยู่ในโลกมืด ฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่ชาวตระกูลผู้อยู่ในโลกมืดควรทำ ทำตัวให้เรียบร้อยที่สุด เรียบง่ายที่สุด ไม่ต้องการอะไรเลยยิ่งดี สะกดใจรอจนกว่าจะมีคนมาช่วย จนกว่าจะมีคนมานำทาง มาตัดสินใจให้ หรือไม่ก็จนกว่าจะมีปาฏิหาริย์ทำให้มองเห็นแสง วันนั้นฉันจึงจะเป็นอิสระ ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เริ่มต้นฝัน และลงมือทำสิ่งต่างๆ ได้ตามใจปรารถนา ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอย

แต่นิทานเรื่องนี้ไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีเทวดา นางฟ้าตัวน้อย หรือเวทมนตร์ใดๆ ช่วยให้ดวงตาของฉันมองเห็น แม้ฉันจะรอแล้วรอเล่า หวังแล้วหวังอีก จากวันเป็นเดือน เดือนเป็นปี หนึ่งปี เป็นสิบปี มีชาวผู้อยู่ในโลกมืดกำเนิดใหม่มาร่วมเฝ้ารอแบบเดียวกับฉัน มีชาวผู้อยู่ในโลกมืดก่อนหน้าฉันที่เฝ้ารอมานานยิ่งกว่า บ้างก็รอจนตายไปแล้ว นานแสนนาน ทว่า ปาฏิหาริย์ก็ยังไม่เกิด

วันหนึ่งขณะที่ความกลัวเล่นงานฉันจนอ่อนแรง ฉันพบชายชราผู้หนึ่งบอกฉันว่า “เธอเห็นทุกสิ่งในโลกนี้ได้ ด้วยวิธีของเธอเอง”

ฉันประหลาดใจ หากฉันเห็นสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีของฉันได้ ก็หมายความว่า ฉันไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอยปาฏิหาริย์อีกแล้ว และฉันเป็นอิสระจากความกลัวได้ตอนนี้เลย วินาทีนั้นฉันเริ่มมอง และต้องตกตะลึงกับภาพรอยยิ้มในน้ำเสียงของผู้คนซึ่งฉันเพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก ยิ้มนั้นแจ่มใส จริงใจ และเป็นมิตร พร้อมกันนั้นฉันเห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากของตัวเองด้วยความรู้สึก ยิ้มนั้นแผ่จากหัวใจ คลี่ระบายไปทั่วใบหน้า ฉันเห็นว่ายิ้มของเราสวย โดยไม่ต้องพึ่งกระจกหรือแสงใดๆ

ใช่ ฉันเคยอยากให้เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงนิทาน เป็นกาลครั้งหนึ่งอันเลื่อนลอย เลือนราง และไกลตัว แต่ด้วยภาพรอยยิ้มของชายชราหนึ่ง และภาพรอยยิ้มของฉันเองอีกหนึ่ง ทำให้ฉันดีใจที่ชีวิตของฉันเป็นเรื่องจริง ฉันตื่นเต้น และเริ่มสงสัยว่า ด้วยวิธีของฉันเอง ฉันจะเห็นอะไรในโลกนี้อีกบ้าง แต่ละสิ่งแต่ละอย่างหน้าตาเป็นอย่างไร สวยงามเพียงใด หรือจะน่าเกลียดขนาดไหน ฉันจะชอบสิ่งต่างๆ หรือไม่ ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ฉันจะทำอะไรกับสิ่งที่ฉันเห็นบ้าง จะสร้างสรรค์อะไรเพิ่มเติมแก่โลกนี้บ้าง ฉันจะรักโลกนี้เพิ่มขึ้นมากเพียงใด จะใส่ใจคนรอบตัวของฉันเพิ่มขึ้นอย่างไรได้บ้าง

ตั้งแต่วันนั้นฉันจึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเดินทางออกไป ดูว่ามีอะไรในโลกนี้

“เธอไม่เห็นแม้แต่แสง” ความกลัวเริ่มใช้อาวุธเดิมโจมตีใส่ฉัน

“แล้วมันสำคัญตรงไหน” ฉันตอบความกลัว ตัดสินใจเดินแซงหน้ามันไป ก้าวออกนอกประตู ขึ้นไปบนสะพาน หยุดยืนอยู่ตรงนั้น มองฟ้ากว้างผ่านสายลมที่พัดมาด้วยความอัศจรรย์ เดินเข้าไปในสวนสาธารณะ มองกิ่งก้านต้นไม้กวัดไกวผ่านเสียงใบไม้ที่กระทบกัน มองดอกไม้บานสะพรั่งผ่านอากาศที่หายใจเข้าไป มองฝูงนกบินขึ้นฟ้าผ่านเสียงกระพือปีก ฉันไปสนามเด็กเล่น มองดวงหน้าเริงรื่นแจ่มใสของเด็กๆ ที่ส่งเสียงพูดคุยหัวเราะวิ่งไล่เล่นกันอยู่ไม่ไกล

บนสะพานทางเชื่อมยามเช้า ฉันเห็นหัวใจร้อนรุ่มผ่านเสียงก้าวเดินอันรีบเร่ง ที่ร้านอาหาร ฉันเห็นความรักแทรกตัวอยู่เงียบๆ ในเสียงเถียงทะเลาะของผู้คน ขณะเราเดินไปด้วยกัน ฉันเห็นความปรารถนาดีผ่านมือที่เอื้อมมากุมมือฉันเอาไว้ ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ ฉันเห็นความตั้งใจของศิลปินผ่านชิ้นงาน ฉันเดินทางออกไปวันแล้ววันเล่า เห็นสิ่งต่างๆ มากมายอย่างที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะเห็นได้ โลกของฉันกว้างขึ้นและกว้างขึ้น ตั้งแต่วันนั้นที่ฉันก้าวนำหน้าความกลัวออกจากประตู

ในที่สุดฉันก็ตกหลุมรักโลกดวงนี้จริงๆ มันเป็นโลกดวงเดิม ดวงเดียวกันกับที่คนทั้งหลายบอกว่ามืดมิดและน่ากลัว แต่ความมืดไม่อาจพันธนาการฉันได้อีกต่อไป และความกลัวก็ควบคุมบังคับฉันไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉันเลือกที่จะชื่นชมทุกสิ่งด้วยวิธีของตัวเอง ฉันเชื่อในสิ่งที่เห็น ฉันอนุญาตให้ตัวเองดื่มด่ำกับสิ่งที่เห็นว่าสวยงาม ฉันอนุญาตให้ตัวเองไม่พอใจเมื่อเห็นสิ่งที่ฉันคิดว่าไม่น่ารัก

กาลครั้งหนึ่งฉันเคยเขี่ยความรู้สึกของตัวเองทิ้งราวกับเศษขยะที่น่าเกลียด ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ไม่มีทางสำเร็จเป็นจริงได้ ฉันไม่ควรจะรู้สึกอะไร ไม่ควรต้องการอะไร แต่ทันทีที่ฉันรู้จักมองโลกด้วยวิธีของตัวเอง ฉันเคารพความรู้สึกของตัวเองนับแต่นั้น ฉันเลือกทำสิ่งที่ฉันอยากทำ ไปที่ซึ่งอยากไป กินสิ่งที่อยากกิน ฉันเขียนเล่าสิ่งที่ฉันเห็นและรู้สึก ฉันวาดรูปที่ฉันชอบ ฉันเล่นดนตรี ออกกำลังกาย เดินทาง ฉันหลบไปนั่งในร้านอาหารเพียงลำพัง มองคนเข้าออกอยู่หลังกำแพงความมืด และแอบบันทึกช่วงเวลาสวยๆ ของคนรอบตัวไว้ในใจ

ฉันเริ่มต้นปลูกความฝันของฉัน แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นคนจำนวนมากมาช่วยกันดูแล รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ตัดแต่งกิ่ง มีแสงแดดช่วยให้ความฝันของฉันเติบโต มีสายลมและแมลงมาช่วยผสมเกสรให้ความฝันของฉัน ฉันรู้ว่าพวกเขารักความใฝ่ฝันของฉัน และฉันก็ดีใจที่เกสรความฝันของฉันไปผสมกับต้นความฝันอื่นๆ ของคนอื่นๆ ด้วย ฉันเคยคิดว่าคนทั้งหลายอยู่ในโลกสว่าง ส่วนฉันคือผู้อยู่ในโลกมืด ทว่า ในที่สุดฉันก็ได้รู้เราอยู่ในโลกดวงเดียวกัน โลกแห่งการเกื้อกูล

ที่จริงพวกเขาพูดถูก ฉันยังคงเป็น ‘เด็กพิเศษ ผู้อยู่ในโลกมืด’ เป็นความจริงที่ความมืดไม่เคยย่อหย่อนต่อหน้าที่ในการปิดตาฉันจากภาพทุกภาพ ไม่เลยสักวินาทีเดียว ทว่า ก็มีเพียงเท่านั้นเองที่พวกเขาพูดถูก ฉันเห็นว่าโลกของเรากว้างพอๆ กันในวันนี้ และเราโชคดีที่ได้อยู่ในโลกดวงเดียวกัน เพราะความมืดที่ปิดตาฉันไว้ไม่มีความหมายสำคัญอันใดอีกต่อไปแล้ว เมื่อฉันเรียนรู้ที่จะมองโลกด้วยวิธีใหม่ และฉันเห็นโลกได้ตอนนี้เลย ชีวิตของฉันไม่มีปาฏิหาริย์ แต่หากใครจะเรียกเรื่องทั้งหมดว่าเป็นปาฏิหาริย์

ฉันก็เห็นด้วยนะ

Writer

Avatar

สโรชา กิตติสิริพันธุ์

นักเขียนผู้ดวงตาพิการ เขียนหนังสือ |จนกว่า |เด็กปิดตา |จะโต และหนังสือ ก ไก่เดินทาง นิทานระบายสี สนใจศิลปะ ดนตรี และจิตวิทยา ปัจจุบันเรียนปริญญาโทสาขาจิตวิทยาการปรึกษา และยังคงเขียนหนังสือทุกวัน

Photographer